บทที่ 1097 พักที่ร้านจิ่นฝู
บทที่ 1097 พักที่ร้านจิ่นฝู
ครั้นกู้เสี่ยวหวานได้ยินว่าปู่ของนางมียศเป็นถึงแม่ทัพ ทุกคนก็ได้แต่ตะลึงงันจนพูดไม่ออก
แม่นางที่อยู่ข้างหน้าคนนี้…
ครอบครัวของนางไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยนะ
ถานอวี้ซูเติบโตมากับปู่ตั้งแต่ยังเด็ก ท่านปู่ของนางเป็นทหารม้าและมักจะยกทัพไปออกสงครามอยู่บ่อยครั้ง ปกป้องครอบครัวและอาณาจักรอย่างไม่หวั่นเกรงต่อความตาย เขามีนิสัยแข็งแกร่งและซื่อตรง แม้แต่ถานอวี้ซูที่ถูกเขาเลี้ยงดูมาก็เติบโตขึ้นมามีนิสัยเหมือนเขาที่ทั้งซื่อตรงและกล้าหาญ
เดิมทีกู้เสี่ยวหวานเป็นดั่งตำนานในจิตใจของนาง ครั้งนี้เมื่อได้เจอตัวเป็น ๆ จะไม่ให้ดีใจจนเนื้อเต้นได้อย่างไร
หญิงสาวตรงหน้าราวกับหลุดออกมาจากนิทานปรัมปรา งดงามหาสิ่งใดเปรียบ แค่มองแวบแรกก็ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ แม้ว่านางจะมีอายุเพียงแค่สิบสี่ปี แม้ร่างกายจะยังไม่โตเต็มที่ แต่กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์ เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง นางถือว่าไม่เลวเลย
สันนิษฐานว่า เมื่อโตขึ้นนางจะต้องเป็นคนที่สวยมีเสน่ห์ อ่อนโยน และเป็นสุภาพสตรี
อีกทั้งยังมีอัปกิริยาที่เรียกได้ว่าทั้งใจกว้างและสง่างาม ไม่เหมือนบุตรสาวของครอบครัวอื่น ๆ เลยสักนิดที่บิดตัวไปมาไม่กล้าพูดเพราะเขินอาย
และไม่เหมือนเด็กสามัญชนในหมู่บ้านที่ออกมาจากชนบทและไม่รู้กฎหมายเลยแม้แต่น้อย
เมื่อนึกถึงการวิพากษ์วิจารณ์ถึงกู้เสี่ยวหวานในเมืองหลวง พวกเขาพูดทุกอย่างและถานอวี้ซูก็รู้สึกหวาดกลัว
คุณหนูตาโตเหล่านั้นมักจะพูดลับหลังเสมอว่าเสี้ยนจู่โชคดี หญิงสาวในหมู่บ้านที่สกปรกมอมแมมได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ครั้งนี้ถ้าพวกนางรู้ว่าเสี้ยนจู่ทั้งสง่างามและอ่อนโยนเพียงใด พวกนางคงจะไม่กล้าพูดถึงเสี้ยนจู่ในทางเสียหายแน่นอน
แค่คิดถึงสิ่งนี้ ถานอวี้ซูก็ตื่นเต้นและอยากจะเย้ยหยันคนเหล่านั้น
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ความคิดในใจของถานอวี้ซู ถ้านางรู้ เกรงว่านางจะต้องขัดขวางถานอวี้ซูแน่นอน
ถานอวี้ซูเล่าประวัติครอบครัวของตนเอง และมันทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานรู้ว่านางมาจากเมืองหลวงก็ไม่ได้ถามอะไรออกมาอีก
ถานอวี้ซูมีฐานะที่สูงส่ง โดยธรรมชาติแล้วนางจะต้องรู้เรื่องราวของตน ถ้าหากถามมากเกินไป ตนก็จะเหมือนกับคนไร้มารยาท
ไม่นานนัก รถม้าก็มาถึงโรงเตี๊ยมที่ถานอวี้ซูพักอยู่ แต่ว่าถานอวี้ซูยังอยากพูดคุยกับกู้เสี่ยวหวานอยู่ อีกทั้งยังอยากฟังเรื่องในหมู่บ้านที่กู้เสี่ยวหวานเคยพูดถึง ดังนั้นจึงพูดว่า “พี่เสี่ยวหวาน ข้าไม่กลับโรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ข้าขอตามท่านไปที่ร้านจิ่นฝู่ได้หรือเปล่า”
ร้านจิ่นฝูหรือ? เช่นนั้นก็ดีเลย ภายในร้านจิ่นฝูยังมีห้องว่างอยู่ กู้เสี่ยวหวานรู้ว่านางอยากไปกับตนเอง จึงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล “ได้สิ หากเจ้าสะดวกก็ตามพวกข้ามาด้วยกัน เช่นนั้นข้าจะได้วางใจ”
“ข้าสะดวกเจ้าค่ะ” ครั้นถานอวี้ซูได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานตอบตกลง นางจึงพยักหน้าทันทีและรีบพูดอย่างตื่นเต้นกับอาอวี้ว่า “อาอวี้ เจ้าไปเก็บสัมภาระเถอะ แล้วค่อยมาหาข้าที่ร้านจิ่นฝู”
เมื่อรถม้าวิ่งมาใกล้ถึงร้านจิ่นฝูแล้ว ถานอวี้ซูรู้สึกตื่นเต้นมาก แต่ในขณะที่กำลังจะก้าวลงจากรถม้า นางก็ดึงแขนของกู้เสี่ยวหวานไว้แล้วพูดว่า “พี่เสี่ยวหวาน ท่านอย่าบอกตัวตนของข้าให้ผู้อื่นรู้ได้หรือไม่ เดิมทีข้าก็แอบหนีออกมา ท่านปู่ยังไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่”
ถานอวี้ซูถูนิ้วชี้เข้าด้วยกันเหมือนกับเด็กที่ทำอะไรผิดสักอย่าง
พอกู้เสี่ยวหวานได้ยินที่นางพูดแบบนั้น จึงรู้ว่าถ้ามีคนรู้ตัวตนของถานอวี้ซู เกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้นไม่น้อย ดังนั้นนางจึงตอบตกลงทันที เพราะยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น
ถานอวี้ซูอยู่พักที่ร้านจิ่นฝู กู้เสี่ยวหวานจึงพานางไปรู้จักครอบครัวของตนเอง
พอกู้เสี่ยวหวานแนะนำสมาชิกในครอบครัวทีละคน ถานอวี้ซูก็ทักทายทุกคนอย่างร่าเริง
สมาชิกตระกูลกู้ได้พบเจอโลกกว้างมาไม่น้อย พอได้เห็นท่าทางและการแต่งกายของถานอวี้ซูก็รู้ได้ทันทีว่าตัวตนของนางต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน แต่เมื่อเห็นนางทักทายตนเองอย่างนอบน้อมก็รู้สึกประทับใจ
เมื่อเห็นฉินเย่จืออยู่ที่นี่ ถานอวี้ซูก็ตกตะลึงและเอ่ยอย่างตื่นเต้น “พี่เสี่ยวหวาน พี่ชายคนนี้ดูดีมากเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มรูปงาม ผู้ใดเห็นก็ย่อมชมชอบ เมื่อเห็นความตรงไปตรงมาของถานอวี้ซูก็ได้แต่รู้สึกถึงความประหลาดใจกับคำพูดของนาง
นอกจากกู้เสี่ยวหวานที่บอกว่าเขาดูดีแล้ว หากคนอื่นเอ่ยเช่นนี้อีก คาดว่าฉินเย่จืออาจจะโมโหจนแทบจะฉีกคนผู้นั้นเป็นชิ้น ๆ
ดังนั้นฉินเย่จือจึงไม่ค่อยปรากฏตัวในเมืองหลวง เวลาจะออกนอกเมืองก็ไม่ได้เดินทางด้วยการขี่ม้า หากว่าต้องเดินทางด้วยการขี่ม้าก็มักจะสวมใส่หน้ากากเพื่อพรางตัวตนของเขา
ดังนั้นนอกจากคนที่ติดตามไม่กี่คนและคนคุ้นเคย มักจะไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา
แต่ไหนแต่ไรมา ถานอวี้ซูก็ไม่เคยเจอฉินเย่จือ โดยธรรมชาตินางย่อมจะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาเลย
เมื่อเห็นคิ้วเรียวคมสวย ดวงตาของนางก็เปล่งประกายราวกับดวงดารายามค่ำคืน ดวงหน้าหล่อเหลาก็เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้
หากเป็นคนอื่น ฉินเย่จือต้องโกรธนางแล้วแน่ ๆ
แต่ว่าถานเย่สิงผู้เป็นปู่ของถานอวี้ซูเคยออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับฉินเย่จือมาก่อน เพียงแต่ถานเย่สิงอายุเริ่มมากขึ้น อีกทั้งยังสูญเสียลูกชายและลูกสะใภ้ไป แล้วเหลือเพียงหลานสาวไว้ให้ดูต่างหน้า การเผชิญหน้ากับความสูญเสียในวัยชรา คนผมขาวส่งคนผมดำ ฮ่องเต้ย่อมเข้าใจดีและรู้สึกเห็นใจถานเย่สิงอย่างมาก ฮ่องเต้จึงเรียกตัวเขากลับมาที่เมืองหลวงและแต่งตั้งให้เขาเป็นแม่ทัพทหารม้า เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาที่ทำคุณงามความดีและปกป้องบ้านเมือง
ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถดำรงตำแหน่งนี้ได้ หากถามว่าอาณาจักรต้าชิงมีผู้ใดเหมาะสมกับตำแหน่งนี้นอกจากถานเย่สิงและฉินเย่จือ เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดเหมาะสมมากไปกว่าพวกเขาเลย
ถานเย่สิงในวัยชราไม่สามารถนำทัพออกรบได้อีกแล้ว เขาจึงพาถานอวี้ซูไปเรียนฝึกทหาร ทหารที่ฝึกมาจากที่นี่แตกต่างจากทหารที่ฝึกมาจากที่อื่น ทหารที่ฝึกมากับถานเย่สิงทั้งหมดไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
ถึงแม้ว่าถานเย่สิงจะไม่ได้นำทัพออกรบ แต่ชื่อเสียงของเขายังคงอยู่ตลอดไป ขอเพียงเอ่ยถึงถานเย่สิง ทุกคนก็จะยกนิ้วยกย่องในอำนาจและความหาญกล้าของเขา
ในชีวิตของถานเย่สิง เขาผ่านเหตุการณ์ผลัดแผ่นดินมาแล้วหลายครั้ง และเขายังคงจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ทุกพระองค์ ดังนั้นฉินเย่จือจึงให้ความเคารพต่อแม่ทัพผู้นี้มาก แม้แต่กับถานอวี้ซูก็ยังปฏิบัติแบบธรรมชาติและแสดงนิสัยที่ดีออกมาให้เห็น
เพียงแต่ในใจรู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
ถานอวี้ซูคือชีวิตจิตใจของถานเย่สิง แต่ทำไมข้างกายถึงไม่มีใครคอยคุ้มกันนางสักคน และปล่อยให้นางพาสาวรับใช้ออกมาใช้ชีวิตในที่อันไกลโพ้นเช่นนี้
——————————————————————–