บทที่ 1119 ตระกูลจินมาหา
บทที่ 1119 ตระกูลจินมาหา
แม้ฉินเย่จือจะบอกว่าไม่ต้องเป็นกังวล หากแต่กู้เสี่ยวหวานก็ยังไม่รู้สึกโล่งใจ
กู้เสี่ยวหวานคว้ามือของฉินเย่จือมากุมแน่น นางก้าวไปยืนข้าง ๆ อีกฝ่ายและกล่าวว่า “พี่เย่จือ ข้าต้องการไปกับท่าน”
ฉินเย่จือขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยิน จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มอีกครั้งและมองท่าทางที่มุ่งมั่นของกู้เสี่ยวหวาน ก่อนจะกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ตกลง”
จากนั้นทั้งฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวาน และอาโม่ก็ก้าวออกไปเคียงข้างกัน
ผู้นำของคนกลุ่มนี้คือ จินโหย่วกุ้ย เมื่อคนที่เขาตามหาออกมาจากร้านจิ่นฝู จึงชี้ไปที่ฉินเย่จือด้วยเจตนามุ่งร้ายและพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคนแซ่ฉิน เจ้ากล้าโผล่หัวออกมาด้วยหรือ ครั้งนี้ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
จินโหย่วกุ้ยคนนี้เดิมทีเป็นอันธพาล แม้ว่าวันนี้เขาจะมีทรัพย์สมบัติมหาศาล หากแต่นิสัยเดิมก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้
เขาสบถออกมาสองสามคำ และคนรอบข้างต่างชินกับนิสัยอันธพาลของเขาเสียแล้ว แต่ฉินเย่จือขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยิน
ฉินเย่จือแสยะยิ้มเย็นชา
เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่จินโหย่วกุ้ยราวกับว่าต้องการอ่านความคิดของอีกฝ่าย
ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย แววตาเย็นยะเยือกทำให้จินโหย่วกุ้ยรู้สึกหวาดกลัว ดังนั้นเขาจึงเบี่ยงตัวหลบ
สายตาของคนผู้นี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
น่ากลัวกว่าชายผู้นั้นที่ตนเคยเจอเป็นร้อยเท่า
เมื่อนึกถึงความคิดนี้ จินโหย่วกุ้ยก็หัวเราะเยาะ เจ้าคนแซ่ฉินผู้นี้จะเปรียบเทียบกับท่านอ๋องที่มีสถานะสูงส่งและเต็มไปด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ครั้นลองคิดดูแล้ว ตัวเองคงคิดมากไป
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ จินโหย่วกุ้ยยังคงมีกำลังใจ “เจ้าคนแซ่ฉิน วันนี้เจ้าจะต้องชดใช้ให้ข้าด้วยชีวิต”
เมื่อเห็นว่าคนเหล่านั้นกำลังจะก้าวไปข้างหน้า ฉินเย่จือก็กระตุกยิ้มเย็นชา
ชายหนุ่มยืนพลางเอามือไพล่หลังด้วยท่าทีสง่างาม เมื่อยืนอยู่ภายใต้สายลมยามเช้าตรู่ เสื้อผ้าของเขาปลิวไสวตามสายลม ท่าทางของเขายังคงสร้างความหวาดหวั่นให้จินโหย่วกุ้ยได้ไม่น้อย
“จินโหย่วกุ้ย…” น้ำเสียงของฉินเย่จือเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง
จินโหย่วกุ้ยสะดุ้งโหยงโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินน้ำเสียงอันเย็นเยียบของอีกฝ่าย
คนอื่นไม่เห็น แต่ฉินเย่จือที่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตามองเห็นได้อย่างชัดเจน
เมื่อจินโหย่วกุ้ยเห็นความเยาะเย้ยในสายตาของฉินเย่จือ จึงรู้ว่าฉินเย่จือสังเกตเห็นการกระทำที่น่าอายของเขาในเมื่อครู่ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปทันที เขายกมือขึ้นชี้หน้าฉินเย่จือและสาปแช่ง “สารเลว เจ้าหัวเราะอะไร”
ฉินเย่จือยังคงยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน และสัมผัสได้ว่าจินโหย่วกุ้ยกำลังประหม่า
“เจ้า…เจ้าหัวเราะอะไร” จินโหย่วกุ้ยไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน แม้ว่าเขาจะออกไปพร้อมมีดเพื่อฆ่าคน เขาก็ไม่เคยหวาดกลัว
“หัวเราะเจ้าอย่างไรเล่า ใกล้จะตายอยู่แล้วยังไม่รู้ตัวอีกหรือไร” คำพูดของฉินเย่จือราวกับมีดแหลมคมที่แทงทะลุหน้าอกของจินโหย่วกุ้ย
เขาตกตะลึงเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็ตระหนักว่าฉินเย่จือทำให้เขาหวาดกลัว และตนเองจะไม่ถูกเขาหลอก
ดังนั้นเมื่อมองไปที่กลุ่มคน เขาก็พูดอย่างประชดประชัน “ข้าใกล้จะตายแล้ว เจ้าไม่ดูบ้างล่ะว่าใครกำลังจะตายในสถานการณ์นี้”
“เจ้าคิดว่าการที่เจ้าฆ่าข้าแล้วตนเองจะรอดอย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่จือเยาะเย้ย “ท่านรู้หรือไม่ว่าแม่นางที่ลูกชายของท่านลักพาตัวไปในวันนี้คือผู้ใด”
“นางคือใครล่ะ?” คราวนี้จินโหย่วกุ้ยไม่กล้าจะประมาทอีกต่อไป แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นไปได้มากที่สุดที่ฉินเย่จือจะเบี่ยงเบนความสนใจ
ฉินเย่จือไม่สนใจว่าเขาเชื่อในตัวเองมากแค่ไหนและพูดต่อ “เจ้าเคยได้ยินเรื่องเทพแห่งสงครามไหม”
“เทพแห่งสงคราม เจ้าหมายถึงถานเย่สิงหรือ?”
จินโหย่วกุ้ยผ่านโลกมามากมาย ย้อนกลับไปในตอนที่เขายังเป็นอันธพาล นั่นเป็นช่วงเวลาที่ชื่อเสียงและความน่าเกรงขามของถานเย่สิงโด่งดังไปทั่วแดนดิน
การกระทำที่กล้าหาญของถานเย่สิงเป็นที่เลื่องลือในหมู่ผู้คนมานานแล้ว
เรื่องราวและตำนานของถานเย่สิงทำให้ชายผู้นี้เป็นเหมือนเทพเจ้ามากยิ่งขึ้น
ในสนามรบ เขาขับไล่ทหารข้าศึกหลายร้อยคน
ในสายตาของศัตรู ผู้ชายคนนี้คือปีศาจ
แต่ในสายตาของคนทั่วไป ผู้ชายคนนี้คือเทพเจ้าแห่งการปกป้อง
ผู้คนต่างเคารพและสนับสนุนถานเย่สิง แม้กระทั่งตั้งสมญานามให้ถานเย่สิงว่าเป็นเทพแห่งสงครามเพื่อยกย่องถานเย่สิง
เมื่อจินโหย่วกุ้ยที่เป็นอันธพาลในตอนนั้น เขาเคยได้ยินเรื่องราวหลายสิ่งเกี่ยวถานเย่สิง หัวใจของเขาร้อนรุ่ม และเขาเองก็มองว่าถานเย่สิงเป็นวีรบุรุษในใจของเขา
เมื่อได้ยินฉินเย่จือพูดถึงถานเย่สิงในครั้งนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อย
“เจ้ารู้จักถานเย่สิง!?” จินโหย่วกุ้ยพูดโดยไม่ต้องคิด
ฉินเย่จือพยักหน้า “ข้าไม่เพียงแต่รู้จักกับถานเย่สิงเท่านั้น ข้ายังรู้จักหลานสาวของเขาด้วย”
“เจ้าหมายถึงแม่นางคนนั้นหรือ” จินโหย่วกุ้ยขมวดคิ้ว
ตามคำบอกเล่าของจินซื่อข่าย เด็กหนึ่งในสามคนนั้นมีแซ่ถาน
ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นหลานสาวของถานเย่สิงจริง ๆ…
แม้ว่าถานเย่สิงจะไม่ได้อยู่ในกองทัพอีกต่อไป แต่ฮ่องเต้ก็เป็นผู้รับสั่งเชิญเขากลับไปยังเมืองหลวง สถานะอันทรงเกียรตินี้ย่อมไม่ธรรมดา
เป็นแม่ทัพระดับสอง
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ จินโหย่วกุ้ยก็ได้แต่พึมพำในใจ
เนื่องจากทำให้ถานอวี้ซูขุ่นเคืองใจ แน่นอนว่าจะไม่เป็นผลดีแก่ตระกูลจิน ดังนั้นทำไมไม่…
สีหน้าที่ดุร้ายส่องประกายบนใบหน้าของจินโหย่วกุ้ย เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ฉินเย่จือด้วยดวงตาที่ดุร้าย “เจ้ากล้าโกหกข้างั้นหรือ?”
ผู้ชายจากตระกูลจินหยาบคายยิ่งนัก
เด็กก็ทำตัวหยาบคาย แม้แต่ผู้เฒ่าก็หยาบคาย
ในขณะนี้ ฉินเย่จือเห็นว่าจินโหย่วกุ้ยยังคงลังเล ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย และได้ยินจินโหย่วกุ้ยพูดต่อไปว่า “ลูกชายและลูกสะใภ้ของเทพแห่งสงครามเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย เขาจะมีหลานสาวได้อย่างไร อย่ามาขู่ข้าเสียให้ยากเลย ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก”
ฉินเย่จือเห็นว่าตอนนี้จินโหย่วกุ้ยลังเล ตอนนี้มีหนทางเดียวที่จะจัดการอีกฝ่ายได้คือ ต้องทำตัว
โหดเหี้ยม และเขาก็เข้าใจความคิดของจินโหย่วกุ้ยในใจทันที
เขาไม่สนใจว่าสถานะของถานอวี้ซูคืออะไร
———————————————–