ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 192 ฉินเจี้ยนเซ่อได้รับบาดเจ็บ(2)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 192 ฉินเจี้ยนเซ่อได้รับบาดเจ็บ(2)

ตอนที่ 192 ฉินเจี้ยนเซ่อได้รับบาดเจ็บ(2)

เมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกสาวพูด ยินอวี่โหรวก็รีบเงยหน้าขึ้นมองทันที ก่อนจะเอ่ยถามด้วยท่าทางจริงจัง “แกรู้ได้ยังไง ฉันบอกแกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเดี๋ยวฉันจัดการเอง แกแค่คอยดูผลลัพธ์ก็พอ”

เมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่เริ่มโกรธแล้ว เหยาจิ้งถงจึงรีบเอ่ยขึ้นทันที “แม่ ฉันยังกังวลอยู่ถึงได้สนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษไง ไม่ได้นึกกังขากับแม่สักหน่อย”

ถึงอย่างไรยินอวี่โหรวก็โกรธมาก เมื่อรู้ว่าลูกสาวไม่วางใจในฝีมือของนาง

“เหยาจิ้งถง ตอนนี้แกปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ แม้แต่ฉันก็ยังจับตามอง”

“แม่ ฉันแค่ใส่ใจเรื่องนี้มากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นเอง มรดกครอบครัวมันมากมายมหาศาลขนาดนั้น ฉันไม่อยากให้ใครมาพรากมันไป”

ถึงแม้ว่าลูกสาวจะบอกกล่าวแบบนั้น ยินอวี่โหรวก็ยังคงโกรธมาก

เหยาจิ้งถงในตอนนี้ก็โกรธมากเช่นกัน “แม่ แม่บอกว่าจะจัดการมัน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังจัดการได้ไม่ดีเลย แล้วแม่จะไม่ให้ฉันใส่ใจเรื่องนี้เป็นพิเศษอีกเหรอ ไม่ต้องบอกว่าจะจัดการคนเดียวเลย ให้ฉันช่วยแม่ด้วยได้ไหม บางทีเราอาจจะกำจัดเหยาจิ้งจือได้ในเร็ววันก็ได้ ทำให้มันไม่ต้องมาปรากฎตัวต่อหน้านายท่านเหยากับคุณนายเหยาอีก”

เมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาว ยินอวี่โหรวก็ชี้ตรงไปทางประตูก่อนจะเอ่ยขึ้น “ฉันบอกว่าฉันจะจัดการเองก็ให้ฉันจัดการเอง อย่าให้ฉันรู้ว่าแกมาก้าวก่ายฉันอีก เอาล่ะ ตอนนี้แกไสหัวไปได้แล้ว”

“แม่ แม่…”

เหยาจิ้งถงมองแม่ของตนด้วยสายตาเหลือเชื่อ ไม่คิดว่านางจะไล่ตน เพียงแต่ตอนนี้หล่อนก็โกรธมากเช่นกัน จึงได้เอ่ยอย่างเย็นชา “ได้ ไปก็ได้ค่ะ”

หลังจากเหยาจิ้งถงไปแล้ว ยินอวี่โหรวก็อดถอนหายใจเสียไม่ได้

ลูกสาวไม่เข้าใจถึงความตั้งใจของนางเลย ที่นางอยากกันลูกสาวออกจากเรื่องนี้ก็เพราะว่าหากเรื่องนี้โดนเปิดโปงในอนาคต ลูกสาวจะได้ไม่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง หล่อนจะยังได้เป็นคุณหนูตระกูลเหยา ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกับอะไรทั้งสิ้น

เมื่อคิดเช่นนี้ แววตาของยินอวี่โหรวก็มืดมนลง

ดูเหมือนว่าจะต้องเร่งมือให้เร็วขึ้นแล้วจริง ๆ จะปล่อยให้เหยาจิ้งจือลอยนวลต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงต้องเสียทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลเหยาไปจริง ๆ ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

อีกด้านหนึ่ง เหยาจิ้งจือไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังจะโดนเล่นงานอีกครั้งแล้ว ตอนนี้หล่อนกำลังทำซาลาเปาอยู่กับฉินมู่หลาน

“มู่หลาน เธอทำได้ดีมาก ทำซาลาเปาด้วยวิธีนี้ออกมาแล้วนุ่มละมุนปากอร่อยมากเลย”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานก็อดยกยิ้มแล้วพูดขึ้นอย่างเสียช่วยไม่ได้ “จริงเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะลองชิมสักหน่อยว่าอร่อยจริงหรือเปล่า”

“ได้ เดี๋ยวฉันจะนึ่งแล้วล่ะ”

ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะกัน ทำงานกันได้มีประสิทธิภาพ แต่เหยาจิ้งจือเห็นว่าสะใภ้คนเล็กยุ่งมานานแล้ว จึงรีบเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “มู่หลาน เธอคงเหนื่อยแล้ว รีบไปพักเถอะ”

ฉินมู่หลานได้ยินเหยาจิ้งจือพูดดังนั้นก็ไม่ปฏิเสธ แล้วเอ่ยตามตรง “ได้ค่ะแม่ ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปนั่งพักสักหน่อยนะคะ”

เมื่อฉินมู่หลานไปนั่งพัก เหยาจิ้งจือก็นึ่งซาลาเปาทันที จากนั้นเริ่มทำอาหารจานอื่นๆ

เมื่อเซี่ยเจ๋อหลี่กับเซี่ยเหวินปิงกลับมาในตอนเที่ยง ทุกคนก็เริ่มรับประทานอาหารกัน

ก่อนหน้านี้เซี่ยเจ๋อหลี่กับฉินมู่หลานไม่ได้พูดคุยกันมากมายนักระหว่างรับประทานอาหาร แต่ตั้งแต่เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงมา ก็ได้พูดคุยบนโต๊ะอาหารอยู่สองสามประโยค

“เหวินปิง คุณปลูกผักพวกนั้นหมดแล้วเหรอ?”

“อย่าห่วงเลย ปลูกเอาไว้หมดแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะไปรดน้ำอีกครั้ง”

เมื่อได้ยินสามีพูดเช่นนั้น เหยาจิ้งจือก็พยักหน้า

เซี่ยเจ๋อหลี่ในวันนี้กินข้าวตามปกติ ทว่าไม่เอ่ยอะไรสักคำ

ฉินมู่หลานจึงมองแล้วเอ่ยถามเซี่ยเจ่อหลี่อย่างอดไม่ได้ “อาหลี่ เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ ทำไมเงียบจัง”

ในตอนนั้นเอง เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงก็พากันหันมองเช่นกัน

เซี่ยเจ๋อหลี่ส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “ผมไม่เป็นไร”

ถึงแม้ว่าเซี่ยเจ๋อหลี่จะบอกว่าเขาไม่เป็นไร แต่ฉินมู่หลานก็รู้สึกได้ว่าเขาไม่ค่อยมีความสุขนัก

เมื่อเห็นภรรยาจ้องมองตัวเองตลอดเวลา เซี่ยเจ๋อหลี่จึงถอนหายใจ แล้วบอกกล่าว “จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่ทะเลาะกับพวกทีมสองน่ะ” หลังจากนั้นพวกเขากับทีมสองก็ต่างโดนลงโทษกันหมด แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไร เพราะไม่อยากให้มู่หลานต้องกังวล

“ทีมสอง? นั่นมันทีมของเหยาอี้หนิงไม่ใช่เหรอ?”

เมื่อเห็นผู้เป็นแม่เอ่ยถามเช่นนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็พยักหน้าแล้วพูด “ใช่ครับ พวกเขานั่นแหละ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหยาจิ้งจือก็รู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาเสียไม่ได้ “พวกมันก็เคยสร้างปัญหาให้แกมาก่อน ครั้งนี้ยังจะกล้าอีก ช่างเหลือเกินเสียจริง”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หล่อนก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง และเรื่องที่เพิ่งเกิดกับตนและเซี่ยเหวินปิงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาด้วยความอึดอัด

เซี่ยเหวินปิงเห็นภรรยาโกรธมาก จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปเอ่ยถามฉินมู่หลาน “มู่หลาน แม่เธอจำเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเด็กไม่ได้ เพราะเคยบาดเจ็บที่ศีรษะมาก่อน ก็ไม่รู้ว่าเธอจะลองช่วยตรวจดูให้ได้ไหม ว่าหล่อนจะฟื้นความทรงจำในวัยเด็กได้หรือเปล่า บางทีอาจจะหาต้นตอได้ว่าแม่หลงทางยังไง”

“ถ้าจิ้งจือหลงทาง แล้วมันเกี่ยวข้องกับพวกเหยาจิ้งถง ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จะใช้เป็นหลักฐานปรักปรำพวกมันได้”

ทุกอย่างในตอนนี้ล้วนเป็นเพียงการคาดเดาของพวกเขา แต่หากมีหลักฐานที่พอจะเป็นรูปธรรมได้ เรื่องนี้จะไม่เหมือนเดิม

เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ ก็หันมองเช่นกัน

ฉินมู่หลานส่ายหัวแล้วเอ่ยพูดเพิ่มเติม “แผลบนศีรษะของแม่หายดีตั้งนานแล้ว ตอนแรกที่แม่บอกว่าจำอดีตไม่ได้ ฉันก็ลองตรวจชีพจรของแม่ดูแล้ว พบว่าเรื่องที่แม่จำอดีตไม่ได้ไม่ใช่เพราะเรื่องแผลกระทบกระเทือนหรอกค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลายคนก็อดถอนหายใจเสียไม่ได้

และเมื่อฉินมู่หลานเห็นทุกคนดูไม่มีความสุข ก็อดพูดเสียไม่ได้ “แต่ฉันฝังเข็มให้แม่ทุกวันได้นะคะ บางทีพอผ่านไปสักพัก แม่ก็จะจำเรื่องที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้าได้”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี”

เวลาผ่านไป ทุกคนก็ยังคงรับประทานอาหารต่อ

เมื่อรับประทานเสร็จ ฉินมู่หลานก็คิดอยากจะช่วย แต่ถูกพวกเหยาจิ้งจือไล่ให้ไปพักผ่อน

ฉินมู่หลานพยายามมองหาโอกาส แต่เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เอ่ยขึ้นมาก่อน

เขายกยิ้มแล้วเอ่ย “มู่หลาน คุณควรพักผ่อนให้เต็มที่นะ อย่าคิดอะไรมากมายเลย”

“ก็ได้ค่ะ”

เมื่อเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่พูดแบบนี้ เธอจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

ครั้นถึงวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานก็ยังคงปรุงยาผงและยาเม็ดอยู่ที่บ้านต่อ ส่วนเหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงพากันไปรดน้ำในแปลงผัก

กระทั่งเริ่นม่านลี่มาหา ฉินมู่หลานก็เป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ที่บ้าน

“มีอะไรเหรอคะ?”

เมื่อเห็นเริ่นม่านลี่ ฉินมู่หลานก็ขมวดคิ้วขึ้นนิดหน่อย แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย

เริ่นม่านลี่เห็นฉินมู่หลานแล้วก็ขมวดคิ้วเช่นกัน แต่ก็ยังจำจุดประสงค์ของการมาเยือนได้ จึงยื่นจดหมายออกไปให้ แล้วเอ่ยขึ้น “ตอนฉันไปรับจดหมาย มีจดหมายของเธอมาด้วย บุรุษไปรษณีย์ขอให้ฉันเอามาให้เธอ”

เอ่ยจบก็รีบยื่นจดหมายไปให้ทันที

หลังจากฉินมู่หลานรับจดหมายแล้ว เริ่นม่านลี่ก็เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง

ในตอนนี้ฉินมู่หลานก็รับรู้ว่าเริ่นม่านลี่มาที่นี่เพื่อนำจดหมายมาให้ เมื่อเห็นว่าชื่อผู้รับที่จ่าบนหน้าซองเป็นชื่อของเธอ เธอก็เปิดแล้วเริ่มอ่านเนื้อหา หลังจากได้อ่านเนื้อหาข้างในอย่างชัดเจนแล้ว สีหน้าของเธอก็ยับย่นอย่างเห็นชัด

ฉินเจี้ยนเซ่อพ่อของเธอได้รับบาดเจ็บกะทันหัน และยังบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เกิดอะไรขึ้นกับพ่อของมู่หลานกันนะ ใครทำอะไรพ่อของมู่หลาน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท