“เรสเนอร์งั้นหรอ… เธอมีอะไรจะอธิบายมั้ยเอริกะ?”
ภาพของอัศวินหญิงผมสีชมพูในชุดเกราะเต็มยศพร้อมรบที่กำลังเดินตรงเข้ามาทางพวกเธอนั้นได้ทำให้อลิซต้องเหล่ตาไปมองทางด้านเอริกะด้วยความสงสัย และนั่นก็ทำให้เอริกะต้องรีบพูดแก้ตัวขึ้นมาในทันที
“อันนี้ฉันไม่รู้เรื่องนา… เมื่อวันก่อนฉันทำเอกสารให้เรสเนอร์เขาไปแล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ฉันเองก็นึกว่าเขากลับไปที่แพนเทร่าตั้งนานแล้วซะด้วยซ้ำ”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ฉันคิดไปคิดมาฉันว่าฉันรอให้ทางวังหลวงเขายอมกลับมาเปิดเมืองด้วยตัวเองแล้วค่อยออกเดินทางกลับเมืองแพนเทร่าน่าจะดีกว่าน่ะจ้ะ”
เรสเนอร์ที่เดินเข้ามาใกล้จนได้ยินคำพูดอธิบายของเอริกะเข้าพอดีนั้นได้พูดอธิบายขึ้นมาให้ทั้งสองคนฟังด้วยสีหน้ายิ้มๆ ที่ดูใจดีของเธออีกครั้ง และนั่นก็ทำให้เอริกะต้องพูดถามกลับไปด้วยความประหลาดใจเพราะเธอนึกว่าเรสเนอร์จะอยากรีบออกไปจากเมืองเพื่อหลีกหนีความวุ่นวายที่กำลังดำเนินอยู่เสียอีก
“เธอไม่ต้องเกรงใจฉันก็ได้นะเรสเนอร์ ถ้าเธอเอาจดหมายที่ฉันเขียนให้ไปยื่นให้ทางวังหลวงดูล่ะก็เชื่อฉันเถอะว่าพวกเขาจะรีบเปิดประตูเมืองให้พวกเธอเดินทางออกไปในทันทีเลยล่ะ”
“แหม่ แค่เอริกะเตรียมที่พักให้พวกฉันก็เกรงใจจะแย่แล้วล่ะจ้ะ แถมจะให้มีคนเอาชื่อของเธอไปอ้างกับทางวังหลวงของที่นี่บ่อยๆ มันก็คงจะดูไม่ดีจริงมั้ยล่ะจ๊ะ แล้วในเมื่อมันเกิดเรื่องแบบนี้ไปซะทั่ว ทางแพนเทร่าเขาก็คงจะเข้าใจแหล่ะจ้ะว่าทำไมพวกฉันถึงกลับไปรายงานภารกิจสำรวจทะเลมรกตได้ช้าน่ะ”
เรสเนอร์ยิ้มพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เธอจะมองไปทางกล่องกระดาษที่ถูกเอริกะวางทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่เธอมาถึงด้วยท่าทีสนใจสนใจราวกับเธอรู้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์รุ่นใหม่ของเอริกะ
แต่ถึงอย่างนั้นเรสเนอร์ก็กลับละสายตาออกมาจากมันภายในเวลาไม่นานและเอ่ยปากพูดสอบถามเอริกะขึ้นมาด้วยท่าทางอารมณ์ดีอีกครั้ง
“ว่าแต่ไหนๆ เอริกะก็อยู่ด้วยแล้วฉันก็มีเรื่องจะถามเธอพอดีเลยล่ะ ที่ฉันได้ข่าวมาว่าเมื่อวันนั้นตอนที่พวกชาวบ้านที่ค่ายอพยพเขาคิดว่าตัวเองจะไม่รอดกันแล้วอยู่ๆ ก็มีพวกทหารรับจ้างหรือไม่ก็พวกนักผจญภัยพากันกระโดดออกมาช่วยพวกเขาเอาไว้จนตัวตายจนพวกเขารอดมาได้เนี่ย เธอพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรือเปล่าเอ่ย?”
“เอ๋? เธอพูดเรื่องอะไรน่ะ ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลยนะ~”
“ไม่เนียน…”
คำพูดปฏิเสธของเอริกะนั้นได้ทำให้อลิซต้องส่ายหน้าไปมาด้วยความหน่ายใจ ในขณะที่ทางด้านเรสเนอร์นั้นก็ได้หัวเราะคิกคักออกมา
“คิกคิก เธอไม่ต้องปิดบังฉันก็ได้นะ เพราะถึงจะเห็นอย่างนี้แต่ฉันเองก็มีสายข่าวเป็นของตัวเองอยู่เหมือนกันนะ”
“อ้าว ไหนเมื่อตอนนั้นเธอบอกว่าอยากจะพักจากเรื่องวุ่นวายก็เลยจะขอออกไปใช้ชีวิตสงบๆ ในหมู่บ้านที่ไหนหรอกหรอ ไหงถึงยังมีสายข่าวใช้งานอยู่แบบนี้ด้วยกันล่ะ~”
เอริกะพูดตอบเรสเนอร์กลับไปด้วยท่าทีที่ดูออกจะติดตลกนิดๆ กับคำพูดของเพื่อนเก่าของเธอ ในขณะที่ทางด้านอลิซนั้นก็กลับต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะพูดถามหญิงสาวผมชมพูขึ้นมา
“ใช้ชีวิตในหมู่บ้าน? ทั้งๆ ที่ใส่ชุดเกราะอัศวินแบบนั้นน่ะนะ?”
“แหม่ ชุดนี้ฉันก็ใส่แค่ตอนที่ต้องรับงานจากทางวังหลวงของแพนเทร่าเท่านั้นแหล่ะค่ะคุณอลิซ ส่วนมากแล้วถ้าทางนั้นเขาไม่ได้สั่งงานมาให้พวกฉันโดยตรงพวกฉันก็เป็นแค่ชาวบ้านทั่วๆ ไปไม่ก็นักผจญภัยธรรมดาๆ เองนะคะ”
เรสเนอร์ยิ้มพูดตอบเพื่อนใหม่ของเธออย่างอลิซกลับไปในขณะที่ทางด้านเอริกะนั้นก็กลับเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนจะพูดถามขึ้นมา เพราะว่าตัวเธอเองก็รู้สึกสงสัยกับการที่เรสเนอร์กลับมาใส่ชุดเกราะประจำตัวแบบนี้อีกครั้งหนึ่งอยู่บ้างเช่นเดียวกัน
“ว่าแต่การที่เธอกลับมารับงานจากทางแพนเทร่าแบบนี้มันจะดีจริงๆ หรอเรสเนอร์ ถ้าเกิดว่าพวกเมืองหลวงเมืองอื่นได้ยินเข้ามีหวังจะได้วุ่นวายแย่เลยนะ”
“หืม? เรสเนอร์เขาดังขนาดนั้นเลยหรอ?”
“อื้ม ถึงแต่ไหนแต่ไรมายัยหัวชมพูนี่จะชอบยกผลงานของตัวเองให้คนอื่นมาตลอดก็เถอะ แต่ว่าจริงๆ แล้วทุกคนในหมู่พวกทหารหรือว่าอัศวินของเมืองต่างๆ ก็ต้องเคยได้ยินชื่อของเรสเนอร์เขามาก่อนหรือไม่อย่างน้อยๆ ก็ต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของยัยหัวชมพูในชุดเกราะแบบนี้มาบ้างนั่นแหล่ะ— อ่ะ แต่ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องอัศวิน แล้วนี่พ่อหนุ่มอัศวินปิดหน้าที่คอยตามติดเธออยู่ในช่วงนี้หายไปไหนซะแล้วล่ะ?”
ในขณะที่เอริกะกำลังพูดอธิบายออกมาให้อลิซฟังอยู่นั้นเอง เธอก็นึกขึ้นมาได้ถึงอัศวินหนุ่มเอเว่นที่ในวันนี้หายหน้าหายตาไปทั้งๆ ที่เขาเป็นคนที่จะต้องคอยตามติดอลิซตามคำสั่งของทางวังหลวงแท้ๆ
ซึ่งสิ่งที่เอริกะพูดขึ้นมานั้นก็ได้ทำให้อลิซเผยสีหน้ากระยิ้มกระย่องออกมาก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสะใจ
“หมอนั่นโดนผู้อำนวยการเรียกไปตั้งแต่เช้าแล้ว ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องอะไรก็เถอะ แต่ขอให้หมอนั่นโดนห้ามเข้าโรงเรียนไปเลยก็ดี”
“อื้ม งั้นหรอ… แต่เขาไม่อยู่ตอนที่เรสเนอร์มาหาพวกเราแบบนี้ก็น่าจะดีแล้วล่ะมั้ง ไม่งั้นเดี๋ยวถ้าได้เจอหน้ากันขึ้นมามีหวังได้ร้องโวยวายแล้วรีบเอาไปแจ้งทางวังแหงเลย ว่าแต่สรุปแล้วสาเหตุที่ทำให้เธอกลับมาจับอาวุธอีกครั้งนี่มันเพราะว่าอะไรกันแน่ล่ะเรสเนอร์ เพราะเอาจริงๆ ต่อให้เป็นพระราชาของเมืองแพนเทร่ามาขอร้องเธอด้วยตัวเอง อย่างเธอก็คงจะไม่สนใจอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ”
เอริกะที่ได้ยินคำพูดด้วยน้ำเสียงสะใจของอลิซนั้นได้ยักไหล่กลับไปให้เด็กสาวก่อนจะหันไปพูดถามเรสเนอร์ขึ้นมาตรงๆ ซึ่งคำถามของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้เรสเนอร์เผยสีหน้ายิ้มๆ ออกมาอีกครั้งก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไป
“เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่ว่าพวกเด็กๆ ในหมู่บ้านที่ฉันไปอาศัยอยู่เขามีความฝันอยากจะเป็นนักผจญภัยที่สร้างชื่อเสียงจากการสำรวจทะเลมรกตกันก็เลยมาขอร้องให้ฉันช่วยสอนพวกเขาสักหน่อยน่ะจ้ะ แล้วไปๆ มาๆ อยู่ๆ พวกเขาเลยยกให้ฉันเป็นหัวหน้ากลุ่มไปซะเฉยๆ เลย”
“แค่เพราะพวกเด็กๆ มาขอร้องเธอ เธอก็เลยกลับมาจับดาบเฉยๆ เลยเนี่ยนะ!?”
คำตอบของเรสเนอร์นั้นได้ทำให้เอริกะผงะไปด้วยความคาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นเพราะเรื่องความฝันของเด็กๆ แบบนี้ เพราะว่าการที่หญิงสาวผมสีชมพูในชุดเกราะอัศวินสีขาวคนนี้กลับมาจับดาบรับงานทำอีกครั้งหลังจากที่ถอนตัวออกไปนั้นมันค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหญ่ในแวดวงของพวกอัศวินเมืองต่างๆ มาก
“แหม่ ก็คนของหมู่บ้านนั้นเขาอุตส่าห์ต้อนรับแถมยังทำดีกับฉันที่เพิ่งจะย้ายเข้าไปอยู่เลยนะคะ ฉันก็เลยอยากจะตอบแทนพวกเขาด้วยการคอยช่วยดูแลพวกเด็กๆ ให้ในระว่างการผจญภัยเล็กๆ ของพวกเขาสักหน่อยน่ะจ้ะ”
“แต่ว่าไอ้อย่างงั้นมันทำให้— เฮ้อ… ให้ตายสิ เอาเป็นว่าถ้าเธอไม่มีปัญหาอะไรฉันก็จะไม่ยุ่งกับเรื่องของเธอก็แล้วกัน”
เอริกะที่ทำท่าเหมือนจะพูดบ่นอะไรบางอย่างออกมานั้นได้ชะงักไปกลางคันและถอนหายใจพูดบ่นออกมาด้วยท่าทีเหนื่อยใจก่อนที่เธอจะพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา
“แล้วเอาเป็นว่าคราวนี้เธอมีธุระอะไรกับพวกฉันล่ะ ดูท่าแล้วคงจะไม่ได้มาเยี่ยมกันเฉยๆ ใช่มั้ยล่ะ เพราะเห็นตอนแรกเรียกชื่ออลิซขึ้นมาด้วยนี่”
“อ๋อ พอดีฉันได้ยินมาจากพวกนิ๊กซ์ซี่ว่าคุณอลิซเขาออกมาทำงานทั้งๆ ที่ยังบาดเจ็บอยู่ ฉันก็เลยหาโอกาสแวะมาดูสักหน่อยแค่นั้นแหล่ะจ้ะ”
“ถ้าเป็นเรื่องของอลิซเขาล่ะก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก… ก็อย่างที่เห็นว่าอลิซเขาฟื้นตัวได้เร็วจนบางทีฉันก็ยังสงสัยอยู่เลยว่าเธอคนนี้ใช่มนุษย์แน่หรือเปล่าน่ะ~”
เอริกะเอ่ยปากพูดตอบเรสเนอร์กลับไปพลางยื่นมือออกไปตีไหล่ของอลิซเบาๆ ซึ่งคำพูดของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้อลิซต้องขมวดคิ้วก่อนที่เธอจะยื่นมือออกไปดึงแก้มของเอริกะจนยืดและเค้นเสียงพูดกลับไป
“จะนินทาก็ให้มันลับหลังเจ้าตัวหน่อยสิ…”
“โอ๊ยๆ ก็แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง—”
“คิกคิก แต่ก็อย่างที่ฉันว่าไปนั่นแหล่ะจ้ะว่าฉันแค่ว่างเฉยๆ ก็เลยหาอะไรทำเล่นน่ะ”
เรสเนอร์ที่เห็นการแกล้งกันเองของทั้งเพื่อนใหม่และเพื่อนเก่าของเธอนั้นได้หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยจนทำให้เอริกะที่ได้ยินแบบนั้นเผยสีหน้าเหนื่อยใจและพูดบ่นออกมาด้วยท่าทีทีเล่นทีจริง
“มีเวลาว่างก็เลยหาอะไรทำเล่นๆ งั้นหรอ… ถ้าเกิดฉันได้มีโอกาสพูดแบบนั้นบ้างก็ดีสิน๊า~”
“เอาจริงๆ ถ้าเอริกะเหนื่อยล่ะก็จะไม่ลองปล่อยวางแล้วก็หันไปใช้ชีวิตสงบๆ ดูบ้างหรอคะ บางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่อยแย่สักเท่าไหร่ก็ได้นะ”
สิ่งที่เอริกะพูดบ่นออกมานั้นได้ทำให้เรสเนอร์เผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาก่อนที่เธอจะพูดแหย่ขึ้นมาตามประสาคนสนิท และนั่นก็ทำให้อลิซที่รู้ดีอยู่แล้วว่าเอริกะจะพูดตอบเพื่อนเก่าแก่ของตนเองกลับไปว่ายังไงอดไม่ได้ที่จะต้องพูดขึ้นมาด้วยอีกคนหนึ่ง
“เรื่องนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ เพราะว่ายัยผีขอบตาคล้ำนี่ยังมีห่วงอยู่ก็เลยไปสู่สุขคติไม่ได้น่ะ…”
“โถ่เอ๊ย อย่ามาพูดเหมือนกับว่าฉันเป็นผีสางวิญญาณร้ายแบบนั้นสิอลิซ~”
เอริกะที่ได้ยินคำพูดของอลิซนั้นได้พูดบ่นออกมาเบาๆ ในขณะที่ทางด้านเรสเนอร์นั้นก็เกือบจะหลุดหัวเราะให้กับคำพูดของเด็กสาวก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“คิกคิก แต่ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ แล้วมันก็ตามนั้นเลยไม่ใช่หรอจ๊ะเอริกะ”
“ก็เพราะว่าพวกเธอกับคนอื่นๆ เกินกว่าครึ่งเล่นไปสู่สุคติกันแล้วแบบนั้นก็เลยเหลือแค่ฉันกับเซซิเรียที่ยังมีห่วงอยู่ไม่ใช่หรอไงน่ะ! แต่เอาจริงๆ จะโทษพวกเธอก็ไม่ได้ล่ะนะ เพราะว่าเรื่องเมื่อตอนนั้นมันก็เกินจะรับไหวจริงๆ นั่นแหล่ะ… เฮ้อ…”
เอริกะขึ้นเสียงใส่เรสเนอร์และตีไปที่ไหล่ของหญิงสาวด้วยท่าทีสนิทสนมก่อนที่เธอจะพูดบ่นออกมาเบาๆ จนทำให้เรสเนอร์ที่ได้ยินแบบนั้นมีท่าทีที่ดูโศกเศร้าลงเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้เอริกะจำเป็นต้องพูดเปลี่ยนเรื่องออกมา
“จะว่าไปเดี๋ยวยังไงพวกเธอก็ต้องอยู่ที่รีมินัสนี่อีกสักพักนึงอยู่แล้วแถมยังว่างอยู่ด้วยใช่หรือเปล่าล่ะเรสเนอร์? ถ้าเกิดว่าเธอว่างจนต้องหาอะไรทำอยู่เรื่อยๆ แบบนี้สนใจจะมาลองฝึกเด็กนักเรียนสักคนนึงดูหน่อยมั้ยล่ะ เขาเป็นอัศวินที่ใช้ดาบโล่เหมือนกับเธอพอดีเลยน่ะ”
“เด็กนักเรียนที่เป็นอัศวินแถมยังใช้ดาบโล่ด้วยงั้นหรอจ๊ะ? นี่เกณฑ์การเลือกสมาชิกของเธอมันชักจะเริ่มน่าเป็นห่วงแล้วนะจ๊ะเอริกะ…”
“โอ๊ะๆ ฉันไม่อยากจะได้ยินคำพูดแบบนั้นจากคนที่ยอมรับบทเป็นหัวหน้ากลุ่มสำรวจทะเลมรกตที่มีสมาชิกเป็นพวกเด็กๆ จากในหมู่บ้านที่ไหนสักที่อย่างเธอหรอกนะ~”
เอริกะที่ได้ยินคำพูดบ่นของเรสเนอร์นั้นได้ยิ้มพูดตอบอีกฝ่ายกลับไปแบบไม่รู้สึกผิดอะไรเลยแม้แต่น้อยกับการที่เธอนำตัวคอนแนลที่เป็นทั้งเด็กนักเรียนและเป็นทั้งอัศวินของทางวังหลวงมาใช้งานแบบนี้ อีกทั้งเธอยังคงพูดถามขึ้นมาอีกครั้งเพื่อให้เรสเนอร์รีบตัดสินใจอีกด้วย
“สรุปแล้วเธอว่าไงล่ะ สนใจจะลองใช้เวลาว่างช่วยให้คำแนะนำกับเขาสักหน่อยดีมั้ยล่ะ”
“จะให้ฉันช่วยฉันก็ช่วยได้อยู่แหล่ะจ้ะ เพราะว่าการทำแบบนั้นมันคงไม่ได้นับเป็นการทำผิดคำสัญญาหรอก… ต่อให้ถ้าเขาได้รับคำแนะนำจากฉันไปมันจะทำให้เขามีโอกาสรอดชีวิตจากงานของเธอมากขึ้นบ้างก็เถอะนะ…”
“แหม่~ เธอนี่ก็พูดอย่างกับว่างานของฉันมันอันตรายซะขนาดนั้นแหล่ะ~”
เอริกะหัวเราะพูดตอบเรสเนอร์กลับไปด้วยน้ำเสียงชื่นบาน และนั่นก็ทำให้อลิซที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับคิ้วกระตุกก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาบ้างหลังจากที่เธอต้องยืนฟังหญิงสาวทั้งสองคนพูดคุยกันมานาน
“โอ้งั้นหรอ… ฉันเพิ่งจะรู้นะเนี่ยว่างานของเธอมันไม่อันตรายน่ะเอริกะ สงสัยว่าฉันคงจะดวงซวยไปเองซะมากกว่าล่ะมั้งถึงได้มีผ้าพันแผลเพิ่มทุกครั้งที่ออกไปทำงานให้เธอน่ะ..”
“พูดมากน่าอลิซ! จะว่าไปไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วฉันขอถามอะไรเธออีกสักหน่อยสิเรสเนอร์ ตอนก่อนที่พวกเธอจะออกมาจากแพนเทร่าเพื่อไปสำรวจข้างในทะเลมรกตนี่ที่นั่นมันมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นบ้างหรือเปล่าน่ะ?”
“คงจะหมายถึงเรื่องหมอกนั่นสินะจ๊ะ… ถ้าพูดถึงหมอกนั่นล่ะก็ ตอนแรกๆ มันก็โผล่มาแค่ช่วงเช้าๆ ก่อนจะหายไปน่ะ แต่ว่าตอนก่อนที่ฉันจะออกเดินทางมันเริ่มจะอยู่ยาวขึ้นจนถึงช่วงกลางวันแถมยังเริ่มจะหายใจลำบากก็เลยมีแต่คนบ่นกันไปทั่วเลยน่ะจ้ะ”
เรสเนอร์ที่ได้ยินคำถามของเอริกะนั้นได้ยิ้มพูดตอบเพื่อนสาวนักประดิษฐ์ของเธอกลับไปตามตรง และนั่นก็ทำให้เอริกะพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดถามขึ้นมาต่อ
“งั้นเองหรอ… งั้นถ้าเป็นเรื่องสุสานหลวงของทางเมืองแพนเทร่าล่ะ เธอได้ข่าวอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องข้างในนั้นมาบ้างหรือเปล่า?”
“สุสานหลวงหรอ…? ไม่นะจ๊ะ ตอนก่อนที่ฉันจะออกมามันไม่มีข่าวอะไรเกี่ยวกับที่นั่นเลยนะ”
“เห….”
คำพูดตอบกลับของเรสเนอร์นั้นได้ทำให้เอริกะส่งเสียงลากยาวออกมาด้วยความแปลกใจ เพราะดูเหมือนว่าเรื่องที่ว่ามีศพจำนวนมากหายไปจากสุสานหลวงที่ทีเอร่าคาบข่าวมาบอกเธอนั้นคงจะเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่นานจนเรสเนอร์ที่น่าจะเดินทางออกมาจากเมืองแพนเทร่าได้สักพักหนึ่งแล้วไม่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เอริกะหรือเรสเนอร์จะได้พูดอะไรออกมา ที่ด้านหลังของพวกเธอก็ได้มีเสียงใสๆ ของคาร์เทียร์ดังขึ้นมาให้พวกเธอได้ยินเสียก่อน
“หนูพาพวกพี่อัลเบิร์ตกลับขึ้นไปบนห้องเรียนให้แล้วนะคะพี่อลิซ อ่ะ— สวัสดีค่ะพี่เรสเนอร์ มาทำอะไรที่โรงเรียนหรอคะ?”
“สวัสดีจ้ะคาร์เทียร์จัง คือพอดีว่าพี่ว่างๆ แล้วได้ยินมาว่าคุณอลิซเขาจัดการต่อสู้สนุกๆ ทุกครั้งที่มีคาบเรียนก็เลยลองแอบเข้ามาดูน่ะจ้ะ… ว่าแต่เธอคิดยังไงกับอาการบาดเจ็บของคุณอลิซเขาบ้างล่ะจ้ะคาร์เทียร์จัง”
เรสเนอร์ที่ได้ยินคำทักทายจากคาร์เทียร์นั้นได้ยิ้มพูดตอบเด็กสาวกลับไปด้วยท่าทางใจดีก่อนที่เธอจะพูดสอบถามถึงอาการบาดเจ็บของอลิซอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอมาที่นี่ขึ้นมาจนทำให้อลิซต้องเดาะลิ้นด้วยความหงุดหงิด ในขณะที่ทางด้านคาร์เทียร์นั้นก็ได้ยื่นหน้าเข้าไปพูดตอบเรสเนอร์เบาๆ เพื่อระวังไม่ให้อลิซได้ยิน
“เอาจริงๆ พี่อลิซเขาก็ยังไม่ควรจะกลับมาทำงานหรอกค่ะ แต่ว่าพอคลาดสายตาไปแป๊บเดียวก็หายตัวกลับไปทำงานอีกรอบนึงแล้ว… คือถ้าดูจากที่พี่อารอนเคยสอนหนูเอาไว้นี่หนูว่าคนปกติที่บาดเจ็บขนาดนั้นน่าจะยังเดินไม่ไหวเลยซะด้วยซ้ำนะคะนั่น แต่พี่อลิซเขาดันเดินปรื๋อเลยแบบนี้หนูก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดีเหมือน—”
“เธอกลับไปเฝ้าห้องพยาบาลได้แล้วมั้งคาร์เทียร์! ถ้าเกิดอาจารย์คนอื่นมาเห็นเข้าเดี๋ยวเขาก็หาว่าฉันพาเธอโดดเรียนกันพอดี”
ถึงแม้ว่าคาร์เทียร์จะยื่นหน้าเข้าไปแอบกระซิบกระซาบกับเรสเนอร์แล้วก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่าเสียงของเธอจะไม่รอดพ้นไปจากหูของอลิซอยู่ดีเมื่อเด็กสาวผมสีขาวได้พูดขัดขึ้นมาทำให้คาร์เทียร์สะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะต้องรีบพูดตอบกลับไป
“อ่ะ— เข้าใจแล้วค่ะ! ถ้างั้นเดี๋ยวหนูขอตัวก่อนก็แล้วกันนะคะ พี่เอริกะ พี่เรสเนอร์”
“โอ้ เอาไว้ว่าวันไหนว่างๆ เดี๋ยวฉันจะแวะไปเยี่ยมเธอที่คลินิกก็แล้วกันนะ”
“ถ้างั้นก็โชคดีนะจ๊ะคาร์เทียร์จัง”
เอริกะและเรสเนอร์ต่างพากันพูดบอกลาคาร์เทียร์ที่โดนอลิซเอ่ยปากไล่ขึ้นมา ซึ่งเด็กสาวก็ได้พยักหน้าตอบพวกเขากลับไปก่อนที่เธอจะเดินหายเข้าห้องพยาบาลไป ในขณะที่เรสเนอร์ที่มองไล่หลังคาร์เทียร์ไปจนลับตานั้นก็ได้พยายามที่จะเอ่ยปากพูดถามเอริกะขึ้นมา
“นี่เอริกะจ๊ะ… ฉันว่าฉันจะถามมาหลายรอบแล้วว่าเด็กคนนั้นน่ะ—”
“เธอคิดมากไปเองแล้วน่า… แถมคาร์เทียร์เขาก็อยู่ในการปกครองของอารอนเขาด้วย เธอคงจะไม่อยากเข้าไปยุ่งในเรื่องอะไรแบบนั้นหรอกจริงมั้ย”
“อื้ม… งั้นหรอจ๊ะ…”
คำตอบที่ฟังดูเหมือนเป็นการตัดบทของเอริกะนั้นได้ทำให้เรสเนอร์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่หญิงสาวจะพูดตอบเพื่อนของเธอกลับไปเบาๆ ในขณะที่ทางด้านอลิซนั้นก็ได้ก้มลงไปหยิบกล่องกระดาษบรรจุของเล่นใหม่ของเธอขึ้นมาและเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ถ้างั้นฉันเองก็ขอตัวด้วยก็แล้วกัน ถ้าพวกเธอว่างแล้วอยากจะฝึกคอนแนลให้ก็ไปเจอกันที่ห้องชมรมของเนลเขาหลังจากช่วงพักกลางวันละกัน”
“อ่ะ—คุณอลิซยังอยู่ในช่วงเวลาสอนอยู่เลยนี่นะคะ ขอโทษที่รบกวนเวลานะคะคุณอลิซ”
“เรียกฉันว่าอลิซเฉยๆ ก็พอแล้ว…”
อลิซที่ได้ยินเรสเนอร์เรียกเธอนำหน้าด้วยคำสุภาพอีกครั้งหนึ่งนั้นได้ตัดสินใจที่จะพูดบอกอีกฝ่ายขึ้นมาก่อนที่เธอจะเดินจากไปในทันที และนั่นก็ทำให้เรสเนอร์ที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังกับเอริกะถึงกับทำตัวไม่ถูก
“นี่ฉันเผลอทำอะไรให้คุณอลิซเขาไม่พอใจหรือเปล่าคะเนี่ยเอริกะ?”
“อลิซคนนั้นน่ะนะ? ถ้าเขาไม่พอใจเธอเขาจะไม่ยอมพูดกับเธอซะด้วยซ้ำน่ะ เอาจริงๆ ที่เห็นแบบนี้ก็นับว่าเป็นมิตรมากแล้วนะ เธอลองเจอตอนที่อลิซเขาได้เจอกับคนที่ไม่ชอบหน้าอย่างไอ้เจ้าคุณเวก้าก่อนเถอะแล้วจะได้รู้ว่าถ้าอลิซเขาไม่พอใจจะเป็นยังไงน่ะ~”
ครืด—
“ยัยเปี๊ยก— อะแฮ่ม— อาจารย์อลิซกลับมาแล้วนั่น เพราะงั้นแกเลิกจ้องเพื่อนของฉันตาไม่กะพริบสักทีเหอะไอ้หน้าบาก!!”
ในทันทีที่อลิซเปิดประตูห้องพักครูและย่างเท้าเข้าไปภายในนั้นเอง สิ่งที่ดังขึ้นมาต้อนรับเธอก็คือน้ำเสียงชวนหาเรื่องของ อาจารย์เรย์ อาจารย์สาวผมสีขาวที่แต่งตัวไม่ค่อยจะเรียบร้อยที่ดังขึ้นมาบอกอัศวินหนุ่มเอเว่นที่กำลังแอบลอบมองไปทางอาจารย์เทียที่เขาหมายตาอยู่เป็นระยะๆ
ซึ่งคำพูดของอาจารย์เรย์นั้นก็ได้ทำให้เอเว่นสะดุ้งไปเล็กน้อยด้วยใบหน้าขึ้นสีก่อนที่เขาจะหันไปพูดสอบถามอลิซขึ้นมาแทนโดยพยายามทำเป็นไม่สนใจน้ำเสียงชวนหาเรื่องของอาจารย์เรย์ที่ยังคงพูดจากวนประสาทเขาอยู่ไม่เลิก
“อ–อาจารย์อลิซคุมการสอบเสร็จแล้วหรอครับ?”
“แค่เอาของมาเก็บก่อนเฉยๆ เดี๋ยวฉันยังต้องกลับไปที่ห้องสามอีกรอบนึง… นายจะตามไปด้วยเหมือนเดิมหรือเปล่า?”
“ก็คงจะต้องเป็นแบบนั้นแหล่ะครับ ก็มันเป็นหน้าที่ของผมนี่นา…”
“โอ้… จะไปแล้วงั้นหรอเจ้าหน้าบาก ถ้าเป็นไปได้ก็อย่ากลับมาล่ะ~”
อาจารย์เรย์ที่ได้ยินคำพูดของเอเว่นนั้นได้ไม่ได้ช้าที่จะพูดบอกลาเขาขึ้นมาในทันที ในขณะที่ทางด้านอลิซนั้นก็ได้วางกล่องของเล่นใหม่ลงไปบนโต๊ะทำงานของเธอและเดินนำเอเว่นออกไปจากห้องพักครูอย่างรวดเร็วก่อนที่เธอจะพูดบ่นขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเอเว่นรีบเดินตามเธอออกมาทันทีโดยไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรกับอาจารย์เทียเลยแม้แต่น้อย
“ไม่คิดจะคุยอะไรกับเทียเขาสักหน่อยเลยหรอไง…?”
“เอ๋ะ— เอ่อ… คือพอดีผมเห็นว่าอาจารย์เทียเขากำลังทำงานอยู่ก็เลยไม่กล้ารบกวนน่ะครับ…”
“แล้วได้ให้ตั๋วคาเฟ่ใบนั้นกับเทียหรือไปยัง ถ้ายังก็รอก่อนสักหน่อยน่าจะดีกว่านะ เพราะฉันได้ยินมาว่าตึกใกล้ๆ กับร้านนั้นเพิ่งจะโดนไฟไหม้จนวอดไปน่ะ เพราะงั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะปิดร้านไปก่อนเพื่อความปลอดภัยหรือเปล่าน่ะ”
“อ๋อ เรื่องนั้นผมก็ได้ยินมาเหมือนกันนะครับ… แต่ว่าบัตรนั่นผมแอบเอาให้อาจารย์เทียไปตอนที่อาจารย์เรย์เขาไม่เห็นแล้วไปน่ะครับ แต่ว่ายังไม่ได้นัดวันกัน… เพราะว่าอาจารย์เรย์เขาเกาะติดอาจารย์เทียไม่ปล่อยจนผมแทบจะหาเวลาคุยกับอาจารย์เทียไม่ได้เลย…”
เอเว่นหัวเราะแห้งๆ พูดตอบอลิซกลับไปพลางยกมือขึ้นมาลูบหัวของตัวเองเหมือนกับว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ดี และนั่นก็ทำให้อลิซที่เดินนำมาจนถึงหน้าห้องเรียนที่สามแล้วได้แต่พูดบ่นกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ
“ถ้าให้ไปแล้วแต่ยังไม่ได้กำหนดวันมันก็แล้วไป เอาเป็นว่าก่อนจะนัดเทียออกไปก็ตรวจดูให้ดีๆ ก่อนก็แล้วกันว่าร้านมันเปิดหรือเปล่าน่ะ… ส่วนตอนนี้นายรออยู่ข้างนอกนี่ก่อนก็ได้ ยังไงซะฉันก็ไม่คิดจะกระโดดออกไปทางหน้าต่างอยู่แล้วน่า…”
“อ่ะ–ได้สิครับ”
เอเว่นที่ยังไม่รู้ว่าอลิซเคยกระโดดออกไปจากตึกเรียนทางห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการที่อยู่ที่บนชั้นห้านั้นได้พยักหน้ารับคำขอของอลิซกลับไปแต่โดยดีและเดินไปยืนรออยู่ตรงริมระเบียงทางเดินเพื่อชมวิวทิวทัศน์ของสนามหญ้าของโรงเรียนเพื่อเป็นการฆ่าเวลา
และนั่นก็ทำให้เขาได้พบเข้ากับหญิงสาวผมชมพูที่ดูเหมือนว่าจะกำลังเดินคุยกับคุณเอริกะคนดังที่กำลังเดินตรงไปทางโรงอาหารเข้า
ซึ่งภาพของหญิงสาวผมสีชมพูในชุดเกราะสีขาวที่มีลวดลายสีทองตามขอบตามมุมและคลุมทับเอาไว้ด้วยผ้าคลุมสีแดงนั้นก็ได้ทำให้เอเว่นที่เป็นหนึ่งในอัศวินระดับสูงของทางวังหลวงชะงักไปด้วยความตกใจก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“เดี๋ยวนะ— ชุดแบบนั้นมัน… ทำไมคนคนนั้นถึงได้—”
“ก็เขาติดอยู่ในเมืองนี้ตามคำสั่งของทางวังหลวงสุดที่รักของนายก็เลยหาโอกาสมาเยี่ยมเอริกะที่เป็นคนรู้จักเก่าไง…”
“เหวอ— ทำไมกลับออกมาเร็วจังล่ะครับอาจารย์อลิซ!?”
เสียงของอลิซที่ดังขึ้นมาในระยะประชิดนั้นได้ทำให้เอเว่นสะดุ้งไปด้วยความตกใจและรีบพูดถามขึ้นมาจนทำให้อลิซต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนจะพูดตอบกลับไป
“เมื่อกี้ฉันไม่ได้บอกเอาไว้หรอว่าจะเข้าไปแค่แป๊บเดียวเพราะว่ามันเป็นคาบของอาจารย์อายะเขาแล้วน่ะ?”
“ก็ไม่ได้บอกน่ะสิครับ! ว่าแต่อาจารย์อลิซรู้จักคุณเรสเนอร์เขาด้วยหรอครับนั่น ทำไมเขาถึงกลับมาใส่ชุดอัศวินอีกแล้วล่ะครับ!?”
“นายเองก็รู้จักเรสเนอร์เขางั้นหรอ? ท่าทางที่เอริกะบอกว่าเรสเนอร์เขามีชื่อเสียงในหมู่อัศวินนี่คงจะเป็นเรื่องจริงสินะเนี่ย…”
“ถ้าเป็นอัศวินล่ะก็ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักคุณเรสเนอร์เขาหรอกนะครับ! ถึงคุณเรสเนอร์เขาจะหายตัวไปได้สักพักใหญ่จนมีข่าวว่าเกษียณตัวเองไปก่อนแล้วก็เถอะ แต่ว่าเขาก็เคยเป็นถึงหนึ่งในหัวหน้าของ หน่วยอัศวินฟาวน์เดชั่น เลยนะครับ!”
เอเว่นที่ได้ยินอลิซพูดเหมือนกับไม่รู้ว่าเรสเนอร์เป็นคนดังนั้นได้พูดตอบกลับไปด้วยความตื่นเต้นที่มีโอกาสได้เห็นหนึ่งในตำนานที่ยังคงมีชีวิตอยู่กับตัวแบบนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นในระยะไกลๆ ก็ตามที
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านอลิซก็กลับเลิกคิ้วด้วยความสงสัยราวกับว่าเธอไม่รู้จักหน่วยอัศวินชื่อดังที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาซะด้วยซ้ำ
“ ‘หน่วยอัศวินฟาวน์เดชั่น’ งั้นหรอ…?”
“ครับ ถึงเรื่องงานต่างๆ ที่หน่วยนั้นทำจะถูกปิดเอาไว้เป็นความลับก็เถอะ แต่เขาว่ากันว่าหน่วยอัศวินฟาวน์เดชั่นเป็นหน่วยอัศวินชั้นยอดที่ไม่ขึ้นตรงกับเมืองไหนๆ และมีหน้าที่คอยคุ้มกันเชื้อพระวงศ์ของเมืองต่างๆ แล้วก็คอยเป็นผู้สังเกตการณ์กับคุ้มกันเวลามีงานประชุมเสาหลักของเมืองต่างๆ จนทำให้มันได้ชื่อว่าเป็นงานประชุมที่โปร่งใสและเป็นกลางที่สุดน่ะครับ”
“เห… ก็ถ้าเกิดว่าต้องเข้าไปยุ่งกับเจ้าพวกนั้นบ่อยๆ การที่เรสเนอร์เขาจะเบื่อจนขอถอนตัวออกมามันก็คงไม่แปลกล่ะมั้ง”
“เอ่อ… ไม่น่าจะใช่แบบนั้นนะครับ… เพราะว่าการประชุมเสาหลักครั้งล่าสุดที่จัดขึ้นมามันก็เกือบจะเป็นสิบกว่าปีราวๆ ตอนที่เมืองซายูกิถูกแบ่งออกเป็นสองเมืองพอดี… แล้วพอไม่ได้จัดงานประชุมนานๆ เข้าชื่อเสียงของหน่วยฟาวน์เดชั่นก็เริ่มเลือนหายไปจนเหลือแต่พวกอัศวินอย่างพวกผมนี่แหล่ะครับที่ยังพอจะจำกันได้อยู่น่ะ”
เอเว่นพูดตอบอลิซกลับไปตามความเป็นจริง แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านอลิซที่ได้ยินว่าหน่วยอัศวินที่เรสเนอร์เคยสังกัดอยู่นั้นเหมือนจะต้องทำงานใกล้ชิดกับพวกเชื้อพระวงศ์ของเมืองต่างๆ ก็กลับยักไหล่กลับมาให้เขาและเอ่ยปากพูดตอบกลับไปแบบไม่แยแสอยู่ดี
“แต่มันก็แปลว่าที่ผ่านมาหน่วยของเรสเนอร์เขาก็ทำงานไม่ได้ต่างไปจากแขนขาของพวกเชื้อพระวงศ์เมืองต่างๆ อยู่ดีไม่ใช่หรอไง ฉันขอเดาว่าถ้าเกิดการประชุมที่ว่านั่นประกาศว่ามีใครที่ ‘เป็นอันตราย’ ขึ้นมา ต่อให้พวกเขาจะดูเหมือนว่าเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ พวกเรสเนอร์ก็ต้องออกไปจัดการให้ล่ะสิท่า?”
“ก็ถ้าเกิดว่าผลการประชุมเป็นแบบนั้นจริงๆ พวกเขาก็คงจะต้องทำนั่นแหล่ะครับ แต่ผมเชื่อว่าถ้าเกิดการประชุมของทั้งสี่เมืองมีผลสรุปออกมาแบบนั้นก็มันก็แปลว่าคนที่ถูกกล่าวหาจะต้องเป็นอันตรายต่อคนส่วนใหญ่จริงๆ นั่นแหล่ะครับ เพราะว่าการประชุมเสาหลักที่ว่ามันมีไว้เพื่อความปลอดภัยและผลประโยชน์ของประชาชนของทั้งสี่เมืองนี่ครับ”
“เพื่อผลประโบชน์ของประชาชนงั้นหรอ… ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ดีสิ…”
อลิซยักไหล่พูดตอบอัศวินหนุ่มที่ยึดมั่นในกฎระเบียบของทางวังหลวงกลับไปด้วยความเหนื่อยหน่ายใจก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดบอกเขาขึ้นมา
“แต่ก็เอาเถอะ เดี๋ยวฉันขอกลับไปที่ห้องพักครู่ก่อนก็แล้วกัน… แต่เทียเขาน่าจะไปเตรียมสอนคาบถัดไปแล้วนะ นายจะยังตามไปด้วยหรือเปล่าล่ะ”
“ก–ก็ต้องตามไปด้วยอยู่แล้วสิครับ! หน้าที่ผมคือคอยจับตาดูอาจารย์อลิซนะครับไม่ใช่จับตาดูอาจารย์เทียเขาสักหน่อย!”
คำตอบของเอเว่นนั้นได้ทำให้อลิซถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายอีกครั้งก่อนที่เธอจะเดินนำเขากลับไปทางห้องพักครู่ที่อยู่ในบริเวณใกล้กับบันไดทางขึ้นลงอาคาร
แต่แล้วก่อนที่อลิซจะได้เลื่อนเปิดประตูห้องพักครูนั้นเอง อยู่ๆ เธอก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองหน้าของอัศวินหนุ่มเอเว่นเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“เออ… แต่ฉันมีเรื่องอะไรอยากจะบอกให้นายเก็บเอาไปคิดสักหน่อยนึง ในฐานะที่อย่างน้อยนายก็ยังพอดูจะมีหัวคิดอยู่บ้างน่ะนะ…”
“เอ๋? บอกผมหรอครับ?”
“อื้ม… ถ้านายได้ฟังแล้วจะเก็บเอาไปคิดหรือเปล่ามันก็เป็นเรื่องของนายเลย แต่นายลองคิดดูก็แล้วกันว่าถ้าเกิดว่ามันมีคำสั่งให้หน่วยอัศวินทั้งหน่วยออกไปจัดการชาวบ้านธรรมดาๆ แบบที่ฉันยกตัวอย่างขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ ก่อนที่นายจะได้ลงมือทำอะไรลงไป นายลองคิดให้ดีๆ ก่อนก็แล้วกันว่ามันเป็นคำสั่งเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมหรือว่าของใครกันแน่น่ะ…”