ตอนที่ 210 นำพยานไปยังเมืองหลวง (1)
ตอนที่ 210 นำพยานไปยังเมืองหลวง (1)
ฉินมู่หลานได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ เช้าวันถัดมาเมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าสมาชิกภายในครอบครัวต่างก็ตื่นกันแล้วและกำลังนั่งอยู่ด้วยกัน
“เฮ้……พี่สะใภ้ใหญ่ วันนี้พี่ไม่ต้องไปทำงานเหรอคะ?”
ฉินมู่หลานพบว่าหลี่เสวี่ยเยี่ยนเองก็อยู่ด้วย จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
หลี่เสวี่ยเยี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็รีบโบกมือให้ฉินมู่หลานและเอ่ย “มู่หลาน วันนี้ภายในหมู่บ้านเกิดเรื่องใหญ่ ดังนั้นฉันเลยไปทำเรื่องลาที่โรงงานตั้งแต่เช้าตรู่”
“เรื่องใหญ่อะไรเหรอคะ?”
“ได้ยินมาว่าเย่ต้าหย่งกำลังจะถูกปลดจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน คนในหมู่บ้านเลยไปที่ลานตากเมล็ดพืชเพื่อฟังผู้อาวุโสหลายท่านประณามความผิดของเย่ต้าหย่งน่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานก็ตกตะลึงเล็กน้อย “เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ใช่แล้ว พวกเราเองก็คาดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสจะเคลื่อนไหวรวดเร็วขนาดนี้ ในเมื่อมีการประณามเย่ต้าหย่ง ก็พูดได้ว่าผู้อาวุโสหลายท่านคงต้องรู้ถึงความผิดที่เขาทำไว้ก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน”
เมื่อเอ่ยคำพูดสุดท้าย หลี่เสวี่ยเยี่ยนจ้องมองฉินมู่หลานและเอ่ย “มู่หลาน อีกเดี๋ยวเธออยากจะไปรับชมความสนุกสนานไหม?”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้พลันส่ายศีรษะและเอ่ย “ฉันยังไม่ไปหรอกค่ะ ฉันต้องไปหาโหยวหย่งก่อน จะต้องสอบปากคำคนที่ถูกจับตัวมาเมื่อวานนี้ จากนั้นก็พาเย่เสี่ยวเหอมาที่นี่ หากตอนนั้นพวกพี่ยังอยู่ที่ลานตากเมล็ดพืช ฉันก็จะพาเย่เสี่ยวเหอไปที่นั่นด้วย”
“ตกลง งั้นเดี๋ยวพวกเราจะไปที่ลานตากเมล็ดพืชก่อน”
หลี่เสวี่ยเยี่ยนรู้เรื่องที่ฉินมู่หลานกำลังทำอยู่ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของแม่สามี ซึ่งสำคัญกว่าการรับชมความสนุกสนานมาก
ส่วนเหยาจิ้งจือเอ่ยถามด้วยความกังวลเล็กน้อย “มู่หลาน ให้พวกฉันไปเป็นเพื่อเธอดีไหม?”
“ไม่ต้องหรอกค่ะแม่ ฉันพาเหวินเชี่ยนไปด้วยก็พอแล้วค่ะ พวกคุณไปที่ลานตากเมล็ดพืชกันเถอะ”
“แบบนั้นก็ได้ งั้นเธอรีบกินอาหารเช้าก่อนเถอะ”
ฉินมู่หลานกินอาหารเช้าเสร็จก็พาเหวินเชี่ยนไปหาโหยวหย่ง ส่วนเซี่ยเหวินปิงเหยาจิ้งจือและคนอื่นๆ แยกตัวไปยังลานตากเมล็ดพืชของหมู่บ้าน
เมื่อโหยวหย่งเห็นว่าฉินมู่หลานมาแล้ว ก็รีบก้าวมาด้านหน้าและเอ่ย “พี่สะใภ้ คุณมาแล้ว”
“โหยวหย่ง ลำบากนายแล้ว หงเทียนเอินคนนั้นพูดอะไรบ้างหรือเปล่า?”
โหยวหย่งส่ายศีรษะและกล่าว “ไม่พูดอะไรเลยครับ แม้ว่าผมจะใช้ยาไปบางส่วน คนผู้นั้นก็กัดฟันแน่น ไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย”
“ดูเหมือนว่าจะปากแข็งไม่เบา”
ฉินมู่หลานคาดการณ์ไว้เช่นนี้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก หลังจากเธอ โหยวหย่งและคนอื่นเดินเข้าไป เพียงแวบแรกก็เห็นหงเทียนเอินและเย่เสี่ยวเหอกำลังนั่งขดตัวอยู่บริเวณมุมห้อง
หงเทียนเอินเห็นฉินมู่หลานก็พลันขมวดคิ้ว เดิมทีเขาคิดว่าจะเป็นเหยาจิ้งจือและสามีของหล่อน สุดท้ายคาดไม่ถึงว่าจะเป็นฉินมู่หลานสะใภ้คนเล็กของเหยาจิ้งจือ เขาเคยตรวจสอบผู้หญิงตรงหน้านี้มาก่อนแล้ว ถือได้ว่าเป็นภรรยาของลูกชายคนเล็กที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ทั้งที่ท้องใหญ่ขนาดนี้ หล่อนยังมีกะจิตกะใจสนใจเรื่องเหล่านี้อีก
“ดูเหมือนว่าจะรู้จักฉันนะคะ”
ฉินมู่หลานมองสายตาของหงเทียนเอินเพียงแวบแรกก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นจะต้องรู้จักเธออย่างแน่นอน
เมื่อหงเทียนเอินได้ยินคำพูดนี้ เขาก้มศีรษะลงทันทีและไม่มองฉินมู่หลานอีก ปากยังคงเอ่ยคำพูดเดิม “ฉันบอกแล้วว่าไม่มีใครบงการฉัน ฉันกับเซี่ยเจ๋อหลี่แค่มีความแค้นต่อกัน จากนั้นก็คิดอยากแก้แค้นเขาผ่านสมาชิกครอบครัวของเขา” นี่คือเหตุผลที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น อย่างไรเสียเซี่ยเจ๋อหลี่ก็เป็นคนของตระกูลเซี่ยที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะมีเรื่องบาดหมางกับบุคคลอื่น
“เหอะ……เกรงว่าคุณจะยังไม่รู้ รายละเอียดของคุณรั่วไหลจากคนที่คุณตามหาแล้ว คุณเกี่ยวข้องกับเรื่องที่แม่สามีของฉันหายตัวไปเมื่อสามสิบปีก่อน ตอนนี้คุณกลับบอกว่ามีความแค้นกับสามีของฉัน คิดว่าฉันจะเชื่อคำพูดของคุณหรือคะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ นัยน์ตาของหงเทียนเอินก็พลันวาววับ แต่เพียงไม่นานนักเขาก็สงบลง
“ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร”
ฉินมู่หลานเฝ้าสังเกตหงเทียนเอินมาโดยตลอด สีหน้าของเขาย่อมอยู่ภายในสายตา และมั่นใจว่าคนผู้นี้จะต้องรู้เรื่องการหายตัวไปของแม่สามีเมื่อสามสิบปีก่อนอย่างแน่นอน
เมื่อครุ่นคิดได้เช่นนี้ ฉินมู่หลานจึงสั่งให้โหยวหย่งนำตัวหงเทียนเอินมา
“ปล่อยนะ พวกเธอต้องการทำอะไร”
“ไม่ได้ทำอะไร ก็แค่ทำให้คุณพูดความจริงก็เท่านั้น” ฉินมู่หลานหยิบเข็มทองออกมาและเดินตรงเข้าไปหาหงเทียนเอิน
“เธอ……เธอต้องการทำอะไร?”
ฉินมู่หลานเพิกเฉยต่อคำพูดเหล่านี้และมองโหยวหย่งพร้อมกับเอ่ย “จับเขาไว้ อย่าปล่อยให้เขาขยับ”
“ครับ”
โหยวหย่งผู้มีพละกำลังแข็งแกร่งได้จับหงเทียนเอินไว้ กระนั้นศีรษะของอีกฝ่ายก็ยังขยับเขยื้อน สุดท้ายเป็นเหวินเชี่ยนที่ก้าวไปด้านหน้าเพื่อช่วยจับศีรษะของหงเทียนเอินไว้
หลังจากฉินมู่หลานเห็นว่าหงเทียนเอินไม่ขยับแล้ว เธอก็หยิบเข็มทองออกมาและปักลงไปบนศีรษะของเขา หลังจากหยุดมือแล้วก็ส่งสัญญาณให้โหยวหย่งและเหวินเชี่ยนปล่อยเขา
ตอนแรกหงเทียนเอินคิดว่าฉินมู่หลานจะลงมือทำอะไรบางอย่างกับเขา อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาพบว่าตนไม่รู้สึกอะไรเลย จากนั้นส่งเสียงหัวเราะดังลั่นและเอ่ย “เธอคงไม่ได้ตั้งใจข่มขู่ฉันหรอกใช่ไหม เช่นนั้นความพยายามของเธอคงเปล่าประโยชน์แล้ว ฉันไม่กลัวเลยสักนิด”
ฉินมู่หลานเพิกเฉยต่อคำพูดเหล่านี้และเอ่ยถาม “สามสิบปีก่อน พวกคุณลักพาตัวเหยาจิ้งจือและพาหล่อนออกไปจากเมืองหลวงใช่ไหม”
“ฮึ……แน่นอน……ใช่แล้ว”
“ไม่……ไม่ใช่……”
หงเทียนเอินส่ายศีรษะอย่างแรงและอดไม่ได้ที่จะอยากบีบคอของตนเอง อย่างไรก็ตามเขาถูกมัดและมือทั้งสองข้างไม่สามารถขยับได้ ขณะนี้ทำได้เพียงแค่ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ตามฉินมู่หลานได้รับคำตอบที่ต้องการแล้ว จากนั้นเอ่ยต่อ “ยินอวี่โหรวสั่งให้คุณทำแบบนี้ใช่ไหม?”
“ไม่ใช่”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ฉินมู่หลานพลันขมวดคิ้ว ไม่ใช่ยินอวี่โหรวได้อย่างไรกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีคนอื่นลักพาตัวเหยาจิ้งจือ? เมื่อเห็นว่าคำถามเชิงลึกมากกว่านี้ไม่สามารถทำให้หงเทียนเอินตอบออกมาได้ เธอทำได้เพียงเบี่ยงประเด็นและเอ่ยถาม “คนที่ให้คุณลักพาตัวเหยาจิ้งจือเกี่ยวข้องกับยินอวี่โหรวใช่ไหม?”
“ฮือ……ฮือ……ใช่……”
หงเทียนเอินพยายามปิดปากอย่างสุดความสามารถ แต่เขาก็ไม่สามารถควบคุมปากของตนเองได้เลย กล่าวออกมาโดยไร้ซึ่งการต่อต้านใด
ขณะนี้หงเทียนเอินจ้องมองฉินมู่หลานด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย รู้สึกว่าเธอกำลังร่ายอาคมใส่ตนเอง ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เห็นกันอยู่ว่าใจเขาไม่ต้องการตอบคำถาม แต่ปากกลับเอ่ยออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
“เธอ……นี่เธอเป็นตัวอะไรกันแน่?”
เมื่อเห็นสีหน้าหวาดกลัวสุดขีดของหงเทียนเอิน ฉินมู่หลานก็ยิ้มและเอ่ย “คุณก็ช่างคิดได้นะ แน่นอนว่าฉันเป็นคน แต่เมื่อสักครู่นี้ฉันฝังเข็มทองไว้ภายในศีรษะของคุณ รบกวนเส้นประสาทบางส่วนของคุณก็เท่านั้น”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หงเทียนเอินก็ไม่อยากเชื่อ
โหยวหย่งและคนอื่นล้วนมองฉินมู่หลานด้วยความประหลาดใจ หากมีวิธีการดังกล่าวจริง งั้นหลังจากนี้เรื่องของการซักถามนั้นก็จะง่ายดายยิ่งขึ้น “พี่สะใภ้ คุณสอนวิธีสอบปากคำแบบนี้ให้คนอื่นได้ไหม?”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้กลับส่ายศีรษะและกล่าว “เกรงว่าจะไม่ได้ นอกจากจะต้องเป็นแพทย์ที่มากด้วยประสบการณ์แล้วยังต้องเป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็มเป็นอย่างดีอีกด้วย ไม่อย่างนั้นอาจจะฝังเข็มให้คนโง่เขลาและสูญเสียสติสัมปชัญญะได้โดยง่าย”
นี่เป็นเหตุผลที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยใช้วิธีนี้เลย ทว่าหงเทียนเอินผู้นี้เป็นคนหัวรั้นมาก กระทั่งยาเหล่านั้นก็ไม่สามารถเค้นความจริงจากปากเขาได้ เธอจึงต้องเลือกใช้วิธีการนี้
โหยวหย่งได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
แต่ขณะเดียวกันก็เข้าใจทักษะทางการแพทย์ของฉินมู่หลานระดับหนึ่ง ทักษะการแพทย์ของพี่สะใภ้บรรลุขั้นสุดยอดแล้ว
เย่เสี่ยวเหอที่อยู่ด้านข้างมองฉินมู่หลานด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยทำกับตนเองเช่นนี้ ด้วยความกลัวต่อความเจ็บปวดและความคัน นี่จึงเป็นสาเหตุที่หล่อนกล่าวออกไปโดยตรง ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายอาจจะทำอะไรบางอย่างกับศีรษะของตนเองอย่างแน่นอน
เมื่อครุ่นคิดได้เช่นนี้ เย่เสี่ยวเหอพลันรู้สึกว่าหนังศีรษะเย็นวาบ
ฉินมู่หลานได้ถามสิ่งที่ต้องการแล้ว จากนั้นมองโหยวหย่งพร้อมกับเอ่ย “พวกคุณคอยเฝ้าดูเขาต่อไป ฉันจะพาเย่เสี่ยวเหอกลับไปยังหมู่บ้าน”
มีคนนี้อยู่ภายในกำมือ ก็คงจับปลาตัวใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังได้
โหยวหย่งได้ยินคำพูดนี้ ย่อมพยักหน้าและเอ่ย “รับทราบพี่สะใภ้ คุณรีบไปสะสางงานเถอะ”
ฉินมู่หลานพยักหน้าให้กับโหยวหย่ง จากนั้นให้เหวินเชี่ยนนำตัวเย่เสี่ยวเหอไปด้วย โดยที่เธอเดินอยู่ด้านหน้าและมุ่งหน้าไปยังลานตากเมล็ดพืชของหมู่บ้าน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สอบปากคำได้ความมาบางส่วนแล้ว ที่เหลือก็รอเข้าไปแฉในเมืองหลวงล่ะ
ยัยบัวเน่าเตรียมจมน้ำลายชาวบ้านตายได้เลย
ไหหม่า(海馬)