ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 132 มองหน้ากันก็เกลียด

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 132 มองหน้ากันก็เกลียด

ตอนที่ 132 มองหน้ากันก็เกลียด

ฟู่ซวี่ตงได้ยินคำพูดของฉินมู่หลาน จึงรีบพยักหน้าแล้วพูดขึ้นทันที “ใช่ครับ เสิ่นหรูฮวนบอกว่าแบบนั้น หล่อนบอกว่าอยากมาเยี่ยมหาคุณ ลุงเสิ่นกับคนอื่นก็เห็นด้วยว่าถ้าให้เสิ่นหรูฮวนมาอาจจะทำให้หล่อนหายเครียดบ้าง”

ฉินมู่หลานได้ยินดังนี้ จึงเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยค่ะ ถ้าหรูฮวนมา ฉันจะเตรียมต้อนรับหล่อนให้ดี”

เห็นว่าฉินมู่หลานดูเหมือนจะไม่โกรธแล้ว เซี่ยเจ๋อหลี่กับฟู่ซวี่ตงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ฟู่ซวี่ตงบอกทุกอย่างที่เขารู้ไปหมดแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองหมดธุระเรียบร้อย จึงลุกขึ้นยืนเตรียมบอกลา “อาหลี่ น้องสะใภ้ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะ”

“ตกลง”

เซี่ยเจ๋อหลี่กับฉินมู่หลานเห็นว่าตอนนี้เย็นมากแล้ว จึงไม่รั้งเอาไว้นานกว่านี้

หลังจากฟู่ซวี่ตงกลับไป เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เริ่มเก็บโต๊ะอาหาร ขณะเดียวกันก็ให้ฉินมู่หลานนั่งพักผ่อน

ฉินมู่หลานไม่ได้รู้สึกเหนื่อยมาก จึงมาช่วยอีกแรง

ตอนแรกเซี่ยเจ๋อหลี่ต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นฉินมู่หลานมีความสุขก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งสองยุ่งอยู่กับการทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ร่วมกัน ช่างเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นเหลือเกิน

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ตรงไปพักผ่อนดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

อีกด้านหนึ่ง เหยาอี้หนิงก็เจอรูปถ่ายหมู่ของเซี่ยเจ๋อหลี่และทำเครื่องหมายกำกับไว้ เย็นวันนั้นเขามอบรูปถ่ายให้เริ่นม่านลี่ แล้วพูดว่า “พรุ่งนี้คุณออกไปส่งรูปนี้ให้ผมหน่อย”

พรุ่งนี้เขาจะเริ่มงานยุ่งแล้ว หาโอกาสไปส่งของไม่ได้ จึงต้องไหว้วานภรรยาแทน

เริ่นม่านลี่ได้รับรูปถ่ายและมองอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณแม่จะเห็นหน้าเซี่ยเจ๋อหลี่ได้ชัดเหรอคะ รูปนี้ไม่ค่อยชัดเลย คนก็เยอะมากด้วย รูปถ่ายหน้าของแต่ละคนก็เล็กนิดเดียว มองออกยากมาก”

“ผมมีแค่รูปเดียว เอาไว้วันหลังมีโอกาสจะถ่ายรูปเดี่ยวเซี่ยเจ๋อหลี่ แล้วส่งไปให้”

เห็นเหยาอี้หนิงเอ่ยเช่นนี้ เริ่นม่านลี่จึงไม่พูดอะไรให้มากความ ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยตอบ “ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งให้ค่ะ”

หลังจากพูดคุยเรื่องนี้กันเสร็จแล้ว ทั้งสองก็เตรียมตัวพักผ่อน

จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น เมื่อฉินมู่หลานลุกขึ้นมา เซี่ยเจ๋อหลี่ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว หลังจากนั้นก็พบว่ามีอาหารเช้าถูกเตรียมเอาไว้เรียบร้อย จึงลงมือกินด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แม้มันจะเป็นโจ๊กกับไข่ต้มแสนเรียบง่าย แต่ก็อร่อยมาก

หลังจากกินเสร็จ ฉินมู่หลานก็ได้ค้นพบว่าที่บ้านไม่มีผัก และเครื่องปรุงบางส่วนก็หมดแล้ว จึงวางแผนจะเข้าไปซื้อในเมือง นอกจากนี้จะไปซื้อปากกากับกระดาษมาด้วย ปีใหม่ทั้งทีก็ควรเริ่มเขียนบทความได้แล้ว นอกจากนี้ก็ต้องระบุที่อยู่ใหม่ด้วย เพื่อที่ต่อไปค่าลิขสิทธ์จะได้มาส่งที่นี่

คิดแล้วก็ตัดสินใจลงมือทำทันที ฉินมู่หลานจัดแจงตัวเองนิดหน่อยแล้วเข้าไปในเมือง

เธอไปซื้อปากกาและกระดาษก่อน จากนั้นก็ไปซื้อผักอีกครั้ง สุดท้ายก็ไปร้านค้าสวัสดิการ แล้วซื้อจำเป็นสำหรับตัวเองก่อนจะเตรียมตัวกลับ

แต่เธอประเมินกำลังซื้อของตัวเองต่ำเกินไป ไม่ทันตั้งตัวก็มีของเยอะแยะมากมาย เธอจึงต้องมองหาว่ามีรถให้นั่งกลับไปหรือเปล่า

ฉินมู่หลานหยิบขนมอบออกมา ก่อนจะยื่นให้กับพนักงานร้านค้าสหกรณ์พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า เพื่อฝากของให้หล่อนช่วยดู

หลังจากที่พี่สาวพนักงานรับขนมบางส่วนไป ก็ยอมตกลง

ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นก็ยกยิ้มพลางเอ่ยขอบคุณหล่อน จากนั้นก็วิ่งออกจากร้านค้าสหกรณ์ไป

แต่ก่อนที่จะหารถได้ เธอก็เผชิญหน้ากับเริ่นม่านลี่

เริ่นม่านลี่เห็นฉินมู่หลานเช่นกัน ตอนแรกหล่อนไม่ได้ตั้งใจจะเอ่ยทักทาย แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ปักกิ่งครั้งก่อนก็ไม่สามารถทนเก็บเอาไว้ได้ จึงหยุดและหันมองฉินมู่หลาน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “สหายฉิน บังเอิญจังเลย ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณอีก ไก่ฟ้าที่ชุบตัวกลายเป็นหงส์ได้อย่างคุณคงมีความสุขมากสินะคะ”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ฉินมู่หลานก็อดที่จะขมวดคิ้วมองเริ่นม่านลี่ไม่ได้ “สหายเริ่น คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ”

“ไม่ได้หมายความว่าอะไรหรอกค่ะ แค่จะบอกว่าคุณช่างโชคดีเหลือเกิน ที่หญิงสาวจากหมู่บ้านชนบทจะได้บังเอิญมาเกี่ยวดองกับหัวหน้าตระกูลเจี่ยง”

“ฉันรู้เรื่องหมดแล้วค่ะ ตอนแรกเจี่ยงสือเหิงโดนส่งไปอยู่ที่ซานตง และคุณก็มาจากซานตงด้วย ฉันจึงเดาว่าคุณสองคนคงพบกันที่ซานตง คุณคงไปช่วยเจี่ยงสือเหิงตอนเขาตกที่นั่งลำบากอะไรบางอย่าง เขาถึงได้รับคุณเป็นลูกบุญธรรม ไม่คิดว่าคุณจะมีความคิดดีๆ ยอมตกลงให้เป็นพ่อบุญธรรม เพราะเห็นว่าเป็นตระกูลที่มาจากปักกิ่ง และตอนนี้เขาได้กลายเป็นผู้นำตระกูลเจี่ยงแล้ว เห็นได้ชัดว่าคุณโชคดีจริง ๆ เลย”

หลังจากพูดจบ เริ่นม่านลี่ก็เอ่ยต่อ “เจี่ยงสือเหิงถึงกับกวาดล้างครอบครัวของเจี่ยงฮ่าวป๋อ ในฐานะลุงแล้วเขาช่างโหดเหี้ยมนัก”

ได้ยินคำพูดของเริ่นม่านลี่ ฉินมู่หลานก็ทำเพียงแค่ปรายตามอง

“ฟังจากที่คุณพูดแล้ว คุณคงสนิทกับครอบครัวของเจี่ยงฮ่าวป๋อมากสินะคะ ถึงได้พูดจาดูถูกฉันแบบนี้ แต่พ่อบุญธรรมของฉันก็ใจดีเกินไปจริงๆ แหละค่ะ เจี่ยงฮ่าวป๋อนั่นทำร้ายเขามามากมาย เขาไว้ชีวิตคนในครอบครัวของเขาก็ถือว่าเมตตาแล้ว จากที่คุณบอกมา…ฉันควรเกลี้ยกล่อมพ่อบุญธรรมให้เขายกโทษต่อครอบครัวของเจี่ยงฮ่าวป๋ออย่างนั้นหรือคะ”

“คุณ…”

สีหน้าของเริ่นม่านลี่เปลี่ยนไปนิดหน่อย

“ไม่คิดเลยว่าคุณจะโหดร้ายขนาดนี้ ที่ไม่อยากปล่อยครอบครัวของเจี่ยงฮ่าวป๋อไปเพราะกลัวว่าพวกเขาจะกลับมาแล้วแย่งตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของเจี่ยงสือเหิงไปจนทำให้คุณมีชีวิตที่ย่ำแย่ลงอย่างนั้นใช่ไหม ดูไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าคุณจะใจดำอำมหิตขนาดนี้”

อยู่ ๆ ฉินมู่หลานก็รู้สึกว่าเหมือนตัวเองกำลังเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์

ต่อให้พูดคุยกับคนอย่างเริ่นม่านลี่มากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไร เธอจึงหันหลับไปมองหารถที่จะกลับบ้านแทน

เริ่นม่านลี่เห็นว่าฉินมู่หลานกำลังจะเดินจากไป จึงขวางเธอไว้ทันที

“ฉินมู่หลาน คุณอย่าภูมิใจไปหน่อยเลย จากที่มองแล้วคุณก็เป็นแค่ลูกสาวบุญธรรมของเจี่ยงสือเหิง ไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณ เจี่ยงสือเหิงก็คงไม่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยคุณหรอก”

“พวกคุณสองสามีภรรยามาจากหมู่บ้านในชนบท ดังนั้นควรทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีๆ อย่าได้คิดพยายามหวังสูงอยากเปลี่ยนสถานะพวกกลิ่นโคลนสาปควายเลย”

นอกจากฉินมู่หลานแล้ว เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ยังทำให้เริ่นม่านลี่รู้สึกเป็นกังวลด้วย

หล่อนทราบมาตลอดว่าเซี่ยเจ๋อหลี่นั้นยอดเยี่ยมมาก เก่งจนทำให้สามีของตนรู้สึกอิจฉา และในครั้งนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ถึงกับทำให้ความคิดของลุงเหยาเปลี่ยนไป ซึ่งอาจมีเรื่องบางอย่างที่พวกเขายังไม่ทราบเกิดขึ้นก็เป็นได้

หลังจากฉินมู่หลานได้ยินสิ่งที่เริ่นม่านลี่เอ่ย เธอก็พูดขึ้นทันที “อยู่ ๆ ฉันก็รู้สึกกังวลกับนักเรียนพวกนั้นเสียแล้วสิที่มีคุณครูแบบคุณ ไม่รู้ว่าคุณสั่งสอนอะไรให้พวกเขาบ้าง”

หลังจากเอ่ยจบ แววตาของฉินมู่หลานก็เริ่มเย็นชา

“พวกคุณคิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าอย่างนั้นเหรอ ถ้าเป็นอย่างที่พูดจริง เหยาอี้หนิงมีฝีมือทำอะไรได้บ้างล่ะ พวกเรายังไม่เคยตัดสินพวกคุณเลย แต่คุณกลับเอาเรื่องพวกนี้มาพูด เหอะ…พวกคุณก็แค่คนที่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองเท่านั้นแหละ”

เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานกำลังจะจากไป เริ่นม่านลี่จึงรีบตะโกนเสียงดัง “หยุดนะ ที่คุณพูดเมื่อกี้หมายความว่าไง”

“ทำไม…พวกคุณอายจนไม่กล้ายอมรับกับสิ่งที่ตัวเองทำกันเหรอ”

ฉินมู่หลานรู้สึกว่าเพียงมองเห็นเริ่นม่านลี่ก็เหม็นหน้าแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่หันมองหล่อนอีก เดินจากไปทันที

เริ่นม่านลี่นึกถึงสิ่งที่ฉินมู่หลานเพิ่งพูดไป หลังจากกลับไปก็เล่าเรื่องนี้ให้เหยาอี้หนิงฟัง

เหยาอี้หนิงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป

“พวกเขารู้เหรอว่าก่อนหน้านี้มีเรื่องอะไร?”

ได้ยินสิ่งที่สามีเอ่ย เริ่นม่านลี่ก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นเหรอ คุณทำอะไรลงไปจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ”

เหยาอี้หนิงเอ่ยขึ้นทันที “คุณไม่ต้องรู้เรื่องนี้หรอก ผมมีเรื่องต้องทำ ต้องไปแล้ว”

เมื่อมองแผ่นหลังของสามีที่กำลังเดินจากไป เริ่นม่านลี่ก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที แต่หล่อนทราบดีว่าสามีกำลังกังวลเรื่องอะไรบางอย่าง แล้วยังไม่บอกตนด้วย หล่อนจึงคาดเดา ว่ามันคงเกี่ยวกับเรื่องภารกิจ

……………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เถียงไปก็เหมือนเถียงกับกำแพง เปลืองน้ำลายเปล่าๆ มู่หลานทำดีแล้วค่ะที่เดินหนี

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท