ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 248 หนังสือตอบรับเข้าศึกษามาแล้ว(1)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 248 หนังสือตอบรับเข้าศึกษามาแล้ว(1)

ตอนที่ 248 หนังสือตอบรับเข้าศึกษามาแล้ว(1)

เมื่อเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่มาหา แววตาของฉินมู่หลานก็ดูแปลกใจ “อาหลี่ คุณมาได้ยังไงคะ มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เพิ่งถึงเอง”

ขณะเอ่ย ใบหน้าของเซี่ยเจ๋อหลี่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษนะที่มาไม่ทันคุณเข้าสอบ”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ก็ยกยิ้มแล้วเอ่ย “มีอะไรสำคัญกันเล่า อีกอย่างคุณเข้าไปในห้องสอบกับฉันไม่ได้สักหน่อย คุณมาตอนนี้ก็ดี พวกเรากำลังจะกลับบ้านกันพอดีเลย”

เมื่อเห็นฉินมู่หลานเดินมาหาตัวเองอย่างร่าเริง ใบหน้าของเซี่ยเจ๋อหลี่ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “พวกคุณจะกลับแล้วเหรอ เดี๋ยวผมช่วยขนของ พวกเรารีบกลับกันเถอะ”

เหยาจิ้งจือก็ดีใจมากที่เห็นลูกชายคนเล็กกลับมา ขณะเดียวกันก็นึกไปถึงเรื่องที่สองพี่น้องต้องเข้าสอบด้วยความยากลำบาก จึงควรจัดงานฉลองสักหน่อย

“เหวินปิง คุณไปหาซื้อเหล้าชั้นเลิศกับอาหารอร่อย ๆ สักหน่อย ตอนเที่ยงจะได้ไปดื่มกินกับทางบ้านสะใภ้ เป็นการฉลองให้มู่หลานกับเคอวั่งที่สอบเสร็จแล้ว”

ขณะพูดก็หันไปมองซูหว่านอี๋ก่อนจะเอ่ยถาม “ญาติสะใภ้ ตอนเที่ยงพวกเราจะไปที่ช่วยจัดโต๊ะสองตัวที่บ้านพวกคุณ แล้วกินอาหารอร่อย ๆ ด้วยกันนะคะ”

ซูหว่านอี่ได้ยินเช่นนี้ก็เอ่ยขึ้น “ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปซื้ออาหารมาด้วยเหมือนกัน ช่วงนี้มู่หลานกับเคอวั่งทำงานหนัก ถึงเวลาได้เฉลิมฉลองสักหน่อย”

“แม่ ผมกับพี่ยังไม่รู้คะแนนตัวเองเลยนะ ยังไม่ต้องฉลองหรอก”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เหยาจิ้งจือก็ยกยิ้ม แล้วเอ่ย “เคอวั่ง ถึงจะยังไม่รู้ผล แต่พวกเธอสอบเสร็จแล้วก็ควรจะได้คลายเครียดบ้าง ช่วงนี้เห็นพวกเธอตั้งใจเรียยนกันมาก จนฉันรู้สึกเหนื่อยกับพวกเธอไปด้วย”

ขณะพูดก็คว้าจับซูหว่านอี๋มาพูดด้วยอีกครั้ง “เดี๋ยวให้เหวินปิงกับอาหลี่ไปซื้อของ คุณม่ต้องไปหรอกค่ะ”

“ใช่ครับแม่ เดี๋ยวพวกผมไปซื้อเอง”

เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เอ่ยเออออตาม จากนั้นก็พาเซี่ยเหวินปิงผู้เป็นพ่อไปซื้อของด้วยกัน

หลังจากทั้งสองกลับมาจากการซื้อของ ทั้งหมดก็มุ่งหน้ากลับหมู่บ้านชิงซานอย่างมีความสุข

ทุกคนในหมู่บ้านต่างทราบว่าฉินมู่หลานกับฉินเคอวั่งไปสอบเข้ามหาลัยกันมาแล้ว เมื่อเห็นพวกเขากลับมาจึงอดถามไม่ได้ “มู่หลาน เคอวั่ง พวกเธอไปสอบกันมาแล้ว สอบเป็นอย่างไรบ้างเหรอ?”

“คุณลุงคะ นี่ก็เพิ่งสอบเสร็จ ยังไม่รู้ผลสอบเลยค่ะ แต่ว่าหนูกับเคอวั่งก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว จะสอบได้หรือไม่นั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์ลิขิตแล้วค่ะ” ฉินมู่หลานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม สีหน้าดูผ่อนคลายมาก

“อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นก็หวังว่าพวกเธอสองพี่น้องจะสอบเข้ามหาลัยได้นะ ปีนี้หมู่บ้านเราก็มีไปสอบหลายคนเลย พวกเด็กที่ได้ไปเรียนมาก็ไปสอบกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าผลสอบจะเป็นยังไง”

เมื่อได้ยินพูดนี้ ก็มีคนอดพูดไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นพวกที่ได้ไปเรียนมาก็คงสอบได้ดีกว่านิดหน่อยแหละ เพราะคนพวกนั้นล้วนเป็นปัญญาชน แล้วทุกคนก็อยู่ในเมืองด้วย คงดีกว่าในหมู่บ้านเราแน่อน”

เหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋ได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกไม่พอใจ

“พวกที่ได้ไปเรียนในเมืองคือปัญญาชนก็จริงอยู่หรอก แต่พวกเด็กในหมู่บ้านก็ไปโรงเรียน ก็ถือว่าเป็นปัญญาชนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคุณแน่ใจได้ยังไงว่าเด็กจากหมู่บ้านจะทำได้แย่กว่าพวกที่ได้ไปเรียนในเมือง”

“พวกคุณกล้าเทียบชนบทกับในเมืองเหรอ”

“ชนบทมันเป็นยังไงเหรอคะ ยังไงพวกเราก็สอบเข้ามหาลัยได้”

ถึงแม้ว่าหลายคนจะคิดว่าคนในชนบทก็ได้รับการศึกษาดีเช่นกัน แต่กลับรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจนักว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่มั่นใจเลยสักนิด เพราะสุดท้ายลึก ๆ ในใจของพวกเขาเอง กลับคิดว่าการศึกษาในชนบทไม่สามารถเทียบกับในเมืองได้ จึงไม่มีใครยอมรับเรื่องนี้

เฉียนกุ้ยจื่อภรรยาของผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันก็เอ่ยขึ้นอย่างเห็นด้วย “ใช่แล้ว ฉันจำได้ว่ามู่หลานกับเคอวั่งตอนเรียนหนังสือก็ทำได้ดีมาก บางทีอาจจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้จริง ๆ นั่นแหละ”

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพยักหน้าเห็นด้วย เฉียนกุ้ยจือก็ขมวดคิ้วทันที ที่คนในหมู่บ้านล้วนไม่เชื่อผู้นำของหมู่บ้านกันเลยสักคน

เหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋ไม่ต้องอยากจะเสวนากับพวกชาวบ้านอีกแล้ว ก่อนจะยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “เจ้าหนูสองคนต้องกลับไปนอนแล้ว ขอตัวก่อนนะ”

หลังจากฉินมู่หลานกับคนอื่นกลับไป ก็มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งอดพูดไม่ได้ “มู่หลานทั้งแต่งงานและมีลูกแล้ว ยังจะไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีก ไม่รู้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ คิดว่าจะสอบผ่านจริง ๆ เหรอ”

“ใช่แล้ว แต่งงานแล้ว ครอบครัวต้องเป็นสิ่งแรกที่ให้ความสำคัญ ถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เธอก็ต้องเตรียมตัวไปเข้าเรียน แล้วลูกสองคนล่ะจะทำอย่างไร”

ในตอนนั้นเอง ก็มีคนแค่นหัวเราะขึ้นมา ก่อนจะเอ่ย “เป็นไปไม่ได้หรอก ฉินมู่หลานไม่มีทางสอบผ่านแน่”

เมื่อเฉียนกุ้ยจือได้ยินเช่นนี้ ก็เอ่ยขึ้น “อย่าว่าเรื่องที่มู่หลานจะสอบเข้าได้หรือไม่ได้เลย แต่ฉันจะบอกให้พวกคุณหันมองลูกตัวเองก่อนนะ แค่มัธยมปลายยังไม่ผ่านเลย อย่างน้อยมู่หลานก็จบมัธยมปลายแล้วกัน”

“ฮ่าๆๆ…ก็จริงนะ”

คนอื่นก็คิดเรื่องนี้เหมือนกัน ทุกคนจึงอดหัวเราะไม่ได้

“เหอะ…ถึงลูกสาวฉันจะไม่ได้จบ ม.ปลาย แต่เธอก็ยอดเยี่ยมที่สุดในหมู่บ้าน” หลังจากพูดจบ คนนั้นก็เดินจากไปด้วยที่เย็นชา

คนอื่นไม่สามารถปฏิเสธได้จริง ๆ เพราะเด็กผู้หญิงในหมู่บ้านหลายคนไม่ค่อยยอมไปโรงเรียนกันเลย เพราะฉะนั้นการที่เด็กผู้หญิงพวกนี้จบม.ต้นมาได้ก็ถือว่าดีแล้ว

ฉินมู่หลานกับคนอื่นเดินจากไปแล้ว ไม่ได้สนใจเรื่องน่าตื่นเต้นพวกนี้เลย พวกเขากลับไปที่บ้านตระกูลเซี่ยก่อน หลังจากให้เด็กทั้งสองเข้านอน เหยาจิ้งจือก็หันมองฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่ก่อนจะเอ่ย “พวกฉันจะไปช่วยทางบ้านสะใภ้หน่อย พวกเธอสองคนอยู่ดูแลลูกไป เดี๋ยวถึงเวลากินข้าวแล้ว ฉันจะมาเรียกพวกเธอ”

ทั้งสองได้ยินเช่นนี้ ก็ยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “พ่อแม่ ทุกคนรีบไปกันเถอะ พวกเราจะดูแลลูกเอง”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี พวกเราไปก่อนนะ”

ขณะเอ่ย เหยาจิ้งจือก็พูดขึ้นอีกครั้ง “จริงสิ เรียกพี่ใหญ่ของพวกเธอมาด้วย ตอนนี้คงอยู่ที่ไร่” ส่วนสะใภ้คนโตหลี่เสวี่ยเยี่ยนกับหลานชายคนโตก็กินข้าวในที่ทำงานกับโรงเรียนไป ไม่ต้องเรียกพวกเขามา

หลังจากเหยาจิ้งจือกลับมาถึงบ้านตระกูลฉินพร้อมเซี่ยเหวินปิง คุณปู่ฉินกับคนอื่นก็ได้ทราบข่าวเรื่องที่หลานของพวกเขาสอบเสร็จแล้ว

“ใช่ เราต้องฉลองกันสักหน่อย”

คุณปู่ฉินยกยิ้มและพยักหน้าเห็นด้วย ขณะเดียวกันก็ให้คุณย่าฉินไปนำเหล้าชั้นดีที่หมักไว้ออกมา “ตอนเที่ยงพวกเราก็มาดื่มกันสักหน่อย”

ขาของฉินเจียนเซ่อหายดีมาสักระยะหนึ่งแล้ว จึงหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น “ดีเลย ตอนเที่ยงพวกเราจะได้ดื่มด้วยกัน เหล้านี้คุณพ่อหมักเอาไว้นานแล้ว รับรองว่ารสชาติดีมากแน่นอน”

ตอนแรกซูหว่านอี๋อยากจะห้ามฉินเจี้ยนเซ่อไม่ให้ดื่ม เพราะเขาเพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้ไม่นาน แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนมีความสุข สุดท้ายจึงไม่ได้พูดอะไรมากมาย

ซุนฮุ่ยหงที่อยู่ด้านข้างเห็นเหตุการณ์นี้ แววตาก็ดูไม่ค่อยพอใจนัก เมื่อได้โอกาส ก็ไปบ่นให้สามีอย่างฉินเจี้ยนหัวฟัง “เหล้าของพ่อบ่มเอาไว้นานมากแล้ว แต่ครั้งนี้กลับจะเอาออกมาฉลอง ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่ามู่หลานกับเคอวั่งจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ไหม ก็ด่วนดีใจกันไปก่อนแล้ว”

ฉินเจี้ยนหัวได้ยินแบบนี้ก็หันมองภรรยา ก่อนจะเอ่ย “คุณก็พูดเกินไป คุณพ่อท่านดีใจถึงได้อยากดื่ม ถึงเวลาของคุณก็เหมือนกันนั่นแหละ แล้วเคอวั่งกับมู่หลานก็สอบเสร็จแล้วด้วย ไม่ดีใจเหรอ”

“เหอะ…พ่อน่ะลำเอียงจัง พวกท่านชอบบ้านรองมากกว่า บ้านใหญ่อย่างพวกเราดูไม่มีอะไรดีเลย”

เมื่อเห็นภรรยาตอบกลับอีกครั้ง ฉินเจี้ยนหัวก็อดพูดไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ให้ลูกชายสองคนของคุณไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยบ้างสิ บางทีพ่ออาจจะมีความสุขเหมือนกัน ก็จะได้เปิดขวดเหล้าฉลองด้วย”

“คุณ…”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซุนฮุ่ยหงก็โมโหมาก สามีทราบว่าลูกชายของพวกเขาเรียนหนังสือไม่เก่ง หยุดเรียนหนังสือมาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา ตอนนี้จะมาพูดแบบนั้นได้อย่างไร

ฉินเจี้ยนหัวเมินเฉยใส่ภรรยา แล้วเดินออกไปทันที ก่อนจะเรียกลูกชายทั้งสองไปช่วย เพราะน้องรองกับหลานเขยกำลังช่วยกันัดโต๊ะ พวกบ้านใหญ่อย่างเขาหากไม่ช่วยอะไรเลยก็จะดูไม่ดีเอาได้

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

คนในไม่เดือดร้อน แต่คนนอกเป็นเดือดเป็นร้อนแทน มันยังไงกันนะเนี่ย

หากคิดจะแข่งกับเขาต้องแน่ใจว่าตัวเองมีดีพอจะแข่งด้วยนะจ๊ะสะใภ้ใหญ่ ไม่งั้นเก็บเศษหน้าไม่ทัน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท