บทที่ 788 มองให้กว้างไกล
บทที่ 788 มองให้กว้างไกล
ฉานอีเอ่ยกับเหล่านักการ “ฮูหยินกำลังตามหาพวกท่าน พวกท่านเข้าไปเถอะ”
เหล่านักการจึงเดินเข้าไปในห้องตำรา
“คารวะฮูหยิน”
“เมื่อวานผู้ตรวจการเหลิ่งน่าจะเล่าให้พวกท่านฟังแล้ว ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านเข้าใจหรือยัง แต่ไม่เป็นไร ข้าจะเอ่ยอีกครั้ง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมืองถงหยางเป็นที่ศักดินาของข้า ภายหน้าอยู่ภายใต้การปกครองของข้า พวกท่านเป็นคนเก่าคนแก่คงคุ้นเคยกับที่นี่ดี ข้าเพิ่งมาถึงยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอีกมาก พวกท่านมีอะไรก็กล่าวตักเตือนได้ นอกจากนี้ เมื่อคืนข้าลองตรวจสมุดบัญชีดู ถึงได้พบว่าพวกท่านไม่ได้รับเบี้ยหวัดเป็นเวลาสามเดือนแล้ว”
เหล่านักการที่เดิมทีกำลังก้มหน้าก้มตาเงยหน้าขึ้น
พวกเขานึกไม่ถึงว่ามู่ซืออวี่จะเป็นฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องเบี้ยหวัดก่อน
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้พบข้าหลวงมาหลายคน อีกฝ่ายไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องเบี้ยหวัดตั้งแต่รับตำแหน่ง ถึงแม้นักการจะเอ่ยถามถึงเรื่องนี้ เขาก็จะใช้ข้ออ้างที่ว่าตนเพิ่งมาถึง การจัดการบัญชีก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
เหล่าพี่น้องทำงานเปล่าถึงสามเดือน มีครั้งหนึ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น คือพวกเขาไม่ได้รับเบี้ยหวัดเป็นเวลากว่าครึ่งปี กระทั่งข้าหลวงคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง พวกเขาถึงได้รู้ว่าพวกเขาตกหลุมพรางแล้ว
“มีอะไร? ข้าพูดผิดหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยขณะพลิกดูสมุดบัญชี “ก็ไม่ผิดนี่ สามเดือน หรือว่ายังมีอะไรตกหล่นอีก?”
“ไม่มีขอรับ” มือปราบหลี่ตอบ “เป็นสามเดือน”
เดิมทีเขาเตรียมตัวจะลาออกแล้ว เพียงแต่เมื่อได้ยินเรื่องเงินเดือน ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เดิมทีเขาเตรียมตัวจะไปตายเอาดาบหน้า นึกไม่ถึงว่าจะยังมีเรื่องให้ประหลาดใจรออยู่
“ข้ามาคิดดูแล้ว เบี้ยหวัดของพวกท่านมีบางอย่างไม่ถูกต้อง” มู่ซืออวี่ส่ายหน้าไปมา
ใจที่เพิ่งชื้นขึ้นมาของเหล่านักการพลันเย็นเยียบอีกครั้ง
พวกเขาอดที่จะเย้ยหยันไม่ได้
เมื่อครู่นึกไม่ถึงว่าจะเผลอตั้งตารอคอย
ขุนนางเหล่านี้ล้วนไม่มีอะไรแตกต่างกัน ถึงแม้ครานี้ผู้มาใหม่จะเป็นสตรี คุณธรรมน้ำใจก็ยังคงเหมือนกัน
ไม่สิ สตรีอาจโหดเหี้ยมยิ่งกว่าบุรุษเสียอีก อย่างไรเสียสตรีก็มักจะคิดเล็กคิดน้อย
“ข้าคิดเช่นนี้ เบี้ยหวัดของพวกท่านน้อยเกินไป ควรเพิ่มขึ้นอีกสักห้าเท่า” มู่ซืออวี่เอ่ย “อย่างไรเสียงานพวกท่านก็หนักหนาทีเดียว เบี้ยหวัดในปัจจุบันของพวกท่านไม่สมน้ำสมเนื้อกับงานเท่าใดนัก”
ทุกคนต่างหันไปมองนางอย่างตกตะลึง
“ข้าพูดอะไรผิดอีกหรือ?” มู่ซืออวี่งุนงงเล็กน้อย
เหตุที่นางเพิ่มเบี้ยหวัดให้ เพราะนางรู้สึกว่าเบี้ยหวัดของนักการเหล่านี้น้อยเกินไปจริง ๆ ยังสูงไม่เท่ายามเฝ้าประตูจวนลู่ด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรนักการก็เป็นงานที่มีความเสี่ยงสูง ไม่ควรได้รับเบี้ยหวัดน้อยนิดเช่นนี้
“ฮูหยิน ท่านยินดีจะให้เบี้ยหวัดเราเพิ่มเป็นห้าเท่าจริง ๆ หรือ?” มือปราบหลี่เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเทา
“แน่นอนสิ” มู่ซืออวี่เอ่ย “เพียงแต่ก่อนหน้านั้น ข้าต้องถามพวกท่านก่อน พวกท่านคิดจะทำอย่างไร ข้ารู้มาว่าพวกท่านหลายคนไม่อยากทำงานแล้ว หากไม่ใช่เพราะยังไม่ได้รับเบี้ยหวัด พวกท่านคงไม่รอมากระทั่งบัดนี้ หากพวกท่านคิดเห็นอย่างไรก็บอกข้าเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย ข้าจะได้จัดการให้พวกท่าน แน่นอนว่าเบี้ยหวัดที่ค้างจ่ายก่อนหน้านี้ก็จะจ่ายให้เป็นห้าเท่าเช่นกัน จะไม่ให้ขาดไปแม้แต่อีแปะเดียว”
“พวกเราไม่ไป พวกเราไม่ไปที่ใดทั้งสิ้น ฮูหยินให้พวกเราทำอะไร พวกเราก็จะทำอย่างนั้น!” มือปราบหลี่เอ่ย
“พวกข้าก็ไม่ไปเช่นกัน”
เหล่านักการรีบแสดงความซื่อสัตย์ในทันที
ล้อเล่นหรือไร? เบี้ยหวัดห้าเท่าเชียวนะ! ถึงแม้พวกเขาจะออกไปหางานทำก็ไม่มีทางได้เงินเดือนมากมายเพียงนี้ พวกเขาส่วนมากล้วนแต่เป็นคนหยาบกระด้าง รู้หนังสือเพียงไม่กี่ตัวอักษร เมื่อเทียบกับเป็นกุลีแล้ว การทำงานในศาลาว่าการย่อมมีเกียรติกว่า แม้กระทั่งพ่อค้าเหล่านั้นยังไม่กล้าล่วงเกิน
มู่ซืออวี่ได้รับคำตอบของพวกเขาแล้ว จึงให้เหล่านักการไปเบิกเบี้ยหวัดกับนักบัญชี
ภายในจวนว่าการเหลือนักการเพียงไม่กี่สิบคน บ่าวรับใช้ยิ่งมีเพียงไม่กี่คน แต่เรื่องนี้หาได้สำคัญไม่ นางนำคนมามากมายเพียงนั้น เพียงพอให้ใช้สอยแล้ว
มู่ซืออวี่ยุ่งทั้งวัน นางต้องดูแลทั้งเรื่องราวน้อยใหญ่มากมาย จู่ ๆ ก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ตนเองถนัด นางถนัดเพียงเรื่องการค้าเท่านั้น เรื่องอื่น ๆ อย่างเช่นภาษีควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่เชี่ยวชาญ
“ใต้เท้าฉี นึกไม่ถึงว่าท่านจะมาดื่มชาอยู่ที่นี่”ไอรีนโนเวล
มู่ซืออวี่เดินเข้าไปในลานเรือนของฉีเซียว เห็นเพียงฉีเซียวนั่งอยู่ที่โต๊ะหินดื่มชาอาบแสงแดดอย่างสบายอารมณ์ ผู้ที่ไม่รู้คงคิดว่าเขาเป็นท่านผู้เฒ่าอายุเจ็ดสิบแปดสิบปีที่กำลังดื่มด่ำกับวิถีชีวิตในชนบท
“เมืองถงหยางไม่ใช่ที่ศักดินาของข้าเสียหน่อย หากข้าไม่ดื่มชาอยู่ที่นี่ จะให้ข้าไปช่วยฮูหยินจัดการดูแลเมืองถงหยางหรือ?”
“นั่นไม่จำเป็นต้องรบกวนท่าน อย่างไรเสียท่านก็ต้องเข้ารับตำแหน่งหลังจากที่ร่างกายดีขึ้นแล้วอยู่ดี เรื่องของท่านยุ่งยากยิ่งกว่าเรื่องของข้านัก” มู่ซืออวี่เอ่ย “เพียงแต่ข้าขาดคนให้ใช้สอย ท่านสามารถให้ข้าหยิบยืมคนสักสองสามคนได้หรือไม่?”
ฉีเซียวกลับใจกว้าง มอบคนของเขาให้นางทันที
ข้างกายเขามีคนเก่งกาจไม่น้อย ระหว่างทางมานี้ มู่ซืออวี่ได้หมายตาพวกเขาไว้บ้างแล้วหลายคน นางจึงพาคนเหล่านั้นไปโดยไม่รีรอ
ไม่กี่วันต่อมา ฉีเซียวเห็นว่าคนของตนยังไม่กลับมาจึงส่งคนไปสอบถาม เขาจึงได้ทราบว่าคนของตนถูกมู่ซืออวี่ใช้เป็นขุนนางเล็ก ๆ ไปแล้ว หมู่นี้กำลังจัดระเบียบความวุ่นวายในเมืองถงหยางอยู่
“นายท่าน หากท่านอัครมหาเสนาบดีกลับมา เห็นว่าฝ่าบาทปฏิบัติต่อฮูหยินของเขาเช่นนี้ เกรงว่าจะโมโหขึ้นมาแล้ว” ผู้ติดตามรินชาถ้วยหนึ่งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ผู้ใดใช้ให้ฮูหยินลู่ความสามารถโดดเด่นเล่า?” ฉีเซียวเอ่ย “หากเป็นข้าก็จะเตรียมการเช่นนี้ ฮูหยินลู่มีพลังวิเศษ สามารถเนรมิตสถานที่หนึ่งให้กลายเป็นแดนสวรรค์ได้ ในเมื่อนางสามารถสร้างเมืองฮู่เป่ยได้ นางก็ต้องสามารถสร้างเมืองฮู่เป่ยแห่งที่สองขึ้นมาได้เช่นกัน เจ้าอย่าได้มองว่านางวิ่งวุ่นอยู่ทั้งวัน จริง ๆ แล้วนางชอบชีวิตเช่นนี้ สำหรับสตรีบางคน พวกนางชอบให้สามีเอาอกเอาใจ ทว่าสำหรับสตรีที่มีความพิเศษอีกจำพวกหนึ่งแล้ว นางกลับยิ่งต้องการดึงคุณค่าของตนออกมาให้มากที่สุด”
“ฮูหยินลู่เป็นสตรีจำพวกหลัง”
“ข้าไม่ได้เอ่ย นั่นเป็นเจ้าที่เอ่ย” ฉีเซียวกล่าว “เตรียมตัวเสีย พวกเราต้องไปที่หมู่บ้านข้างบนแล้ว”
“พวกเราต้องเผชิญปัญหามากมายกว่าฮูหยินลู่เสียอีก!” ผู้ติดตามเอ่ย “ข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้ว เดิมทีมีเพียงทหารสองหมื่นนายอยู่ประจำทุ่งในระยะสิบลี้นี้ อีกทั้งหลังจากขาดการควบคุม คนสองหมื่นคนนี้จึงกลายเป็นโจร ออกก่อกรรมทำชั่วไปทุกหนทุกแห่ง ชาวบ้านข้างเคียงจึงถูกคุกคามอย่างหนัก”
“ทำตามกฎของกองทัพ” สายตาของฉีเซียวแฝงไปด้วยจิตสังหาร “ควรฆ่าก็ฆ่า ควรฟันก็ฟัน มีอะไรให้ละอายกัน?”
ฉีเซียวรู้สึกว่าปัญหาน้อยนิดของเขานั้นแก้ได้ง่ายดาย ขอเพียงใช้วิธีการที่เด็ดขาดปราบคนเหล่านั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเม็ดทรายที่รวมตัวกันไม่ติด เดิมทีก็ไม่มีอะไรให้กลัว ทางฝั่งมู่ซืออวี่ เมืองถงหยางเป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง นอกจากทหารและพลเรือนในค่ายที่ประจำการอยู่ที่นี่แล้ว ราษฎรก่อนหน้านี้มีถึงสามแสนห้าหมื่นคน บัดนี้กลับเหลือเพียงห้าหมื่นคนเท่านั้น คิดจะพยายามกอบกู้สถานที่ที่แม้แต่สวรรค์ยังทอดทิ้งเช่นนี้กลับคืนมา นั่นยากยิ่งกว่าปีนป่ายขึ้นไปให้ถึงสวรรค์เสียอีก
ในห้องตำรา มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้นว่า “ไปติดประกาศว่า ขอเพียงยินดีทำไร่ทำนาก็จะได้รับการยกเว้นภาษีเป็นเวลาสามปี”
“ยกเว้นภาษี?” ทุกคนล้วนตื่นตกใจ “ฮูหยิน ฝ่าบาทไม่ได้ยกเว้นภาษีให้เมืองถงหยางนะขอรับ ถึงยามนั้นท่านยังต้องเป็นผู้จ่ายภาษีนะขอรับ”
“ขอเพียงเมืองถงหยางฟื้นขึ้นมา ภาษีนี้เดิมทีไม่นับว่าเป็นอะไร พวกเราต้องมองในระยะยาว ช่วยเหลือผู้คนที่นี่ก่อน ไม่เช่นนั้นที่นี่คงกลายเป็นเมืองร้างแล้ว”