ตอนที่ 1102 ออกมาจากใจทุกคำ
หลี่จือเจี๋ยไม่รู้ว่าไป๋ชิงเหยียนต้องการกล่าวสิ่งใดจึงได้แต่พยักหน้าอย่างสงสัย
ไป๋ชิงเหยียนยกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เช่นนั้นเหตุใดตำนานจึงไม่กลายเป็นเช่นนี้…ฮองเฮาของเทียนเฟิ่งสูญเสียสามีไปโดยที่ยังไม่มีลูกแม้แต่คนเดียว นางกลัวว่าผู้อื่นจะแย่งบัลลังก์ไปจนนางสูญเสียอำนาจในการปกครองแคว้นดังนั้นนางจึงเลือกใช้พลังวิเศษของหยกจักจั่น จากนั้นแต่งเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาเพื่อทำให้นางกลายเป็นที่เคารพบูชาของคนทั้งแคว้น อีกทั้งสร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารที่กำลังจะทำสงครามกับแคว้นเหมิ่งเสอ”
หากตัดเรื่องตำนานที่เล่าขานกันมาทิ้งไป หากมองในมุมของผู้กุมอำนาจ การวิเคราะห์ของไป๋ชิงเหยียนน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง
หลี่จือเจี๋ยตะลึงงันไปชั่วครู่ จากนั้นหัวเราะหยันออกมาน้อยๆ “ต้าโจวไม่เชื่อเรื่องเทพเจ้า ดังนั้นย่อมไม่มีทางเชื่อตำนานที่กระหม่อมเล่าให้ฟัง ทว่า ซีเหลียงของกระหม่อมศรัทธาในเทพเจ้า เชื่อในพลังของพระองค์อย่างไม่มีข้อกังขา! พวกเราเลื่อมใสในเทพเจ้ามากพ่ะย่ะค่ะ!”
หลี่จือเจี๋ยกล่าวถึงตรงนี้จึงเงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียน “สายลับชุยเฟิ่งเหนียนที่ฝ่าบาททรงส่งมาสอดแนมซีเหลียงคงทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบแล้ว”
หลังจากหลี่จือเจี๋ยกลับไปยังซีเหลียงเขาได้ยินหลี่เทียนเจียวเล่าว่าพ่อค้าชุยเฟิ่งเหนียนคนนั้นคือสตรี หากนางไม่ใช่สายลับที่ไป๋ชิงเหยียนส่งมานานแล้วก็คงเป็นสายลับที่ต้าจิ้นส่งมา ทว่า ไม่ว่าชุยเฟิ่งเหนียนจะเป็นคนต้าจิ้นหรือต้าโจว บัดนี้นางกลายเป็นคนของไป๋ชิงฉีน้องชายคนที่สามของจักรพรรดินีแห่งต้าโจวเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้นางถือเป็นคนของต้าจิ้นแล้ว
ไป๋ชิงเหยียนเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ คำกล่าวของหลี่จือเจี๋ยแฝงไปด้วยคำข่มขู่
หากนางส่งตัวเขาให้เทียนเฟิ่ง หลี่จือเจี๋ยจะบอกจักรพรรดิแห่งเทียนเฟิ่งว่าชุยเฟิ่งเหนียนคือสายลับของต้าโจวเพื่อทำลายทุกอย่างที่ชุยเฟิ่งเหนียนสร้างไว้ที่เทียนเฟิ่ง
“ฝ่าบาท…” เว่ยจงเอ่ยเรียกเสียงเบา “เซียวรั่วไห่กลับมาแล้ว เขาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว” ไป๋ชิงเหยียนรับคำ
ร่างของหลี่จือเจี๋ยเกร็งแน่น เขามองไปทางไป๋ชิงเหยียนอย่างรอคำตอบ
“ข้าไม่ชอบการถูกข่มขู่…” ดวงตาดำขลับของไป๋ชิงเหยียนจ้องไปทางหลี่จือเจี๋ย “ที่สำคัญข้าไม่เชื่อเรื่องตำนานหยกจักจั่นที่เหยียนอ๋องเล่า ไม่เชื่อว่าจักรพรรดิแห่งเทียนเฟิ่งจะยอมทิ้งโอกาสที่จะได้ครอบครองดินแดนของต้าโจวไปแล้วตัดสินใจทำสงครามกับต้าโจวเพียงเพราะเหยียนอ๋องรู้ตำนานที่ว่า เหยียนอ๋องให้ความสำคัญกับตำนานของเทพเจ้านี่มากเกินไปแล้ว”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวพลางลุกขึ้นยืน
เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนเตรียมเดินจากไป หลี่จือเจี๋ยเบิกตาโพลง เขามองไปทางทูตองเทียนเฟิ่งซึ่งยืนอยู่ด้านนอกด้วยความร้อนใจแวบหนึ่ง จากนั้นมองไปทางแผ่นหลังของไป๋ชิงเหยียน หลี่จือเจี๋ยตะโกนขึ้นเสียงดัง
“หากฝ่าบาทเคยพบจักรพรรดิแห่งเทียนเฟิ่งก็น่าจะทราบว่าจักรพรรดิแห่งเทียนเฟิ่งมีหยกจักจั่นอยู่ชิ้นหนึ่ง ฝ่าบาททรงไม่รู้สึกว่าหยกจักจั่นดูคุ้นตาบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ หยกชิ้นนั้นเหมือนกับหยกจักจั่นของพระภัสดาของฝ่าบาทไม่มีผิดเพี้ยนพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียงไป๋ชิงเหยียนหยุดฝีเท้าลง จากนั้นหันกลับไปมองหลี่จือเจี๋ย “แล้วอย่างไร”
“ฝ่าบาทน่าจะทรงทอดพระเนตรเห็นแล้ว ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นพกหยกจักจั่นชิ้นนั้นติดตัวตลอดเวลาและมักเอาออกมาคลำเล่นตลอด เห็นได้ชัดว่าเขาเชื่อเรื่องตำนานนี้อย่างสนิทใจ หากเขารู้ว่าพระภัสดาของฝ่าบาทมีหยกที่เหมือนกันอยู่อีกชิ้น เขาจะไปค้นหาหยกจักจั่นที่สุสานของพระภัสดา จะไปค้นหาที่ต้าโจวหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท…” หลี่จือเจี๋ยเลิกผ้าห่มออกเตรียมลุกขึ้นจากเตียงอย่างร้อนใจ ทว่า เขาล้มลงบนเตียงอีกครั้งเพราะร่างกายอ่อนแอเกินไป หลี่จือเจี๋ยไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่น เขาคลานไปด้านหน้าเล็กน้อย
“สงครามระหว่างต้าโจวและเทียนเฟิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากฝ่าบาททรงส่งตัวกระหม่อมให้ทูตของเทียนเฟิ่งเพื่อเจรจาสงบศึก เมื่อฤดูร้อนมาเยือนเทียนเฟิ่งจะบุกทำลายล้างต้าโจวแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ทุกคำที่กระหม่อมกล่าวล้วนออกมาจากใจจริงพ่ะย่ะค่ะ!”
“พรุ่งนี้ต้าเยี่ยนและต้าโจวจะร่วมมือกันยกทัพบุกไปโจมตีเทียนเฟิ่งและซีเหลียงแล้ว ดังนั้นเหยียนอ๋องไม่จำเป็นต้องพยายามหาทางทำให้ต้าโจวและเทียนเฟิ่งทำสงครามกันอีกต่อไปแล้ว ท่านควรรีบคิดหาทางทำให้ข้าเก็บท่านไว้ให้ได้ ยกตัวอย่างเช่นบอกมาว่าหลี่เทียนเจียวและอวิ๋นพั่วสิงพากองทัพหั่วอวิ๋นไปซ่อนตัวอยู่ที่ใดหรือซีเหลียงส่งสายลับมาแฝงตัวอยู่ในต้าโจวหรือต้าเยี่ยนบ้างหรือไม่ดีกว่า”
หลี่จือเจี๋ยกำหมัดแน่น เมื่อได้ยินว่าไป๋ชิงเหยียนกำลังจะยกทัพบุกไปโจมตีเทียนเฟิ่งเขาจึงคลายความกังวลลง หากเป็นเช่นนี้ต่อให้เขาตายไปก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว ขอเพียงต้าโจวและต้าเยี่ยนเปิดศึกกับเทียนเฟิ่ง จักรพรรดินีแห่งซีเหลียงและแม่ทัพอวิ๋นต้องกอบกู้สถานการณ์กลับคืนมาได้อย่างแน่นอน
“แม้กระหม่อมจะรักชีวิตของตัวเอง ทว่า กระหม่อมจะเห็นแก่ตัวทรยศแคว้นซีเหลียงของกระหม่อมไม่ได้เด็ดขาด ขออภัยที่กระหม่อมไม่อาจทูลที่ซ่อนตัวของจักรพรรดินีแห่งซีเหลียงให้ฝ่าบาททรงทราบได้ ส่วนเรื่องสายลับ…หลี่จือเจี๋ยไม่ทราบจริงๆ ว่าฝ่าบาทของกระหม่อมส่งสายลับไปแฝงตัวที่ต้าโจวหรือต้าเยี่ยนบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ากล้าสาบานต่อเทพเจ้าที่ท่านนับถือหรือไม่” ไป๋ชิงเหยียนถามต่อ
หลี่จือเจี๋ยกำหมัดแน่น ดวงตาไหววูบเล็กน้อย ทว่า ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยอันใดออกมา เขาก็เห็นไป๋ชิงเหยียนยกยิ้มมุมปากพลางเดินออกไปด้านนอกเสียก่อน
พายุหิมะสงบลงแล้ว บ่าวรับใช้ทำความสะอาดหิมะที่ตกลงเต็มลานหญ้าและหิมะที่เกาะอยู่ตามต้นไม้จนเกลี้ยงเกลา แม้แต่หลังคากระเบื้องยังได้รับการทำความสะอาดจนมันวาว
เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนแหวกม่านเดินออกมาจากในห้อง ทูตของเทียนเฟิ่งรีบเข้าไปทำความ
“กระหม่อมคารวะฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ…”
วันนี้เมื่อทูตของเทียนเฟิ่งมาถึงก็ถูกพามาที่นี่ทันที เขายืนตากลมหนาวของหิมะอยู่กลางลานหญ้านานพอสมควร เมื่อลมพัดผ่าน หิมะบนหลังคากระเบื้องหล่นลงบนใบหน้าของเขา ทูตของเทียนเฟิ่งเติบโตมาในแคว้นที่มีแต่ความอบอุ่น เขาไม่เคยเจออากาศหนาวเช่นนี้มาก่อนจึงได้แต่ยืนตัวสั่นเทาอยู่นอกเรือน
“ปล่อยให้เจ้ารอนานแล้ว…”
ไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่ด้านล่างระเบียงทางเดิน นางหันไปรับเตาอุ่นมือจากเว่ยจงมาถือไว้ในมือ จากนั้นเอ่ยถามทูตของเทียนเฟิ่ง
“เมื่อวานแคว้นของพวกเจ้าเพิ่งส่งกองทัพช้างบุกมาโจมตีเมืองผิงหยางของข้า วันนี้ส่งทูตมาเช่นนี้…เทียนเฟิ่งของพวกเจ้าชอบทำสงครามก่อนแล้วค่อยส่งสารท้ารบมาภายหลังอย่างนั้นหรือ”
สิ้นเสียงของไป๋ชิงเหยียน เหล่าขันทีเล็กทยอยกันขนเก้าอี้ โต๊ะเล็ก เตาผิง กาน้ำร้อนและของว่างเข้ามาจัดวางให้เรียบร้อย เว่ยจงเชิญไป๋ชิงเหยียนนั่งลง
ทูตเทียนเฟิ่งมองไปทางไป๋ชิงเหยียนที่ยืนอยู่ด้านล่างระเบียงทางเดินด้วยท่าทีสบายๆ แวบหนึ่ง จากนั้นทำความเคารพหญิงสาวอีกครั้ง
“เมื่อวานจักรพรรดินีแห่งซีเหลียงขอร้องให้จักรพรรดิเทียนเฟิ่งของกระหม่อมมาช่วยขอตัวคนทรยศหลี่จือเจี๋ยคืนจากต้าโจว ก่อนมาจักรพรรดิเทียนเฟิ่งกำชับนางแล้วว่าให้ขอร้องต้าโจวดีๆ…”
“ทูตของเทียนเฟิ่งกล่าวภาษากลางได้ดีมาก ฟังแล้วรู้สึกสบายหูยิ่งนัก”
ไป๋ชิงเหยียนยื่นเตาอุ่นมือให้ชุนจือซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง หญิงสาวยกถ้วยชาขึ้นจิบเล็กน้อย จากนั้นเงยหน้ามองทูตเทียนเฟิ่งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยไอสังหาร
“ทว่า เทียนเฟิ่งทำร้ายน้องสาวคนที่สี่ของข้า เจ้าคิดว่าคำกล่าวสวยหรูเหล่านี้จะทำให้เรื่องทุกอย่างดีขึ้นอย่างนั้นหรือ!”