ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 151 คำพูดเธอคือคำประกาศิต

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 151 คำพูดเธอคือคำประกาศิต

ตอนที่ 151 คำพูดเธอคือคำประกาศิต

“ลุงเหยา…”

เหยาจิ้งจือพึมพำออกมา รู้สึกเพียงแค่ว่ามีบางอย่างในจิตใต้สำนึกที่ยังไม่เข้าใจ ซึ่งยิ่งทำให้ตัวหล่อนรู้สึกอึดอัดเข้าไปใหญ่ “ฉัน…ฉันไม่รู้ ฉันลืมไปแล้ว”

ลุงเหยาเห็นว่าเหยาจิ้งจือดูอึดอัดมาก จึงรีบพูดขึ้น “เดี๋ยวนะครับคุณหนู เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูหรือ?”

ฉินมู่หลานเห็นเช่นนี้ จึงหยิบเข็มทองออกมา ก่อนจะปักเข็มสองเล่มเข้าไปที่หัวของเหยาจิ้งจือ หลังจากนั้นก็ช่วยประคองให้หล่อนนั่งลง “แม่จำเรื่องก่อนช่วงอายุแปดขวบไม่ได้เลยค่ะ ตอนนี้ท่านพยายามจะนึก จึงเกิดอาการเวียนศีรษะ เดี๋ยวสักพักก็ดีขึ้นค่ะ”

ฉินมู่หลานทราบมาก่อนหน้านี้แล้วว่าเหยาจิ้งจือจำเรื่องราวสมัยเด็กไม่ได้ นอกจากนี้ยังแอบจับชีพจรของหล่อนด้วย

ด้วยเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานมาก ตอนนี้อาการบาดเจ็บที่ศีรษะของเหยาจิ้งจือตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กจึงหายดีมานานแล้ว กระนั้นหล่อนก็ยังจำเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนเด็กไม่ได้ และมีโอกาสที่จะจำไม่ได้เลย แต่วันนี้เมื่อได้เจอลุงเหยา เหยาจิ้งจือกลับมีปฏิกิริยาตอบสนอง ฉินมู่หลานจึงรู้สึกว่าบางทีความทรงจำของแม่สามีอาจจะกลับมา

และในตอนนั้นเอง เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เดินเข้ามาด้วย เขาช่วยประคองเหยาจิ้งจือนั่งลงด้วยกัน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความหังวล “แม่ แม่รู้สึกดีขึ้นไหมครับ?”

เหยาจิ้งจือกล่าวให้เขาใจเย็น “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เป็นไร มู่หลานฝังเข็มให้สองเล่ม ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะ” หลังจากพูดจบ หล่อนก็หันมองลุงเหยาอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้น “แต่ว่าฉันจำคุณไม่ได้จริง ๆ ค่ะ จำเรื่องราวตอนเด็กอะไรไม่ได้เลยด้วย จำได้แค่ว่าตัวเองชื่อเหยาจิ้งจือ”

“คุณหนูจือจือ”

ลุงเหยาคาดไม่ถึงว่าเหยาจิ้งจือจะจำเรื่องสมัยเด็กไม่ได้ แต่หากจำชื่อได้ก็ยังดี “ใช่ เหยาจิ้งจือเนี่ยแหละ คุณคือคุณหนูจือจือของพวกเราจริงๆ”

หลังจากพูดจบ แววตาของลุงเหยาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำอีกครั้ง เวลาผ่านไปหลายปีเข้าแล้วถึงได้มีโอกาสพบเจอกับคุณหนู ช่างเป็นพรจากสวรรค์เสียจริง รอให้นายท่านกับคุณนายได้เจอคุณหนูจือจือก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นจะมีความสุขแค่ไหนกันนะ

“คุณหนูจือจือครับ พวกเรากลับเมืองหลวงกันเถอะครับ นายท่านกับคุณนายรอพบคุณอยู่”

เหยาจิ้งถงก็เอ่ยตาม “ใช่ค่ะพี่ พ่อกับแม่รอที่จะได้เจอพี่อยู่นะ พวกเขาตามหาพี่มาหลายปีแล้ว ในที่สุดก็ได้เจอสักที ไม่รู้ว่าจะดีใจแค่ไหน”

เหยาอี้หนิงได้ยินคำพูดของแม่ จึงแอบเม้มริมฝีปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะลุงเหยามาด้วย ถ้าอย่างนั้นคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรเรื่องนี้ได้

แต่เหยาจิ้งจือหันมองลูกชายและลูกสะใภ้ของตัวเองด้วยความลังเล ก่อนจะพูดขึ้น “แต่ว่า…ฉันต้องอยู่ดูแลมู่หลานที่นี่นะ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ลุงเหยาก็รู้สึกตกใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “คุณหนูจือจือครับ ถ้าคุณไปเมืองหลวง แน่นอนว่าครอบครัวของคุณหนูก็ต้องไปที่นั่นด้วย พอไปถึงแล้ว จะมีคนคอยช่วยดูแลลูกสะใภ้ของคุณหนูด้วยครับ”

ฉินมู่หลานขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่หากปล่อยให้พวกเหยาจิ้งจือไปเมืองหลวงกันตามลำพัง เธอก็ไม่ค่อยวางใจนัก ดังนั้นจึงหันไปมองเซี่ยเจ๋อหลี่

เซี่ยเจ๋อหลี่กำลังพิจารณาเรื่องนี้ เนื่องจากแม่ยังอยากตามหาครอบครัว หากเป็นอย่างนั้นก็คงต้องไปเมืองหลวง แต่จะให้พ่อแม่ไปกันเพียงลำพังเขาก็ไม่วางใจนัก เขาจึงตัดสินใจ “แม่ครับ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปด้วยกันเถอะ ไปดูกันว่าแม่เป็นลูกสาวของตระกูลเหยาหรือเปล่า”

เหยาจิ้งจือได้ยินสิ่งที่ลูกชายพูดก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก หล่อนพยักหน้าแล้วเอ่ยตอบ “ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปด้วยกัน”

เหยาอี้หนิงเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่อยากจะไปด้วยจึงรู้สึกเป็นกังวลนิดหน่อย จึงเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัว “ตอนนี้ก็เจอป้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกผมจะกลับไปด้วย จะได้ฉลองกัน”

เหยาจิ้งถงก็พยักหน้าเช่นกัน ก่อนจะพูดขึ้น “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้าจะกลับ พวกเราต้องรอม่านลี่ด้วยอีกสักพักหนึ่ง”

ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทิ้งลูกสะใภ้เอาไว้หากลูกชายจะกลับไป

ตอนนั้นเหยาอี้หนิงจึงได้นึกถึงเริ่นม่านลี่

“ได้ครับ เดี๋ยวผมกลับไปรอม่านลี่ที่บ้าน เผื่อว่าหล่อนกลับมาแล้วไม่เจอพวกเรา”

หลังจากเหยาอี้หนิงกลับไป เหยาจิ้งถงก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปนั่งข้างเหยาจิ้งจือ ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องในปีที่ผ่านมา

เหยาจิ้งจือเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเหยาจิ้งถง จึงไม่คิดอะไรมาก ก่อนจะเล่าเรื่องตั้งแต่เด็กจนโตเป็นผู้ใหญ่ให้หล่อนได้ฟัง สุดท้ายก็กล่าวว่า “อันที่จริงหลายปีที่ผ่านมาชีวิตฉันก็ดีมากอยู่แล้ว ไม่คิดว่าจะได้มาเจอครอบครัวตัวเองในตอนนี้”

ทว่าหลังจากเหยาจิ้งถงได้ฟังเรื่องเล่าของเหยาจิ้งจือแล้ว ก็อดที่จะหัวเราะเยาะอยู่ภายในใจเสียไม่ได้

มันช่างเข้าทางมาก คุณหนูใหญ่เพียงคนเดียวแห่งตระกูลเหยาผู้สูงส่ง หลังจากเดินพลัดหลงไปแล้วก็ได้สองสามีภรรยาบนเขารับเลี้ยง หลังจากนั้นก็แต่งงานตั้งแต่ยังสาว ตอนนี้ก็พักอาศัยอยู่กับสามีที่ต่างจังหวัด นอกจากลูกชายคนเล็กที่ทำงานอยู่ในกองทัพแล้ว คนอื่นก็เป็นพวกกลิ่นโคลนสาปควายทั้งนั้น

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เหยาจิ้งถงก็รู้สึกว่าตนเหนือกว่า

แต่หล่อนไม่แสดงออกมา กลับมองเหยาจิ้งจือด้วยสีหน้าเศร้าโศกแล้วพูดขึ้น “พี่คะ ปีที่ผ่านมาคงดูลำบากมากเลย”

เหยาจิ้งจือยกยิ้มแล้วส่ายหัว พลางเอ่ยขึ้น “ฉันก็ไม่ได้ลำบากอะไรนะ ก็อยู่มาได้”

เมื่อรู้ว่าในช่วงที่เกิดความอดอยากครั้งใหญ่ มีหลายคนที่อดอยากจนตายมากมายแต่ตนเองยังรอดมาได้ จึงคิดว่าชีวิตของตนไม่ได้เลวร้ายอะไร

เมื่อได้ฟังเหยาจิ้งจือพูดเช่นนี้ เหยาจิ้งถงก็ได้แต่คิดว่าหล่อนกลายเป็นสาวบ้านนอกเต็มตัวไปแล้ว ไม่มีความรู้ความเข้าใจอะไร คงเข้ากับตระกูลเหยาไม่ได้แน่นอน

จนถึงตอนนี้ เหยาจิ้งถงก็สงบลง แล้วรู้สึกโล่งใจในที่สุด ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

หากนายท่านเหยากับคุณนายเหยาได้เจอลูกสาวแท้ ๆ ของตนแล้วจะเป็นอย่างไร บ้านนอกเสียขนาดนี้ เทียบกับตนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ถึงตอนนั้นคงจะมีการเปรียบเทียบระหว่างทั้งสองด้วยกันเป็นแน่ เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าอันไหนของต่ำของสูง เหยาจิ้งจือคงกลายเป็นแค่ตัวตลก

ไม่แปลกใจที่แม่ของหล่อนไม่กังวลเลย แล้วยังขอให้ตนมารับด้วยตัวเองด้วย กับแค่ผู้หญิงบ้านนอกคนเดียว หล่อนไม่ต้องกังวลอะไรเลยจริง ๆ

ฉินมู่หลานมุ่งความสนใจไปที่เหยาจิ้งถง แน่นอนว่าเห็นสีหน้าและแววตาของหล่อนอย่างชัดเจน เมื่อเห้นว่าเหยาจิ้งถงจะเอ่ยพูดต่อ เธอก็รีบแทรกทันที “แม่คะ แม่หิวน้ำหรือเปล่า พวกเรายุ่งกันตั้งแต่เช้า ยังไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักหยด”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหยาจิ้งจือก็รีบลุกขึ้นแล้วพูดทันที “มู่หลาน แล้วเธอหิวน้ำหรือเปล่า เดี่ยวฉันไปเอามาให้”

เมื่อเห็นเหยาจิ้งจือกำลังจะรินน้ำให้ลูกสะใภ้ด้วยตัวเอง เหยาจิ้งถงก็รู้สึกดูถูกเหยาจิ้งจืออยู่ภายในใจมากยิ่งขึ้น อดที่จะหันมองฉินมู่หลานอีกครั้งเสียไม่ได้ ได้แต่รู้สึกว่าลูกสะใภ้ของเหยาจิ้งจือนั้นรับมือได้ไม่ง่ายเลย ปล่อยให้แม่สามีปรนนิบัติตัวเองแบบนี้ได้ยังไงกัน

ลุงเหยาเห็นสิ่งนี้ ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเหยาของพวกเขาต้องมาคอยปรนนิบัติลูกสะใภ้ของตัวเอง

ฉินมู่หลานเพียงแค่อยากจะขัดจังหวะเหยาจิ้งถงกับเหยาจิ้งจือเท่านั้น เธอไม่คิดว่าแม่สามีจะใจดีขนาดนี้ แต่เธอก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก ก่อนจะหันมองเหยาจิ้งถงกับลุงเหยาพร้อมรอยยิ้มแล้วเอ่ยถาม “พวกคุณสองคนหิวน้ำกันไหมคะ อยากดื่มน้ำสักหน่อยหรือเปล่า ขณะที่เอ่ยก็หันไปตำหนิเซี่ยเจ๋อหลี่อยู่ไม่กี่ประโยค “อาหลี่ มีแขกอยู่ที่บ้าน ทำไมถึงไม่รินน้ำใส่แก้วมาล่ะคะ”

“ผมละเลยเอง”

เซี่ยเจ๋อหลี่ยืนขึ้น แล้วลุกไปที่ห้องครัว

เมื่อเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่ก็เป็นแบบนั้น เหยาจิ้งถงกับลุงเหยาจึงพากันหันมองฉินมู่หลานอีกครั้ง ทันใดนั้นก็พบว่าคำพูดของเธอดูเหมือนคำประกาศิตของคนทั้งบ้าน

อีกด้านหนึ่ง หลังจากเหยาอี้หนิงกลับถึงบ้าน ก็พบว่าเริ่นม่านลี่กลับมาแล้ว “ม่านลี่ ทำไมวันนี้คุณกลับมาเร็วจัง”

เริ่นม่านลี่ไม่ได้ตอบ แต่กลับจ้องมองแล้วถามเหยาอี้หนิงกลับแทน “แล้วทำไมวันนี้คุณถึงกลับมาเร็วล่ะคะ”

เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของภรรยา เหยาอี้หนิงจึงต้องอธิบายเรื่องนี้ในที่สุด ก่อนจะพูดปิดท้ายว่า “พวกเราเก็บของ แล้วกลับไปเมืองหลวงกัน”

“อะไรนะ…แม่ของคุณไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของคุณตาคุณยายเหรอ?”

…………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

จะแข่งบุญแข่งวาสนาอะไรกันอีก พี่สาวเขาพอใจในชีวิตแบบนี้แล้วมันไปหนักหัวเธอตรงไหนเหรอป้า

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท