ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 207 เบาะแส

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 207 เบาะแส

ตอนที่ 207 เบาะแส

เหยาจิ้งจือเห็นเฉียนกุ้ยจือแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “กุ้ยจือ ทำไมคุณยังอยู่ที่นี่ล่ะ?”

“ฉัน…….ฉันเป็นห่วงพวกเธอ ก็เลยซ่อนตัวคอยดูสถานการณ์อยู่ตรงนี้”

โหยวหย่งได้ยินเช่นนั้นก็มองดูเฉียนกุ้ยจือด้วยสายตาเฉียบคม “ไม่ใช่ เมื่อกี้คุณไม่ได้อยู่ตรงนี้”

เฉียนกุ้ยจือได้ยินคำพูดนั้นก็อธิบายทันที “ฉันไปหาคนมาช่วยและเพิ่งกลับมาเมื่อครู่นี้ เห็นว่าประตูยังคงปิดอยู่ก็เลยมาซ่อนตัวตรงมุมนี้”

เมื่อกล่าวคำพูดสุดท้าย ก็สังเกตเห็นว่ายังมีคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาอีกคนหนึ่ง จากนั้นมองเย่เสี่ยวเหอที่ถูกจับด้วยความฉงนเล็กน้อยและเอ่ยถาม “เย่เสี่ยวเหอเหรอ? ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ? เมื่อกี้ไม่เห็นเธอเลย แล้วนี่…….เกิดอะไรขึ้นกับเธองั้นเหรอ?”

เหยาจิ้งจือได้ยินคำพูดนี้ของเฉียนกุ้ยจือ จึงเอ่ยอธิบายทันที “กุ้ยจือ เรื่องนี้พูดไปแล้วก็ยาว เธอรีบกลับไปเถอะ พวกเราไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันยังต้องพาเสี่ยวเชี่ยนกลับไปทำแผล”

เฉียนกุ้ยจือตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัย ขณะจะถามอะไรบางอย่าง โหยวหย่งพลันก้าวมาด้านหน้าและเอ่ย “รีบไปเถอะ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะพาคุณไปด้วยกัน”

“คุณ…….ไม่ใช่ว่าคุณเป็นญาติของจิ้งจือคนนั้นหรอกเหรอ คุณ…….”

อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นสีหน้าที่น่าเกลียดมากยิ่งขึ้นของโหยวหย่ง น้ำเสียงของเฉียนกุ้ยจือก็แผ่วเบาลงมากยิ่งขึ้น แล้วก็รีบปิดปากเงียบ

เหยาจิ้งจือรีบเอ่ยแนะนำอีกครั้ง “กุ้ยจือ เธอกลับไปก่อนเถอะ”

“โอ้…….ได้”

ขณะที่เฉียนกุ้ยจือกำลังจะหันกลับไป ชายร่างใหญ่กำยำประมาณหกถึงเจ็ดคนพลันปรากฏด้านหน้าของหล่อน “ไอหยา……ในที่สุดพวกคุณก็มากันแล้ว”

กระนั้นหล่อนก็ตระหนักได้ในภายหลังว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องมาอีกแล้ว จึงรีบหันศีรษะกลับไปมองเหยาจิ้งจือและพวกเขาพร้อมกับเอ่ย “เมื่อกี้ฉันไปหาคนมาช่วยเหลือ ฉันมีญาติห่างๆอยู่ภายในตัวเมืองเลยไปหาเขามา แต่เขาต้องใช้เวลาเรียกผู้คนสักพักหนึ่ง ดังนั้นฉันจึงมาที่นี่ก่อน”

ได้ยินเช่นนี้ เหยาจิ้งจือก็รู้สึกประทับใจมาก ทว่าหล่อนยังไม่อาจให้คนอื่นรับรู้สถานการณ์ของตนเองในตอนนี้ได้ จึงมองเฉียนกุ้ยจือและเอ่ย “กุ้ยจือ งั้นเธอช่วยอธิบายกับญาติของเธอหน่อย ถึงตอนนั้นฉันจะเลี้ยงข้าวพวกเธอ พวกเธอกลับไปก่อนเถอะ”

“ตกลง”

แม้ในใจของเฉียนกุ้ยจือจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรมากนัก หล่อนรู้สึกว่าโหยวหย่งและพวกของเขาดูค่อนข้างอันตราย ดังนั้นจึงรีบวิ่งไปข้างหน้าและอธิบายให้พวกเขาฟัง สุดท้ายแล้วก็จากไปพร้อมกับพวกเขา

กระทั่งเฉียนกุ้ยจือและคนอื่นจากไปแล้ว โหยวหย่งชำเลืองมองคนที่อยู่ท้ายสุด คนผู้นั้นเข้าใจเป็นอย่างดีและรีบวิ่งไปนำร่างหัวโจกที่เสียชีวิตแล้วออกมา จากนั้นโหยวหย่งก็มองเหยาจิ้งจือพร้อมกับเอ่ย “คุณป้าครับ คุณกับเหวินเชี่ยนกลับไปยังหมู่บ้านก่อนนะครับ ผมจะพาคนเหล่านี้ไปจัดการก่อน”

“ได้ งั้นพวกเธอรีบไปเถอะ”

เนื่องจากเหวินเชี่ยนได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืน การไปโรงพยาบาลในตอนนี้จึงไม่ใช่แผนที่ดีนัก พวกหล่อนทั้งสองคนจึงกลับไปยังหมู่บ้าน ฉินมู่หลานมีทักษะทางการแพทย์ดีมาก จัดการบาดแผลเช่นนี้คงไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน

ขณะนี้เหวินเชี่ยนมีสีหน้าซีดเซียว ทว่าหล่อนมีความอดทนอย่างน่าทึ่ง ไม่แสดงความเจ็บปวดออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย หลังกลับมายังหมู่บ้านก็ยังทักทายคนอื่นด้วยรอยยิ้ม เหยาจิ้งจือเป็นฝ่ายที่ร้อนรนมากยิ่งกว่า กล่าวว่าที่บ้านมีเรื่องด่วน จากนั้นรีบพาเหวินเชี่ยนกลับบ้าน

เมื่อฉินมู่หลานเห็นว่าทั้งสองคนกลับมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่เมื่อเห็นบาดแผลของเหวินเชี่ยนก็รีบให้หล่อนนั่งลง

“มู่หลาน เสี่ยวเชี่ยนถูกยิงเพราะพยายามช่วยเหลือฉัน เธอรีบดูบาดแผลให้หล่อนเร็วเข้า”

“แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจะช่วยเอากระสุนออกให้เองค่ะ” หลังจากนั้นฉินมู่หลานก็ให้เหยาจิ้งจือเตรียมน้ำร้อนและเตรียมอุปกรณ์บางส่วนที่จำเป็นจะต้องใช้

เหยาจิ้งจือได้ยินคำสั่งของฉินมู่หลานก็รีบไปจัดการ เมื่อมีเรื่องให้จัดการ อารมณ์ของหล่อนก็ค่อยๆสงบลง

กระทั่งเตรียมสิ่งของทุกอย่างเสร็จสิ้น ฉินมู่หลานได้ทำการช่วยเหลือและนำกระสุนออกจากร่างกายของเหวินเชี่ยนด้วยความรวดเร็ว หลังจากพันผ้าพันแผลให้กับหล่อนแล้วสุดท้ายก็มีเวลาเอ่ยถาม “ตอนที่พวกคุณเข้าไปในเมืองแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอคะ?”

เหยาจิ้งจือรีบเล่าเหตุการณ์ทุกอย่าง ท้ายที่สุดแล้วก็เอ่ยอย่างคับแค้นใจ “ตระกูลของเย่เสี่ยวเหอจะต้องมีเรื่องบางอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงได้ทำแบบนี้”

ฉินมู่หลานคาดเดาได้ตั้งนานแล้วว่าครอบครัวของพวกเขามีปัญหา จึงไม่ได้ตื่นตระหนกมากนัก กลับรู้สึกแปลกใจมากกว่าว่าสุดท้ายแล้วใครเป็นคนคอยบงการเย่เสี่ยวเหอ

ขณะที่พวกหล่อนพูดคุยกัน เซี่ยเหวินปิงกลับมาพร้อมกับด้ามจอบ มองภรรยาที่กลับมาอย่างปลอดภัยแล้วหัวใจก็ผ่อนคลายลงในที่สุด

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

หลังจากนั้นเขาก็ถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากรู้ว่าโหยวหย่งได้จับตัวเย่เสี่ยวเหอไปด้วยก็จ้องมองฉินมู่หลานและเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “มู่หลาน จากนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดีล่ะ?”

“ฉันวางแผนจะไปสอบถามเย่เสี่ยวเหอด้วยตัวเองค่ะ”

ขณะกล่าว ฉินมู่หลานมองเซี่ยเหวินปิงและเอ่ย “พ่อคะ ในเมื่อสองแม่ลูกเย่เสี่ยวเหอได้ทำเรื่องราวแบบนี้ ฉันคิดว่าผู้ใหญ่บ้านก็น่าจะรู้ด้วย คนที่จ้องทำร้ายคนอื่นอย่างเขาไม่ควรเป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านชิงซานของพวกเราค่ะ”

“ใช่ เย่ต้าหย่งก็คงรู้เรื่องนี้ด้วย”

เซี่ยเหวินปิงได้ยินคำพูดนี้ของสะใภ้เล็กและรู้สึกว่าสมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก “มู่หลาน พวกเราควรนำเรื่องนี้ไปรายงานต่อองค์กรหมู่บ้านและให้พวกเขาปลดเย่ต้าหย่งออกจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านดีไหม”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้กลับส่ายศีรษะและเอ่ย “พ่อคะ พ่ออย่าเพิ่งไปองค์กรหมู่บ้านเลย พ่อไปพูดคุยกับหัวหน้าทีมได้ อย่างไรวันนี้ป้าเฉียนเองก็เข้าเมืองด้วย เรื่องอันตรายที่แม่และเหวินเชี่ยนเผชิญในวันนี้หล่อนเองก็รู้ดี”

“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”

เซี่ยเหวินปิงมีปฏิกิริยาเช่นกัน โหยวหย่งลงมือโหดเหี้ยมเกินไป หากรายงานต่อองค์กรหมู่บ้านจริงๆ ครอบครัวของพวกเขาเองก็ยากจะอธิบาย

จากนั้นฉินมู่หลานเอ่ยอีกสองสามประโยค “พ่อคะ หลายปีมานี้ด้วยสถานะผู้ใหญ่บ้านของเย่ต้าหย่งนั้นจะต้องมีปัญหาบางอย่างแน่นอน พ่อกับหัวหน้าทีมลองปรึกษากันนะคะว่าสามารถขุดคุ้ยเรื่องราวที่เขาเคยทำได้หรือเปล่า”

จากความทรงจำก่อนหน้านี้ของเธอ หลังจากเย่ต้าหย่งเป็นผู้ใหญ่บ้านก็รู้สึกว่าเกิดปัญหาช่วงการเก็บเกี่ยวครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเขาทำให้หมู่บ้านสูญเสียเสบียงอาหารไปมากมาย ไม่รู้ว่าเย่ต้าหย่งใช้วิธีการจัดอย่างไรถึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย

เซี่ยเหวินปิงได้ยินคำพูดนี้ นัยน์ตาส่องประกาย “มู่หลาน ฉันจะไปหาเย่เถียจู้”

หลังจากเซี่ยเหวินปิงจากไป ฉินมู่หลานมองเหยาจิ้งจืออีกครั้งและเอ่ย “แม่คะ ตระกูลโจวและตระกูลจูภายใยหมู่บ้านต่างก็รู้ว่ามีคนต้องการจับตัวคุณ ตอนนี้คุณกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว คุณจะต้องอธิบายกับพวกหล่อนให้ดี”

“มู่หลาน แกวางใจเถอะ ฉันรู้ดีอยู่แก่ใจ ทางด้านกุ้ยจือฉันเองก็คิดไว้แล้วว่าจะพูดอธิบายอย่างไร”

ได้ยินคำพูดนี้ของเหยาจิ้งจือ ฉินมู่หลานพยักหน้า หลังจากเอ่ยเตือนอีกสองประโยคและให้เหยาจิ้งจือจัดการกับครอบครัวผู้ใหญ่บ้านก่อน

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน โหยวหย่งก็กลับมา ฉินมู่หลานชำเลืองมองเขาและเอ่ย “เย่เสี่ยวเหอล่ะ?”

“ผมนำตัวผู้คนไปยังลานกว้างแห่งหนึ่งที่ถูกทิ้งร้าง ที่นั่นอยู่ไม่ไกลจากชิงชาน” ขณะกล่าว เขาเล่าเรื่องราวที่ได้จากการสอบสวน “กลุ่มคนของวันนี้เป็นคนกลุ่มเดียวกันกับที่เคยทำร้ายพ่อของคุณ แต่ไม่สามารถสอบสวนอะไรไปได้มากกว่านี้”

“งั้นเหรอ ฉันจะไปดูด้วยตนเอง”

“ครับ”

โหยวหย่งตอบรับและมองหวังหู่กับเหวินเชี่ยนพร้อมกับเอ่ย “พวกนายสองคนอยู่ที่บ้านเถอะ ผมจะพาพี่สะใภ้ออกไปเอง”

เมื่อฉินมู่หลานมายังลานกว้างรกร้างแห่งนั้นและเห็นเย่เสี่ยวเหอ อีกฝ่ายก็จ้องมองตนเองด้วยสายตาโกรธแค้น

ฉินมู่หลานไม่เอ่ยคำพูดไร้สาระใดและถามในทันที “เย่เสี่ยวเหอ ใครให้เธอทำเรื่องเหล่านี้?”

“ฮึ…….ฉันมีสิทธิอะไรจะบอกเธอล่ะ”

“ไม่ยอมดื่มสุราคารวะ ชอบดื่มสุราลงทัณฑ์”

ฉินมู่หลานไม่ต้องการเสียเวลา ดังนั้นจึงหยิบขวดขนาดเล็กขวดหนึ่งออกมาและยื่นให้กับโหยวหย่งพลางเอ่ย “ป้อนยาในขวดนี้ให้กับหล่อน”

“ครับ”

โหยวหย่งลงมือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาบีบคางของเย่เสี่ยวเหอและยัดยาเข้าไป

“อื้อ……เธอเอาอะไรให้ฉันกิน”

เย่เสี่ยวเหอถูกบีบบังคับให้กินยา ขณะนี้ยาก็ถูกกลืนเข้าไปแล้ว

ฉินมู่หลานมองเย่เสี่ยวเหอด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มและเอ่ย “ย่อมเป็นของดี หวังว่าอีกเดี๋ยวเมื่อฉันเอ่ยถาม เธอยังจะสามารถปากแข็งได้อีก”

“ฮึ…… เธออย่าคิด…….”

เย่เสี่ยวเหอยังต้องการเอ่ยคำพูดถากถางอีกสองประโยค อย่างไรก็ตามโดยไม่รอให้เอ่ยจบ หล่อนก็รู้สึกทรมานไปทั่วทั้งร่างกาย ราวกับว่าเจ็บปวดไปถึงแก่นกระดูก

“กรี๊ด…….”

หล่อนทนไม่ไหวอีกต่อไปและกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ร่างกายของหล่อนขดตัวงอคุดคู้

หลังจากนั้นไม่นานนัก เย่เสี่ยวเหอพลันรู้สึกคันยุบยิบไปทั่วทั้งร่างกาย อาการคันดูเหมือนจะลามไปถึงหัวใจ หล่อนต้องการเกาแต่มือและเท้ากลับถูกมัดไว้จนไม่สามารถเกาได้ ความรู้สึกทรมานเช่นนี้ทำให้หล่อนแทบอยากตาย

“พูดมา ใครสั่งให้เธอทำเรื่องเหล่านี้?”

“เป็นผู้ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งมาหาฉันและให้ฉันทำแบบนี้ เขายังให้เงินฉันเป็นจำนวนมากและกล่าวว่าหลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จสิ้นก็จะมีเงินมากยิ่งขึ้น” เย่เสี่ยวเหอเล่าเรื่องราวทุกอย่างออกมาอย่างไม่ปิดบัง สุดท้ายแล้วก็จ้องมองฉินมู่หลานด้วยท่าทางทนไม่ไหวพร้อมกับเอ่ย “เร็ว……เอายาแก้มาให้ฉันเร็วเข้า ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันทนไม่ไหวแล้วจริงๆ”

ฉินมู่หลานยังคงนิ่งงันเมื่อได้ยินเช่นนั้นและเอ่ยถามต่อ “ผู้ชายวัยกลางคนนั้นคือใคร?”

“ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้จักเขา”

ขณะนี้เย่เสี่ยวเหอรู้สึกเจ็บปวดและคันมาก หล่อนทนไม่ไหวแล้วและล้มลงบนพ้น จากนั้นคลานไปยังด้านหน้าของฉินมู่หลาน “เร็ว เอายาแก้มาให้ฉัน”

ฉินมู่หลานกลับจ้องมองเย่เสี่ยวเหอและเอ่ย “ดูเหมือนเธอจะไม่ซื่อสัตย์และไม่ได้พูดความจริง” หากเธอสังเกตสายตาของเย่เสี่ยวเหอ ไม่แน่ว่าก็อาจจะคิดว่าเย่เสี่ยวเหอกล่าวทุกอย่างออกมาหมดแล้ว

ขณะนี้ ฉินมู่หลานจึงหยิบขวดยาขนาดเล็กอีกขวดหนึ่งออกมาและมองโหยวหย่งพลางเอ่ย “ป้อนยาชนิดนี้ให้กับหล่อนอีก”

“ครับ”

โหยวหย่งรับมา ขณะที่กำลังจะลงมือ เย่เสี่ยวเหอส่งเสียงร้องอย่างกะทันหัน “เดี๋ยวก่อน ฉันจะบอก ฉันจะบอกแล้ว คนผู้นั้นมาจากเมืองหลวง สกุลหง ตอนนี้อาศัยอยู่ที่ลานบ้านฝั่งตะวันออกของเมือง เรื่องอื่นนั้นฉันไม่รู้แล้วจริงๆ”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ยาฤทธิ์แรงดีจังมู่หลาน ชอบ ไม่ต้องลงไม้ลงมือก็สารภาพเองแล้ว

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท