ตอนที่ 186 มีคนสะกดรอยตาม(2)
ตอนที่ 186 มีคนสะกดรอยตาม(2)
เหยาจิ้งจือได้ยินเช่นนั้นจึงรีบโบกมือแล้วพูดขึ้น “มู่หลาน งานของเธอสำคัญกว่ามาก จะโทษเธอได้ยังไงกัน อีกอย่างเราก็เพิ่งมาถึงกันเอง”
เซี่ยเหวินปิงที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้น “ใช่แล้วมู่หลาน ถือว่าตรงเวลาอยู่ เราเพิ่งมาถึงกันสักพักนี่เอง”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่เอ่ยว่า “พ่อคะ แม่คะ ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับกันเถอะค่ะ”
“ตกลง”
เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงต่างพากันพยักหน้าอยากจะรีบกลับ ไม่เช่นนั้นหากลูกชายกลับมาแล้วพบว่าไม่มีใครอยู่บ้านเลย คงเป็นห่วงมากแน่นอน
ฉินมู่หลานพาเหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงเดินออกจากประตูโรงพยาบาล แต่เมื่อเห็นว่าสัมภาระในมือมีไม่น้อย จึงอดหันมองทั้งสองแล้วพูดขึ้นเสียไม่ได้ “พ่อคะแม่คะ ฉันจะลองเดินไปดูว่ามีรถพาเรากลับฐานทัพได้หรือเปล่า รออยู่ตรงนี้กันก่อนได้ไหมคะ”
เหยาจิ้งจือไม่ค่อยวางใจอย่างยิ่งที่จะให้ฉินมู่หลานไปคนเดียว จึงรีบเอ่ยขึ้น “มู่หลาน เดี๋ยวฉันไปกับเธอด้วย”
เซี่ยเหวินปิงก็เข้าใจความกังวลของภรรยา จึงพูดกับทั้งสองคนว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเธอรีบไปเถอะ เดี๋ยวฉันอยู่ตรงนี้เฝ้าของให้”
หนึ่งครั้งแปลกตาสองครั้งคุ้นเคย ฉินมู่หลานเคยหารถในเมืองมาแล้ว จึงค่อนข้างคุ้นเคยบ้างแล้ว เธอพาเหยาจิ้งจือเดินตรงไปข้างหน้า “แม่คะ ตรงนั้น…”
หลังจากพูดออกไปเพียงสองคำ ฉินมู่หลานก็รีบหยุดพูดอย่างไว เธอรู้สึกเหมือนมีคนพยายามเดินตามอยู๋ข้างหลัง เพียงแต่เมื่อเธอหันหลังกลับไปก็พบว่าไม่มีใครปรากฎอยู่ตรงหน้าสักคน
เหยาจิ้งจือเห็นลูกสะใภ้ชะงักลงกะทันหัน จึงหันไปมอง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “มู่หลาน ทำไมเหรอ เกิดอะไรขึ้น?”
ฉินมู่หลานส่ายศีรษะ แล้วไม่ได้พูดอะไร เธอกลัวว่าตนเองอาจเข้าใจผิดไป จึงพาเหยาจิ้งจือเดินไปข้างหน้าต่อ
แต่เมื่อเดินไปได้เพียงสองก้าว ความรู้สึกนั้นก็กลับมาอีกครั้ง
ในขณะนี้ฉินมู่หลานมั่นใจแล้วว่ามีคนสะกดรอยตามพวกเธออยู่จริง ๆ
เมื่อคิดได้ว่าตอนนี้เธอท้องโตมากขนาดไหน และเหยาจิ้งจือก็ไม่ได้มีพละกำลังมากพอ หากมีคนสะกดรอยตามพวกเธอจริง ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับพวกเธอ ฉินมู่หลานจึงไม่ได้ก้าวตรงไปข้างหน้าต่อ แต่กลับพาเหยาจิ้งจือเลี้ยวขวาแล้วเดินเข้าไปตรงที่ผู้คนพลุกพล่าน
เหยาจิ้งจือเห็นฉินมู่หลานเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน จึงรีบเอ่ยถาม “มู่หลาน เมื่อกี้บอกว่าไปข้างหน้าไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเลี้ยวขวาล่ะ พวกเราเดินไปผิดทางกันหรือเปล่า?”
ฉินมู่หลานไม่พูดอะไร แต่ขยิบตาให้เหยาจิ้งจือแทน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แม่คะ ฉันอยากจะไปดูทางนู้นสักหน่อย”
แม้ในใจเหยาจิ้งจือจะรู้สึกสงสัย แต่หล่อนเชื่อว่าที่ลูกสะใภ้ทำแบบนี้ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง จึงไม่เอ่ยถามมาก แล้วเดินไปพร้อมกับเธอ “ได้สิ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปดูตรงนั้นกันสักหน่อยเถอะ”
เมื่อทั้งสองเดินอยู่บนถนน ฉินมู่หลานก็เริ่มมองดูอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เหยาจิ้งจือเห็นว่าฉินมู่หลานสนใจของพวกนี้ ก็เริ่มดูไปพร้อมเธออย่างช้า ๆ แต่ในใจรู้สึกกังวลนิดหน่อย เพราะเซี่ยเหวินปิงกำลังรออยู่ตรงนั้น แล้วพวกเธอสองคนกลับมาเดินซื้อของต่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้กลับตอนไหน
ฉินมู่หลานสังเกตเห็นสีหน้าของเหยาจิ้งจือได้อยู่แล้ว เธอค่อยๆ เลื่อนมือจับมือเหยาจิ้งจือแล้วเขียนคำลงบนฝ่ามือ
หลังจากเหยาจิ้งจือรู้สึกถึงสิ่งที่ฉินมู่หลานเขียนได้ ก็ตกใจสุดขีด
ฉินมู่หลานเห็นว่าสีหน้าของเหยาจิ้งจือดูมีพิรุธ จึงบีบมือหล่อนอีกครั้ง เพื่อเป็นการบอกว่าอย่ากระโตกกระตากไปจนผิดสังเกต เธอเพิ่งบอกเหยาจิ้งจือในสิ่งที่ตัวเองสงสัย ก็เพื่อให้รู้ตัวว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
เหยาจิ้งจือรู้สึกได้ถึงแรงบีบบนหลังมือ ก็รีบหายใจเข้าออกลึก ๆ ถี่ ๆ พยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้ รู้ดีว่าจะต้องไม่กระโตกกระตาก ขณะเดียวกันก็เข้าใจจุดประสงค์ที่ลูกสะใภ้คนเล็กพาตนมาเดินในที่คนพลุกพล่าน หล่อนจึงพยายามฝืนยิ้ม แล้วพูดคุยกับฉินมู่หลาน “มู่หลาน ฉันว่าอันนั้นก็ดูดีนะ อยากลองซื้อบ้างไหม”
ฉินมู่หลานยกยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นก็พาเหยาจิ้งจือเข้าไปในที่ที่คนพลุกพล่านมากขึ้น
เพียงแต่คนที่เดินตามนั้น ตามมาในระยะที่ประชิดมาก
แต่ถึงอย่างไร เมื่อคนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง ก็พบว่าทั้งสองได้หายไปแล้ว เขาจึงรีบวิ่งตรงไปข้างหน้าพลางหันรีหันขวาง
ในตอนนี้ ฉินมู่หลานกำลังดึงเหยาจิ้งจือมาซ่อนตัว ทั้งสองมองดูอย่างช่วยไม่ได้ ในขณะที่ชายหัวเกรียนคนนั้นกำลังมองหาคนไปทั่วทั้งบริเวณ
ฉินมู่หลานจ้องมองคนผู้นั้นอย่างระมัดระวัง ก่อนจะทราบว่าคนผู้นี้คือคนที่สะกดรอยตามพวกเธอ
เมื่อคนผู้นั้นเดินตรงไปข้างหน้าเพื่อหาใครบางคนอีกครั้ง เหยาจิ้งจือก็คิดอยากจะเอ่ยอะไรสักอย่าง ฉินมู่หลานรีบส่ายหัวให้ทันที เพื่อส่งสัญญาณให้หล่อนเงียบลง
แน่นอนว่ายังผ่านไปไม่ถึงพักหนึ่ง คนผู้นั้นก็เดินย้อนกลับมา ก่อนจะมองหารอบ ๆ อีกครั้ง
เหยาจิ้งจือตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก หากลูกสะใภ้คนเล็กไม่ได้เอ่ยเตือน หล่อนคงส่งเสียงออกไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะพยายามกลับมาอีก
เมื่อชายหัวเกรียนคนนั้นเห็นว่าเป้าหมายคลาดสายตาไปแล้ว สีหน้าของเขาก็ดูหม่นหมองก่อนจะเดินจากไป
รออีกสักประมาณห้านาที ฉินมู่หลานก็ดึงเหยาจิ้งจือออกมา “แม่คะ พวกเรารีบกลับกันเลยค่ะ”
“ได้”
เหยาจิ้งจือรู้สึกกลัวไปหมด ตัวหล่อนเองไม่มีอะไรต้องสนใจ แต่ลูกสะใภ้คนเล็กกำลังตั้งครรภ์ แล้วท้องโตขนาดนี้ หากมีเหตุให้เผชิญหน้ากันคงเป็นเรื่องย่ำแย่
ในตอนนั้นเอง ฉินมู่หลานก็เคลื่อนไหวเร็วมาก หลังจากรีบหารถแล้วกลับมาได้ ก็รีบให้เซี่ยเหวินปิงขึ้นมา แล้วรีบมุ่งหน้ากลับฐานทัพทันที
จนกระทั่งได้ขึ้นรถ ฉินมู่หลานกับเหยาจิ้งจือจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เซี่ยเหวินปิงมองทั้งสองคนอย่างสงสัยก่อนจะเอ่ยถาม “ทำไมเหรอ? ตั้งแต่เมื่อกี้พวกเธอดูกังวลกันมากเลย มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”
เหยาจิ้งจือรีบเอ่ยเล่าให้ฟังทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หลังจากนั้นจึงเอ่ยต่อ “โชคดีที่พวกเราเดินหลุดมาได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” 艾琳小說
เซี่ยเหวินปิงรู้สึกตกใจไปพักหนึ่งหลังจากได้ยินสิ่งนี้
“ทำไมถึงได้มีคนสะกดรอยตามพวกเธอกันนะ?”
เหยาจิ้งจือส่ายหัวแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่รู้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงตามพวกเรา โชคดีที่มู่หลานมีไหวพริบดี”
อันที่จริงฉินมู่หลานก็หวาดกลัวไม่น้อย แต่โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีอันตรายอะไรแล้ว “เอาไว้กลับถึงบ้านค่อยบอกเรื่องนี้กับอาหลี่ ให้เขาลองสืบเรื่องนี้ดู ฉันจำหน้ามันได้ เดี๋ยวจะวาดภาพเอาไว้เลยค่ะ”
“ได้ อีกเดี๋ยวเราจะบอกอาหลี่”
เมื่อทั้งสามกลับมาถึงบ้านพักครอบครัว ก็เห็นเซี่ยเจ๋อหลี่กำลังทำงานอยู่ในครัว เขาเห็นพ่อแม่กับภรรยากลับมาก็รีบเอ่ยถาม “พ่อครับ แม่ครับ มู่หลาน ทำไมกลับมากันช้าจัง ผมกำลังคิดเลยว่าถ้าทุกคนยังไม่กลับมาจะออกไปตามหาแล้ว”
“อาหลี่ มีคนสะกดรอยตามพวกเรา”
เหยาจิ้งจือรีบเล่าเรื่องนี้ทันที จากนั้นก็เอ่ยต่อ “แกต้องรีบสืบสวนอย่างละเอียดเลย เจ้านั่นดูกัดไม่ปล่อยสักนิด ฉันจะทำยังไงถ้าตกเป็นเป้าหมายอีก”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
น่ากลัวมากค่ะ ดีที่มู่หลานฉลาดไหวตัวทัน เป็นคนที่ยัยจิ้งถงหรือไม่ก็แม่เฒ่าสารพัดพิษนั่นส่งมาเก็บจิ้งจือหรือเปล่านะ?
ไหหม่า(海馬)