ตอนที่ 194 โหยวหย่ง
ตอนที่ 194 โหยวหย่ง
หลังจากฉินมู่หลาน เซี่ยเหวินปิงกับเหยาจิ้งจือทั้งสามคนออกไปแล้ว ก็ได้พบเจอผู้คนมากมาย
เจียงลวี่ชิวเห็นพวกเขา จึงรีบก้าวมาถามทันที “พี่สะใภ้ พวกคุณจะเดินทางไกลกันเหรอคะ?”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ จึงยกยิ้มแล้วบอกกล่าว “ใช่ค่ะ กำลังจะกลับบ้านเกิดน่ะค่ะ”
เมื่อเจียงลวี่ชิวได้ยินเช่นนี้ จึงมองฉินมู่หลานด้วยความแปลกใจก่อนจะพูดขึ้น “พี่สะใภ้ ฉันคิดว่าพวกคุณกำลังจะไปปักกิ่งเสียอีก ไม่คิดว่าจะกลับบ้านเกิด แล้วแบบนี้พวกคุณยังจะมากันอีกไหมคะ หรือว่าจะรอคุณคลอดก่อนแล้วค่อยกลับมา?”
ฉินมู่หลานไม่ได้อธิบายละเอียด เพียงแค่เอ่ยบอกอย่างกระชับ “พวกเราจะกลับมาเร็ว ๆ นี้ค่ะ ครั้งนี้แค่จะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด”
เจียงลวี่ชิวได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก
คนอื่นๆ แถวนี้ต่างพากันสนใจ หลังจากได้ยินคำพูดของฉินมู่หลานแล้ว ก็ยกยิ้มแล้วเอ่ยพูดด้วยไม่กี่คำ ส่วนใหญ่บอกว่า ‘เดินทางปลอดภัย รีบกลับมานะ’
เริ่นม่านลี่มองพวกฉินมู่หลานจากที่ไกล หลังจากทราบว่าพวกเขากำลังจะกลับบ้านเกิด ก็ขมวดคิ้วสงสัย
จนกระทั่งฉินมู่หลาน เหยาจิ้งจือ เซี่ยเหวินปิงทั้งสามคนไปแล้ว เริ่นม่านลี่จึงเพิ่งกลับมาที่บ้าน โดยไม่คิดว่าเมื่อกลับมาถึงแล้วจะพบสามีนั่งอยู่บนโซฟา
“วันนี้คุณไม่มีฝึกซ้อมเหรอ ทำไมถึงกลับมาเร็วจัง?”
เหยาอี้หนิงได้ยินแล้วก็ตอบกลับ “พรุ่งนี้ผมมีภารกิจ ก็เลยต้องรีบกลับมาเพื่อเตรียมตัวสักหน่อย” เมื่อเอ่ยจบ เขาก็หันมองเริ่นม่านลี่แล้วเอ่ยถาม “แล้ววันนี้ทำไมคุณถึงกลับมาเร็วเหมือนกันล่ะ”
“ฉันไม่มีสอนแล้ว ก็เลยกลับมาก่อน แต่ตอนที่ฉันเพิ่งกลับมาเห็นฉินมู่หลานกับพ่อแม่สามีของหล่อนเหมือนจะกำลังเดินทางกลับไปบ้านเกิดนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหยาอี้หนิงก็ตกใจ “กลับไปบ้านเกิดเหรอ ถ้าอย่างนั้นแล้วเซี่ยเจ๋อหลี่ล่ะ?”
เริ่นม่านลี่ส่ายหัวแล้วบอกกล่าว “เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้อยู่ด้วย เดาว่าน่าจะกลับไปกันแค่สามคน”
เหยาอี้หนิงได้ยินสิ่งนี้จึงพยักหน้าแล้วเอ่ย “ก็นะ พรุ่งนี้เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ต้องออกไปทำภารกิจ คงกลับบ้านเกิดไม่ได้อยู่แล้ว”
แต่แล้วความสงสัยก็แวบผ่านเข้ามาในดวงตาของเหยาอี้หนิง
“แล้วทำไมอยู่ ๆ พวกเขาถึงกลับบ้านเกิดกันล่ะ?”
“เรื่องนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉินมู่หลานไม่ได้อธิบายอะไรละเอียด” และหลังจากเริ่นม่านลี่ได้ฟังคำพูดสามี ก็สงสัยไปด้วย “พรุ่งนี้เซี่ยเจ๋อหลี่ออกไปทำภารกิจ หรือว่าคุณสองคนจะต้องไปด้วยกัน?”
เหยาอี้หนิงยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ใช่แล้ว พรุ่งนี้พวกผมจะต้องไปร่วมทำภารกิจกับพวกมัน ไม่รู้ว่าใครเป็นคนจัดการ”
อีกด้านหนึ่ง หลังจากฉินมู่หลาน เหยาจิ้งจือ เซี่ยเหวินปิงทั้งสามคนมาถึงสถานีรถไฟ ชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าก็เดินตรงมาหาพวกเขา
ทันทีที่เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงเห็นชายคนนั้นเดินมาหาพวกเขา ในใจก็เริ่มตึงเครียด จากนั้นทั้งสองก็ก้าวมาบังหน้าฉินมู่หลานโดยเร็ว
ผู้ชายตรงหน้าดูท่าทางเหมือนคนไม่ดี ไม่ใช่แค่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าเท่านั้น แต่สีหน้ายังดูอาฆาตแค้นเหมือนกำลังอารมณ์ไม่ดี หรือว่าคนผู้นี้มาเพื่อจัดการพวกเขากันนะ แต่ที่นี่มีคนเยอะมาก นอกจากนี้ก็ยังดูโจ่งแจ้งเกินไปด้วย
หวังหู่ปรากฎตัวขึ้นทันเวลาพอดี ก่อนจะอธิบายให้ทั้งสามได้ฟัง “เขาคือโหยวหย่ง เป็นคนที่หัวหน้าหามา ที่อยากจะให้ไปกับพวกเราครับ”
หลังจากมาถึงสถานี หวังหู่กับเหวินเฉียนก็ปรากฎตัวขึ้นอย่างเด่นชัด คนที่หมู่บ้านชิงซานไม่มีใครรู้เรื่องของพวกเขา เมื่อถึงเวลาก็บอกว่าเป็นญาติของตระกูลเซี่ยก็พอ นอกจากนี้ครั้งล่าสุดที่คอยคุ้มกันเหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิง พวกเขาก็ได้ปรากฎตัวให้เห็นแล้ว หากมีผู้ใดอยากขุดคุ้ยก็คงได้ทราบไปแล้ว ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เมื่อได้ยินสิ่งที่หวังหู่พูด เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงก็พากันตกใจ ผู้ชายหน้าตาน่ากลัวเหมือนคนไม่ดีนี่คือคนที่ลูกชายจ้างมาปกป้องพวกเขาหรอกหรือ นี่…ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรเลย
ฉินมู่หลานไม่รู้สึกอะไรเลย เธอพยักหน้าให้โหยวหย่งแล้วพูดว่า “ต้องขอรบกวนคุณด้วยนะคะ”
โหยวหย่งมองฉินมู่หลานอย่างละเอียด สายตาของเขาฉายแววว่าอยากรู้อยากเห็นเรื่องเธอ เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่เซี่ยเจ๋อหลี่จอมเย็นชานั่นจะแต่งงานแล้ว และเร็ว ๆ นี้ก็กำลังจะได้เป็นพ่อคน เขาจึงรู้สึกเหลือเชื่อนิดหน่อย
เพียงแต่เมื่อเห็นใบหน้าแสนสวยและบุคลิกท่าทางสงบเสงี่ยมมีน้ำใจของฉินมู่หลาน เขาก็คิดขึ้นอีกครั้งว่าไม่น่าแปลกใจ พี่สะใภ้ที่อยู่ตรงหน้าช่างแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นอย่างเห็นชัด
“พี่สะใภ้ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ต่อไปผมจะคอยตามติดพวกคุณ” ขณะเอ่ยก็หันไปทักทายเหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงอีกครั้ง
“สวัสดีครับ”
ครั้นเหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงทราบว่าโหยวหย่งมาที่นี่เพื่อคอยคุ้มกันพวกเขา ก็ไม่รู้สึกกลัวแล้ว พลางยกยิ้มแล้วเอ่ยทักทาย
หลังจากที่โหยวหย่งได้พบกับพวกของฉินมู่หลาน คนกลุ่มหนึ่งก็พากันขึ้นรถไฟทันที เนื่องจากฉินมู่หลานกำลังตั้งครรภ์ ดังนั้นเซี่ยเจ๋อหลี่จึงไม่ลืมที่จะใช้เส้นสายซื้อตั๋วที่นอนให้ ฉินมู่หลานจึงไม่รู้สึกเมื่อย เพียงแต่ในใจยังคงกังวลเรื่องฉินเจี้ยนเซ่อ จึงไม่ค่อยได้พักผ่อนเท่าไรนัก
เหยาจิ้งจือเห็นสีหน้าตึงเครียดของฉินมู่หลานแบบนั้น ก็รีบเอ่ยปลอบใจ “มู่หลาน เธออย่ากังวลไปเลย พ่อเธอต้องไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ ก็พยักหน้าแล้วเอ่ย “ค่ะ พ่อฉันต้องไม่เป็นไร”
หลังจากรถไฟเข้าสู่มณฑลซานตง ไม่นานก็มาถึงเขตเต๋อแล้ว หลายคนจึงลงจากรถไฟแล้วรีบมุ่งหน้าจากเมืองตรงไปที่หนิงเจิ้น
“พ่อคะ แม่คะ ตอนนี้พ่อของฉันอยู่ที่โรงพยาบาลในเมือง เดี๋ยวฉันขอไปดูก่อน พวกพ่อกับแม่กลับบ้านกันก่อนก็ได้ค่ะ” ฉินมู่หลานร้อนใจยิ่งนัก อยากจะไปดูฉินเจี้ยนเซ่อเสียก่อน
เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงได้ยินเช่นนั้น ก็รีบพูดขึ้นทันที “มู่หลาน พวกเราจะไปกับเธอด้วย”
โหยวหย่งที่ตามติดอยู่จข้าง ๆ เอ่ยพูดขึ้น “ไปด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละครับ ถ้าแยกกันไป ผมกับพวกหวังหู่ก็จะต้องแยกกัน หากเป็นอย่างนั้น เราก็จะกระจัดกระจายกัน”
เมื่อเห็นโหยวหย่งเอ่ยแบบนี้ ฉินมู่หลานก็ไม่พูดอะไรอีก แล้วพาคนกลุ่มหนึ่งตรงไปที่โรงพยาบาล
เมื่อฉินมู่หลานมาถึงโรงพยาบาล ก็บังเอิญพบหลี่เฉิงต้งพอดี “หมอหลี่คะ พ่อของฉันพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ คุณพอจะทราบไหมคะว่าเขาพักอยู่ที่ไหน?”
หลี่เฉิงต้งเห็นฉินมู่หลานมา ตอนแรกก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย จากนั้นก็รีบพูด “ผมเข้าใจแล้ว เดี๋ยวผมจะพาคุณไป”
ฉินมู่หลานกับคนอื่นตามหลี่เฉิงต้งไปที่ห้องพักผู้ป่วยของฉินเจี้ยนเซ่อ ซูหว่านอี๋กำลังอยู่ดูแลเฝ้าไข้ เมื่อเห็นลูกสาวกลับมา สีหน้าก็พลันประหลาดใจ แต่ไม่นานนักก็รีบก้าวเดินไปหาด้วยสีหน้าตื่นเต้น ก่อนจะบอกกล่าว “มู่หลาน ในที่สุดลูกก็มา พ่อของลูกเขา…ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย หมอบอกว่าอาการบาดเจ็บสาหัสมาก ถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้ บางทีอาจจะไม่ฟื้นอีกแล้วก็ได้”
หลังจากพูดจบ ซูหว่านอี๋ก็เริ่มร้องไห้ทันที
เหยาจิ้งจือและเซี่ยเหวินปิงได้ยินดังนี้ก็พากันตกใจ พวกเขาไม่คิดเลยว่าอาการบาดเจ็บของญาติสะใภ้จะรุนแรงขนาดนี้
ฉินมู่หลานเห็นแล้วว่าฉินเจี้ยนเซ่อบาดเจ็บสาหัส เธอตบไหล่ซูหว่านอี๋เบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แม่คะ ไม่ต้องร้อง ฉันขอดูพ่อหน่อยค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาว ซูหว่านอี๋ก็รีบพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ใช่ ๆ มู่หลาน ลูกรีบดูพ่อหน่อยเร็ว ว่าเขายังฟื้นได้อยู่ไหม”
โหยวหย่ง หวังหู่ และเหวินเฉียนที่ตามอยู่ข้างหลังก็หันมองฉินมู่หลานด้วยความแปลกใจ
เพราะหมอบอกว่าอาการของฉินเจี้ยนเซ่อสาหัสมาก อาจจะไม่สามารถฟื้นได้แล้ว แต่คนแม่กลับหันมองพี่สะใภ้ด้วยท่าทางเปี่ยมหวัง ขนาดหมอยังทำอะไรไม่ได้ แล้วพี่สะใภ้จะทำอะไรได้อย่างนั้นหรือ
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
บางทีก็ตัดสินคนจากหน้าตาไม่ได้จริงๆ เห็นหน้าทรงโจรอาจจะใจดีก็ได้
ไม่รู้อะไรซะแล้ว มู่หลานเก่งวิชาแพทย์มากนะ ที่ยัยเจ๋อนอนเป็นผักส่วนหนึ่งก็เป็นฝีมือของมู่หลาน
ไหหม่า(海馬)