บทที่ 776 หยอกพวกเขาเล่น
บทที่ 776 หยอกพวกเขาเล่น
มู่ซืออวี่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง มองดูนกจักรกลบินกลับมา
ซางจือนำคนออกไปปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้และสำเร็จลุล่วงดังคาด อีกทั้งยังไม่เสียไพร่พลไปแม้แต่คนเดียว
“ฮูหยิน ข้าน้อยไม่เข้าใจ” แม่ทัพหลี่ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยถาม “มันเป็นแค่เพียงพิษธรรมดาทั่วไป นอกจากทำให้พวกเขาอ่อนแรงแล้วก็ไม่ได้มีผลร้ายแรง ทำเช่นนี้นอกจากระบายโทสะแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรนะขอรับ”
“ข้าเพียงแค่หยอกล้อพวกเขาเล่น ไม่ได้คิดว่าการทำเช่นนี้จะทำลายพวกเขาได้” มู่ซืออวี่หันไปมองแม่ทัพหลี่ “ไม่เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอะไรได้อีก? เป็นฝ่ายบุกโจมตีนั้นย่อมไม่อาจเป็นไปได้ พวกเรามีกองกำลังไม่มากพอ แต่พวกเขาล้วนเป็นทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาหลายปี อันที่จริงแล้ว ทั้งท่านและข้าต่างรู้ดีว่า แม้ผ่านการฝึกฝนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว คนของเราก็ไม่อาจเทียบกับกองทัพทหารของพวกเขาได้”
“พวกเราปลอดภัยไร้เรื่องราวได้ ต้องยกความชอบให้กำแพงเมืองแห่งนี้ ตอนนี้ที่พวกเราทำได้คือปกป้องกำแพงเมืองแห่งนี้ไว้ ให้มันถ่วงเวลาให้พวกเรามากขึ้นอีกหน่อย รอจนกว่าทัพหนุนจากราชสำนักจะมาถึง”
“ฮูหยินทำเช่นนี้ก็เพื่อให้พวกเขาวุ่นวายโกลาหล ไม่มีเวลามาคิดวางกลยุทธ์โจมตีพวกเรา” ซางจือที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “นอกจากนี้ยังทำให้ทหารของพวกเขาเสียหายอย่างหนัก ขวัญกำลังใจถดถอย”
“ไม่เสียแรงที่ติดตามข้ามานานหลายปี กล่าวได้ตรงประเด็นยิ่ง แน่นอนว่านอกจากเหตุผลเหล่านี้แล้ว ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง เพียงแต่ข้าจะเก็บงำไว้ก่อน อีกสองวันพวกท่านก็จะได้ทราบเอง”
เซียวหลีเดินตรวจดูทั้งค่าย มองทหารที่โกรธเกรี้ยวแต่ละคน บนใบหน้าฉายชัดถึงความโกรธ
ประการแรก โจวเสียงเฟยนำทัพหลายครั้งหลายครา แต่ละครั้งกลับจบลงด้วยความพ่ายแพ้ ผลจากการปิดล้อมที่เขาเตรียมการไม่เพียงแต่ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ทว่ายังถูกพวกเขายั่วยุจนกลายเป็นเช่นนี้
พวกเขาต้องคว้าชัยชนะเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจ ไม่เช่นนั้น หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาอาจพ่ายแพ้อยู่ที่เมืองฮู่เป่ย
ทัพทหารนับแสนคนไม่สามารถจัดการเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งได้ หากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป จะไม่กลายเป็นเรื่องตลกต่อผู้คนทั้งใต้หล้าหรือ?
“หากยึดเมืองฮู่เป่ยไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำลายให้สิ้นซาก!” เซียวหลีเอ่ยอย่างเยือกเย็น “เป็นพวกเขาที่บีบข้า ไปถึงวังพญายมแล้วอย่าได้หาว่าข้าโหดเหี้ยมอำมหิตก็แล้วกัน”
พวกกบฏเคลื่อนทัพอีกครั้ง
เมื่อตัดทหารที่ถูกพิษออกไป ทหารที่ไม่ได้รับผลกระทบยังมีถึงเจ็ดหมื่นนาย
เซียวหลีนำทัพเจ็ดหมื่นนายนี้บุกโจมตีอีกครั้ง
เมื่อทางนี้เคลื่อนไหวใหญ่โต เมืองฮู่เป่ยย่อมสังเกตเห็นท่าทีของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
มู่ซืออวี่เอ่ยว่า “แขวนธงเหลืองไว้ที่กำแพงเมืองทั้งสองฝั่ง”
“ธงเหลืองมีความหมายว่าอะไร” แม่ทัพหลี่เอ่ยถาม
“หมายความว่าให้ทหารอาสาสมัครของเราเริ่มลงมือได้”
“ทหารอาสาสมัคร?”
“ทหารที่เป็นราษฎร ราษฎรก็เป็นทหารได้เช่นกัน ยามเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง ทุกคนล้วนมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ การปกป้องบ้านเกิดและแผ่นดินไม่เคยเป็นเพียงหน้าที่ของทหาร หากแต่เป็นหน้าที่ของราษฎรทุกคนในแผ่นดินที่ต้องการสันติสุข”
“แต่นั่นเป็นกบฏที่ได้รับการฝึกฝนมานะขอรับ”
“ตอนนี้พวกเขาเป็นเพียงพวกขี้ขลาดตาขาว ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว เพียงแต่ผู้นำกบฏไม่มีทางทิ้งคนที่ถูกพิษไว้ลำพัง ดังนั้นย่อมต้องเหลือคนส่วนหนึ่งไว้ปกป้องพวกเขา เวลานี้พวกกบฏต้องเร่งคว้าชัยชนะเพื่อพิสูจน์ตนเองและเพิ่มขวัญกำลังใจ ด้วยเหตุนี้คนที่เหลือไว้ย่อมไม่มากนัก อีกอย่าง กลยุทธ์ในการบุกโจมตีครานี้จะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม บอกให้ทหารของเราเตรียมตัวรับศึกหนักเอาไว้”
มู่ซืออวี่คิดไว้ว่ากลยุทธ์ของพวกกบฏจะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม เพียงแต่นางคาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะโจมตีข้าศึกด้วยไฟ
พวกกบฏถูกบีบคั้นถึงขนาดที่ไม่ต้องการความมั่งคั่งของเมืองฮู่เป่ยแล้ว พวกเขาเพียงแค่ต้องการทำลายที่นี่ให้สิ้นซากเพื่อเป็นผลงานความสำเร็จให้แก่ทัพกบฏของตน
“ฮูหยิน พวกเขาใช้ไฟโจมตีขอรับ!”
เครื่องเหวี่ยงหินที่เดิมทีใช้ขว้างหิน บัดนี้สิ่งที่ขว้างกลับไม่ใช่ก้อนหินแล้ว หากแต่เป็นระเบิด
ระเบิดก้อนแล้วก้อนเล่าถูกขว้างใส่กำแพงเมือง เกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทุกหนทุกแห่ง
ทหารชุดแล้วชุดเล่าถูกยกออกไป จากนั้นทหารชุดใหม่ก็เข้ามาแทนที่
หลังจากผ่านศึกมามากมายหลายครั้ง ครั้งนี้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ก่อนหน้านี้ทัพกบฏต้องการเมืองฮู่เป่ย ทว่าบัดนี้พวกเขาถูกยั่วยุจนไม่ต้องการเมืองนี้อีกต่อไป พวกเขาเพียงต้องการยึดเมือง ถึงแม้มันจะเหลือเพียงซากปรักหักพังก็ตาม
ทหารทั้งหมดในเมืองฮู่เป่ยต้องออกรบ
ทหารหญิงก็ต้องเข้าสมรภูมิสังหารศัตรูเช่นกัน
การโจมตีครั้งนี้ดำเนินไปยาวนานถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน แม้จะเป็นยามราตรีก็ไม่ได้หยุดพัก
นี่เป็นศึกที่ยาวนานที่สุดนับกระทั่งจนถึงบัดนี้
มู่ซืออวี่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง มองดูบุรุษที่คอยสั่งการทัพกบฏผู้นั้น
บุรุษผู้นั้นมองนางด้วยสายตาชั่วร้าย ดวงตาคู่ดังกล่าวเปี่ยมไปด้วยความมุ่งหมายที่จะเอาชนะ
ขอเพียงแค่ได้มู่ซืออวี่มา เขาจะสร้างเมืองฮู่เป่ยสามสี่แห่ง หรือมากกว่านั้นก็ย่อมได้ สตรีผู้นั้นต่างหากที่เป็นของล้ำค่าที่แท้จริง ขอเพียงแค่นางยังมีชีวิต เมืองฮู่เป่ยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งก็ไม่ได้สำคัญเพียงนั้น
หลายปีมานี้ เซียวหลีซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ทว่าเสียงเล่าลือเกี่ยวกับมู่ซืออวี่ไม่เคยจางหายไป
เขามักจะได้ยินคำยกย่องชมเชยนางจากปากผู้อื่นอยู่เสมอ ภายในใจจึงเกิดความรู้สึกแปลก ๆ ต่อสตรีนางนี้
เสมือนกับการหวงแหนสมบัติล้ำค่า ต้องการครอบครองนางไว้ในกำมือและทำให้นางเป็นสมบัติของตนเอง
มู่ซืออวี่สังเกตเห็นสายตาของชายผู้นั้น
นางเอ่ยกับเจ๋อหลานที่อยู่ข้าง ๆ “หากเมืองฮู่เป่ยต้านไม่อยู่แล้ว ถึงตอนนั้นใช้ข้าไปต่อรองกับพวกเขาได้”
“ฮูหยิน…” เจ๋อหลานรู้สึกกังวลใจ
“ข้าจริงจัง” มู่ซืออวี่กล่าว “เขาจะไม่เอาชีวิตข้า เพียงแค่ให้ข้าทำงานให้เท่านั้น หากใช้ข้าผู้เดียวแลกกับสันติสุขของทั้งเมืองฮู่เป่ยได้ ข้ายินดี เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น อย่าได้ทำสายตาราวกับฮูหยินของเจ้าจะสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองตนเองเช่นนี้”
“ฮูหยิน ข้าเปล่านะเจ้าคะ” เจ๋อหลานเอ่ย “พวกเราจะไม่ปล่อยให้พวกเขาทำสำเร็จอย่างแน่นอน!”
“พลังของระเบิดนั่นรุนแรงเกินไป คนของเราได้รับบาดเจ็บสาหัส หากดำเนินต่อไปเช่นนี้ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เกรงว่า….”
จะต้านทานไม่ไหวแล้ว
ตอนนี้ทำได้เพียงพึ่งพาสถานการณ์ทางหลี่กู่หยวนแล้ว
“เจ้าเด็กเหม็นโฉ่ อย่าได้ทำให้ข้าผิดหวังเป็นอันขาดนะ” มู่ซืออวี่พึมพำกับตนเองขณะที่ทอดมองไปไกลสุดสายตา
คำนวณดูแล้วก็… จวนจะถึงเวลาแล้วกระมัง?
หากเขาทำตามแผนที่นางวางไว้สำเร็จ คงทันกาลพอดี
ขณะที่มู่ซืออวี่เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ฝั่งกบฏก็มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น
“ใต้เท้า ท่าไม่ดีแล้วขอรับ ค่ายของพวกเรา…” โจวเสียงเฟยควบม้าเข้ามารายงานเซียวหลี “ค่ายของเราถูกกวาดล้างแล้ว!”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?!”
“คนหลายพันที่อยู่ในค่าย… ถูกกวาดล้างไปหมดแล้วขอรับ” ใบหน้าของโจวเสียงเฟยเผือดสี “ยังมีอีกเรื่อง มีคนพบเบาะแสของลู่อี้ การลอบโจมตีครั้งนี้เป็นลู่อี้และคนของเขาที่จัดการขอรับ”
“บัดซบ…” เซียวหลีมองไปทางกำแพงเมือง
มู่ซืออวี่อยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อมมือ ทว่ากำแพงเมืองฮู่เป่ยกลับแข็งแกร่งมาก แม้ถูกโจมตียาวนานเพียงนี้ยังไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย
ฝีมือด้านกลไกของนางนั้นยอดเยี่ยม บางทีหากผู้เชี่ยวชาญด้านกลไกข้างกายเขาผู้นั้นอยู่ที่นี่ อาจบุกทะลวงไปได้ ทว่าคนผู้นั้นเทพไม่รู้ผีไม่เห็น เดิมทีก็ไม่อาจติดต่อเขาได้แม้แต่น้อย
“หากพวกเราจับลู่อี้ได้ ข้าไม่เชื่อว่ามู่ซืออวี่จะไม่สะทกสะท้านเช่นนี้ ไป! ไปตามล่าลู่อี้ จับเป็นมาให้ได้!”
หลังจากพวกกบฏชูธงถอนทัพ เจ๋อหลานก็ชี้ไปแล้วเอ่ยว่า “ฮูหยิน ท่านดูนั่น พวกเขาถอนทัพอีกครั้งแล้ว!”
ศึกนี้แตกต่างจากก่อนหน้า การบุกของพวกเขารุนแรงมาก แม้นจะต้องดับสิ้นไปพร้อมกับเมืองฮู่เป่ยก็หมายโจมตีให้ได้ เห็นได้ชัดว่าการโจมตีในครั้งนี้โหดเหี้ยมเพียงใด นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะถอนทัพกลับไปแล้ว
“ดูเหมือนกู่หยวนจะทำสำเร็จแล้ว!”