บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ – ตอนที่ 172 Recalcitrant Employee

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

“ก็… ปอดหรือไม่ก็หัวใจหยุดทำงานฉับพลัน เพราะถ้าเกิดว่าเป็นหนึ่งในสองอย่างนี้ขึ้นมาล่ะก็ส่วนมากจะไม่มีเวลาพอให้ยื้อชีวิตเอาไว้เพื่อทำการรักษาซะด้วยซ้ำน่ะสิ”

 

“เอ๋…….”

 

คำพูดที่เอริกะพูดออกมาด้วยสีหน้ายิ้มๆ นั้นได้ทำให้โมโกะที่เคยไปถึงอาการโอเวอร์ฮีตขั้นที่สามมาแล้วหลายรอบด้วยกันนิ่งค้างไปเหมือนกับว่าสมองของเธอประมวลผลตามคำพูดของเอริกะไม่ทันในขณะที่ทางด้านนากานั้นแทบจะเผลอทำอีฟที่เขาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขนหลุดมือและพูดถามเอริกะขึ้นมาด้วยความตกใจ

 

“ด–เดี๋ยวสิ!? ถ้างั้นมันก็หมายความว่าโมโกะเขาเสี่ยงตายมาตั้งหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรอ!? ถ้าเธอรู้อย่างงั้นทำไมถึงไม่ห้ามหรือว่าไม่พูดอะไรเลยเล่า!?”

 

“แหม่ ที่จริงแล้วมันก็ไม่ถึงขั้นที่จะเรียกได้ว่าเสี่ยงตายสักหน่อยนึงนะนากาคุง~ เพราะว่าอาการพวกนั้นน่ะถ้าเกิดว่าไม่ได้ฝืนใช้วิซจนเกินตัวจริงๆ มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาได้ง่ายๆ หรอก ที่ฉันพูดให้พวกเธอฟังนี่ก็คือแค่อยากจะให้พวกเธอระวังตัวกันมากขึ้นสักนิดก็แค่นั้นเอง”

 

“แต่ไม่ใช่ว่าฉันเองก็ใช้วิซจนล้มพับไปแบบนั้นตั้งหลายรอบแล้วหรอกหรอ?”

 

คำอธิบายของเอริกะในคราวนี้ได้ทำให้โมโกะต้องเลิกคิ้วพูดถามกลับไปด้วยความสับสนและนั่นก็ทำให้เอริกะต้องพูดอธิบายขึ้นมาเพิ่มเติม

 

“จากรายงานของนากาคุงแล้วก็ไดเอน่าจังนี่ต้องเรียกว่ามีแค่รอบเดียวที่หมู่บ้านของเด็กคนที่ชื่อว่ารีซาน่าที่เธอใช้วิซจนเกินตัวไปจริงๆ ต่างหากล่ะจ๊ะ ซึ่งตรงนี้เนี่ยมีอาเขายืนยันกับฉันแล้วว่าไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วง เพราะงั้นพวกเธอไม่ต้องเครียดไปหรอกนะ”

 

“งั้นหรอ เฮ้อ…”

 

คำพูดของเอริกะในคราวนี้ได้ทำให้นากาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกในขณะที่ทางด้านโมโกะเองก็มีท่าทีที่ดูโล่งใจขึ้นมามากก่อนที่ทางด้านเอริกะจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ

 

“แต่ถ้าจะให้พูดไปก็เถอะนะ ที่ฉันให้เธอยืมยูนิตเชสเชียร์ของอลิซไปเนี่ย ฉันไม่ได้กะจะให้เธอใช้เอาไปสู้กับอะไรสักหน่อยนะ ฉันแค่เห็นว่าเธอยังเดินเหินไม่ค่อยจะคล่องสักเท่าไหร่แถมยังบาดเจ็บอยู่ก็เลยให้ยืมยูนิตไปใช้ช่วยพยุงตัวเท่านั้นเอง… แต่ที่ไหนได้ดันเอาไปใช้ต่อสู้แถมยังฝืนตัวเองจนผ่านจุดที่จะทำให้เป็นลมไปได้เฉยเลย นี่ยังดีนะที่ว่าการต่อสู้จบลงไปพอดีจนทำให้เธอไม่ต้องใช้วิซต่อน่ะ…”

 

เอริกะพูดบ่นออกมาเล็กน้อยพลางส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจให้กับพวกเด็กๆ สมัยนี้ก่อนที่เธอจะกวักมือเรียกนากาให้เดินเข้้าไปใกล้ๆ และยื่นมือออกไปยีเส้นผมสีขาวสะอาดของอีฟที่อยู่ในอ้อมแขนของนากาพร้อมกับเอ่ยปากพูดออกมาต่อ

 

“แต่ว่าในเมื่อเรื่องมันผ่านไปแล้วมันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ตอนนี้กลับมาเข้าเรื่องเดิมกันก่อนดีกว่า มันก็อย่างที่ฉันบอกไปนั่นแหล่ะว่าจนกว่าเจ้าหนูอีฟนี่จะรู้เรื่องรู้ความมากกว่านี้ก็พยายามอย่าให้เธอใช้วิซน่าจะดีกว่านะ เพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาผลของมันจะเป็นยังไงน่ะ”

 

“แต่ไม่ใช่ว่าอีฟเขาก็เหมือนจะใช้วิซได้แบบไม่มีปัญหาอะไรไม่ใช่หรอ เห็นเธอบอกว่าถึงขั้นทำตัวเก็บพลังงานอะไรของเธอระเบิดได้เลยนี่”

 

“เฮ้อ… ก็นั่นแหล่ะที่มันเป็นปัญหาน่ะ เพราะว่าขนาดตอนที่โมโกะเขาอัดวิซเข้าใส่ตลับกระสุนเพื่อใช้มันเป็นระเบิดมือก็ยังเหนื่อยจนแทบจะล้มพับไปเลยใช่มั้ยล่ะ แล้วนี่เจ้าหนูอีฟดันทำให้ตัวเก็บพลังงานของฉันระเบิดได้ภายในเวลาไม่กี่วินาทีทั้งๆ ที่มันมีความจุมากกว่าตลับกระสุนไม่รู้ตั้งกี่สิบกี่ร้อยเท่าโดยที่ไม่มีอาการเหนื่อยเลยซะงั้นล่ะ”

 

“เอ… แบบนั้นมันก็ควรจะนับว่าเป็นเรื่องดีแล้วไม่ใช่หรอ?”

 

คำพูดของเอริกะในครั้งนี้ได้ทำให้นากาต้องพูดถามกลับไปด้วยความสงสัย เพราะว่าถ้ามันเป็นไปตามที่เอริกะพูดล่ะก็ มันก็คงจะหมายความว่าอีฟมีพลังวิซจำนวนมากขนาดที่ไม่มีใครคาดถึงอย่างแน่นอนและมันก็คงจะนับเป็นเรื่องดีในโลกที่จำเป็นจะต้องอาศัยวิซในการใช้ชีวิตประจำวันแบบนี้

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริกะก็กลับส่ายหน้าไปมาแล้วจึงพูดชี้แจงถึงสาเหตุที่เธอไม่อยากจะให้อีฟใช้วิซในช่วงนี้ออกมา

 

“มันนับว่าเป็นปัญหาต่างหากล่ะ การที่อีฟเขาสามารถทำให้ตัวเก็บพลังงานของฉันมันระเบิดออกมาได้ภายในเวลาไม่กี่วินาทีเนี่ยมันหมายความว่าเธอปล่อยวิซจำนวนมหาศาลออกมาใส่มันในรวดเดียวใช่มั้ยล่ะ แล้วลองนึกสภาพดูสิว่าถ้าเกิดว่าเจ้าหนูนี่เผลอปล่อยวิซขนาดหลายสิบหรืออาจจะหลายร้อยเท่าของโมโกะออกมาในตอนที่วิซในร่างกายเหลือน้อยโดยที่ไม่รู้ตัวมันจะทำให้ร่างกายต้องรับภาระหนักหน่วงขนาดไหนน่ะ”

 

“เพราะขนาดแค่ตอนที่โมโกะระเบิดตลับกระสุนมันก็กินแรงจนแทบจะสลบไปอยู่แล้วงั้นสินะ…”

 

“ไม่ต้องแวะมากัดฉันก็ได้ย่ะ…”

 

คำพูดพึมพำของนากาได้ทำให้โมโกะต้องหันไปพูดต่อว่าเขาขึ้นมา และนั่นก็ทำให้เอริกะที่เห็นว่าโมโกะจะยังดูเหมือนไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เธอเคยทำลงไปมันอันตรายขนาดไหนต้องพูดเตือนขึ้นมาตรงๆ

 

“แต่ถ้าจะให้ฉันพูดตรงๆ แล้วล่ะก็เธอเองก็ต้องระวังเรื่องการใช้วิซของตัวเองหลังจากนี้เหมือนกันนะโมโกะ เพราะถึงคนเขาจะบอกกันว่าการฝืนใช้วิซมันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการใช้วิซได้มากกว่าเดิมก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะต้องฝืนใช้จนถึงขั้นสลบไปแบบนั้นหรอกนะ”

 

“ก็รู้อยู่แล้วแหล่ะน่า…”

 

โมโกะที่ถูกพูดเตือนขึ้นมาได้พูดตอบกลับไปเบาๆ และนั่นก็ทำให้เอริกะพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจึงพูดสรุปเข้าเรื่องขึ้นมา

 

“ถ้างั้นสรุปก็คือว่าในระหว่างนี้เนี่ยพวกเธออย่าเพิ่งให้หนูอีฟเขาใช้วิซออกมาเลยจะดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็จนกว่าจะสื่อสารกันได้รู้เรื่องกว่านี้จนสามารถสอนให้รู้เรื่องข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้วิซได้น่ะ ซึ่งเรื่องนี้ก็คงจะต้องเป็นหน้าที่ของพวกเธอทั้งสองคนที่จะต้องคอยสอนเรื่องต่างๆ ให้หนูอีฟเขาล่ะนะ”

 

“พวกฉันหรอ?”

 

“อื้ม เพราะว่าเธอเป็นคนบอกเองนี่ว่าจะคอยดูแลหนูอีฟเขาเองจนกว่าจะหาครอบครัวของเขาเจอใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นถ้าฉันจะให้เธอเป็นคนสอนเรื่องต่างๆ ให้หนูอีฟเขาก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วใช่มั้ยล่ะ”

 

“………?”

 

เสียงของเอริกะที่พูดชื่อของอีฟขึ้นมาหลายครั้งนั้นได้ทำให้เด็กสาวผมสีขาวผู้เป็นเจ้าของชื่อที่นั่งอยู่บนอ้อมแขนของนากาเอียงคอและยื่นมือไปหาเอริกะด้วยท่าทีเหมือนกับว่ากำลังสงสัยว่าอีกฝ่ายพูดชื่อของเธอขึ้นมาทำไม

 

และนั่นก็ทำให้เอริกะหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับยื่นมือของเธอไปดึงแก้มนุ่มนิ่มของเด็กสาวเล่นอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอปล่อยมือออกและหันไปมองนากาด้วยท่าทีจริงจังพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“ที่จริงแล้วสาเหตุที่ฉันบอกว่ามันเป็นเพราะเพื่อความปลอดภัยของเจ้าหนูอีฟเองนี่มันเป็นสาเหตุรองซะด้วยซ้ำนะ… ที่ฉันกลัวจริงๆ น่ะคือการที่หนูอีฟเขาอาจจะเผลอใช้วิซจำนวนมากออกมาให้คนอื่นเห็นจนไปต้องตาคนของทางวังหลวงเข้าจนมันเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมาต่างหากล่ะ”

 

“หืม? ทำไมล่ะ? ทางวังหลวงเขาน่าจะมีคนที่ใช้วิซเก่งๆ อยู่ตั้งเยอะตั้งแยะอยู่แล้วไม่ใช่หรอ เขาไม่น่าจะมายุ่งกับเด็กคนนึงหรอกมั้ง?”

 

“ต้องบอกว่าทางวังหลวงจะเข้ามายุ่งแน่ๆ ต่างหากล่ะ ลองคิดดูสิว่าขนาดแค่เป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางด้านวิซเขาก็ยังพยายามดึงตัวไปกันขนาดนั้น แล้วนี่เป็นหนูอีฟที่สามารถใช้วิซมากกว่าคนทั่วๆ ไปอย่างโมโกะจังตั้งสิบเท่าร้อยเท่าโดยไม่แม้แต่จะรู้สึกเหนื่อย แถมเวลาที่ไม่ได้ใช้วิซก็ยังสามารถเก็บซ่อนวิซเอาไว้ในร่างกายจนตรวจจับไม่ได้เลยแบบนี้ตั้งแต่ยังเด็กจะมีค่าขนาดไหนกันใช่มั้ยล่ะ”

 

“แต่ว่ามันก็—”

 

“เชื่อฉันเถอะว่าทำอย่างงั้นแล้วมันจะปลอดภัยกับเจ้าหนูอีฟเขามากกว่าน่ะ เธอยังจำพวกเอกสารที่ฉันเจอในคฤหาสน์เมื่อตอนนั้นกับเรื่องของคาร์เทียร์จังเขาได้ใช่มั้ยล่ะ”

 

คำพูดของเอริกะในคราวนี้นั้นได้ทำให้นากาชะงักไปเนื่องจากว่าเขายังคงจำเอกสารที่เกี่ยวกับการทดลองของทางวังหลวงที่ถูกดำเนินงานโดยขุนนางหนุ่มเวก้าหรือที่ในตอนนี้กำลังใช้ชื่อว่าเดดารัสได้อยู่ และนั่นก็เป็นโอกาสให้เอริกะได้ใช้จังหวะนี้ในการพูดตัดจบเรื่องนี้ขึ้นมาในทันที

 

“ถ้าเป็นไปได้เดี๋ยวฉันจะลองหาวันที่ว่างๆ แล้วขนอุปกรณ์ต่างๆ ไปตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับวิซให้เจ้าหนูอีฟอย่างละเอียดๆ ที่คฤหาสน์ให้พวกเธอก็แล้วกันนะ”

 

ก๊อก ก๊อก

 

“คุณเอริกะอยู่หรือเปล่าครับ? ผมเห็นหน้าต่างพังยับอีกแล้วนี่เผลอทำอะไรระเบิดอีกแล้วหรอครับ?”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังพยายามปิดเรื่องเกี่ยวกับหนูอีฟอยู่นั้นเองอยู่ๆ ก็ได้มีเสียงเคาะประตูห้องทำงานของเธอดังขึ้นมาและตามมาด้วยเสียงพูดสอบถามของคอนแนล และนั่นก็ทำให้เอริกะรีบใช้จังหวะนี้ในการเปลี่ยนเรื่องในทันที

 

“อ่ะ— เข้ามาได้เลยจ้ะคอนแนลคุง~”

 

“ขออนุญาตนะครับ เอ่อ… นี่เผลอทำอะไรระเบิดขึ้นมาจริงๆ อีกแล้วหรอครับนั่น— แล้วไหงนากากับโมโกะมาอยู่ที่นี่ด้วยล่ะครับ? ไหนบอกว่าวันนี้จะพักผ่อนอยู่ที่บ้านเฉยๆ ไม่ใช่หรอครับ?”

 

“ก็เอริกะเขาเผลอก่อเรื่องขึ้นมาฉันก็เลยต้องรีบมารับอีฟกลับไปน่ะ แล้วจะให้ฉันปล่อยโมโกะอยู่ที่บ้านคนเดียวมันก็ไม่ได้อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ”

 

นากาที่ได้ยินคำถามของคอนแนลได้ยักไหล่พูดตอบเพื่อนของตนกลับไปแบบไม่ได้คิดจะอธิบายอะไรมากในขณะที่ทางด้านโมโกะเองก็ได้สอบถามถึงเรื่องของทางโรงเรียนขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน

 

“วันนี้ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้างน่ะคอนแนล?”

 

“ก็เหมือนเดิมนั่นแหล่ะครับ ติดแค่ว่าวันนี้ผมกับซิลเวสโดนอาจารย์อลิซเรียกตัวไปเก็บข้อมูลการใช้ยูนิตแทบจะทั้งวันเลย นี่ครับคุณเอริกะ ผลการทดสอบที่อาจารย์อลิซฝากมาให้น่ะครับ”

 

“อ้าว? แล้วอลิซเขาไปไหนซะล่ะ ทำไมเขาไม่เอามาให้ฉันเองล่ะ?”

 

“เอ่อ… เห็นอาจารย์เทียบอกว่าพออาจารย์อลิซทำเอกสารจนเสร็จแล้วก็บอกว่าให้เอาเอกสารมาให้ผมแล้วก็หลับไปแล้วน่ะครับ”

 

“นี่ยัยนั่นนอนที่โรงเรียนอีกแล้วหรอ? ฉันว่าฉันสั่งให้ยัยนั่นลางานสักวันสองวันเพื่อพักผ่อนแล้วแท้ๆ นะ”

 

เอริกะที่ได้รับคำตอบกลับไปจากคอนแนลนั้นถึงกับต้องยกมือขึ้นมากุมขมับตนเองและพูดบ่นออกมา ในขณะที่ทางด้านคอนแนลเองก็ได้พูดอธิบายออกมาให้เธอฟัง

 

“เห็นอาจารย์อลิซเขาบอกว่าจะไม่ลางานเพราะว่าไม่อยากจะทำตัวเหมือนอาจารย์เรย์ที่มัวแต่เที่ยวจนกลับมาทำงานช้ากว่าคนอื่นน่ะครับ… ว่าแต่แล้วสรุปว่าคราวนี้คุณเอริกะเผลอทำอะไรระเบิดเข้าล่ะครับ?”

 

“หว๋าย รอบนี้ไม่ใช่ฝีมือของฉันสักหน่อยนะ เป็นฝีมือของเจ้าหนูกินจุตรงนั้นต่างหากล่ะ”

 

ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ!

 

แต่แล้วในขณะที่เอริกะกำลังพูดตอบคอนแนลกลับไปอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงของเครื่องมือสื่อสารประจำตัวของเอริกะดังขึ้นมาแว่วๆ จนทำให้เอริกะได้แต่เกาหัวเพราะไม่รู้ว่ามันโดนแรงระเบิดจนปลิวออกจากที่วางประจำไปอยู่ตรงไหนแล้วเหมือนกัน

 

“ได้ยินแต่เสียงแล้วมันไปอยู่ตรงไหนกันล่ะเนี่ย… อ่ะ—นี่ไง ฮัลโหล่ๆ นี่ใครเอ่ย?”

 

“หนูทีเอร่าเองค่ะ มีเรื่องด่วนค่ะพี่เอริกะ!”

 

ในทันทีที่สิ้นเสียงของเอริกะไปนั้นเองก็ได้มีเสียงของเด็กสาวหูแมวที่มักจะสวมใส่ชุดเหมือนกับพวกแม่ชีอยู่เสมอดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนจนทำให้เอริกะต้องเลิกคิ้วแปลกใจก่อนที่เธอจะพูดถามกลับไป

 

“เกิดอะไรขึ้นที่นั่นน่ะทีเอร่า?”

 

“คือมีข่าวมาว่าเหมือนจะมีคนแอบบุกเข้าไปด้านในเขตสุสานใต้ดินแล้วก็จัดการพวกทหารยามของทางเมืองที่เฝ้าทางเข้าอยู่ซะจนเรียบเลยน่ะค่ะ”

 

“……..”

 

เอริกะที่ได้ยินรายงานของเอริกะนั้นได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเหลือบตามองไปทางพวกเด็กๆ ในสังกัดกลุ่มดอว์นทั้งสามคนและตัดสินใจที่วางเครื่องมือสื่อสารลงบนโต๊ะทำงานของเธอและจิ้มมันไปสองสามทีแล้วจึงเอ่ยปากพูดถามทีเอร่าที่อยู่ปลายสายกลับไป

 

“แล้วตอนนี้สถานการณ์ที่นั่นเป็นยังไงบ้างล่ะ พวกทหารยามได้รับบาดเจ็บกันหนักหรือเปล่า?”

 

“พวกพี่ๆ ทหารเขาส่งกำลังเสริมไปสนับสนุนเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ แต่ว่าจากที่หนูแอบไปดูอาการของคนเจ็บมาแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกพี่ๆ เขาจะรอดหรือเปล่าน่ะค่ะ”

 

เสียงพูดตอบของทีเอร่าในคราวนี้นั้นได้ส่งเสียงออกมาจากเครื่องมือสื่อสารของเอริกะดังขึ้นมากแตกต่างจากในทีแรกที่ถ้าอยู่ห่างออกมาก็แทบจะไม่ได้ยินอะไรเลยบ่งบอกว่าที่เอริกะจิ้มมันไปสองสามทีนั้นก็เพื่อให้พวกเด็กๆ ในกลุ่มดอว์นได้ยินบทสนทนาด้วยนั่นเอง

 

แปะๆ

 

แต่ทว่าในขณะที่ทุกๆ คนกำลังให้ความสนใจกับบทสนทนาของเอริกะกับทีเอร่าอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีมือเล็กๆ ของอีฟที่กระโดดลงไปจากอ้อมแขนของนากาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ยื่นปัดป่ายไปบนโต๊ะทำงานของเอริกะราวกับว่าเธอกำลังพยายามจะหยิบเอาเครื่องมือสื่อสารที่ส่งเสียงออกมามาดูใกล้ๆ ด้วยความสนใจ

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนที่เธอจะชี้นิ้วไปทางอีฟและสะบัดมือเป็นเชิงบ่งบอกว่าให้นากาพาอีฟออกไปเล่นข้างนอกก่อนนั่นเอง และนั่นก็ทำให้คอนแนลที่เห็นแบบนั้นได้เสนอตัวพาอีฟออกไปข้างนอกให้แทนนากาที่ดูแล้วเหมือนจะมีท่าทีสนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในแพนเทร่ามากอยู่แทน

 

“เดี๋ยวผมพาอีฟออกไปให้เองครับ นากาอยู่ฟังต่อได้เลย”

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอตัวไปเล่นกับอีฟเขาข้างนอกด้วยก็แล้วกัน”

 

คำพูดอาสาของคอนเนลนั้นได้ทำให้โมโกะที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องที่เกิดขึ้นที่ต่างเมืองสักเท่าไหร่ขอปลีกตัวออกไปจากห้องทำงานของเอริกะด้วยเช่นเดียวกันในขณะที่ทางด้านเอริกะที่เห็นว่าตัวป่วนตัวน้อยถูกพาออกไปจากห้องแล้วก็ได้เอ่ยปากพูดถามทีเอร่าที่อยู่ปลายสายขึ้นมา

 

“แต่ว่าเล่นบุกฝ่าทหารยามที่เฝ้าทางลงสุสานใต้ดินไปได้ง่ายๆ แบบนั้นเลยงั้นหรอ… ไหนเธอลองอธิบายสภาพบาดแผลของพวกทหารยามให้ฉันฟังหน่อยสิทีเอร่า”

 

“สภาพบาดแผลหรอคะ… หนูดูแล้วเหมือนว่าจะเป็นรอยแผลคล้ายไฟไหม้ที่อกข้างซ้ายขนาดพอประมาณที่ดูเหมือนจะกระจายเป็นวงใหญ่จากจุดที่กระทบใส่น่ะค่ะ”

 

“แผลไหม้งั้นหรอ… เธอพอจะจำได้หรือเปล่าว่าเป็นแผลไหม้ลักษณะไหนน่ะ เป็นแบบวงกลมเหมือนกับโดนลูกไฟหรือว่าเป็นแบบเส้นคดเคี้ยวไปมาเหมือนกับรากไม้หรือเปล่า”

 

“เอ… หนูคิดว่าน่าจะเป็นแผลไหม้กลมธรรมดาๆ นะคะ แต่เห็นพวกพี่รัซเซลเขาบอกว่ามันไม่ใช่รอยแผลไหม้เกรียมเหมือนกับเวลาที่โดนวิซที่ถูกเปลี่ยนเป็นลูกไฟยิงใส่สักเท่าไหร่ เพราะงั้นน่าจะเป็นกระสุนพลังงานวิซแบบที่เวลากระทบถูกอะไรแล้วจะแตกกระจายสร้างความเสียหายเป็นวงใหญ่ๆ ซะมากกว่าน่ะค่ะ”

 

ทีเอร่าพูดตอบเอริกะกลับมาอย่างว่าง่ายและพูดบอกข้อมูลที่เธอรู้มาจากเหล่าทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงอย่างพวกพี่ๆ รัซเซลของเธอด้วย และนั่นก็ทำให้เอริกะพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาเบาๆ

 

“หรือถ้าไม่งั้นก็อาจจะเป็นอาวุธอะไรอย่างอื่นที่ยุ่งยากมากกว่านั้นสินะ… นากาคุงหยิบเอกสารตรงนั้นมาให้ฉันหน่อยสิ”

 

“เอ๋ะ? ได้สิ จะเอาอันไหนล่ะ”

 

“เอามาให้หมดทั้งชั้นเลย”

 

“เอ่อ… อ่าหะ”

 

คำของเอริกะนั้นได้ทำให้นากาได้แต่กะพริบตาปริบๆ ก่อนที่เขาจะรีบดึงเอาเอกสารในชั้นที่เอริกะต้องการมากองให้เธอทีละส่วน

 

ซึ่งเอริกะที่ได้รับเอกสารกองพะเนินไปนั้นก็ได้กดไปที่ปุ่มบนขาแว่นขาของเธอหนึ่งทีก่อนที่เธอจะคว้าเอาเอกสารแต่ละชุดมาเปิดไล่ไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าเธอแค่มองมันผ่านๆ เพียงเท่านั้นและโยนแผ่นเอกสารที่เธอไล่มองดูแล้วทิ้งไปอย่างไม่ไยดีพร้อมกับพูดถามทีเอร่าขึ้นมาด้วย

 

“ตอนนี้ที่นั่นเหลือใครที่ยังใช้งานได้บ้างน่ะทีเอร่า?”

 

“ตอนนี้ที่ยังทำงานกันอยู่จริงๆ มีแค่กลุ่มของพี่รัซเซลน่ะค่ะ เพราะว่าพวกพี่ๆ คนอื่นเขาถ้าไม่ได้ถอนตัวไปแล้วก็แจ้งมาว่าขอพักฟื้นตัวกันก่อน จะมีก็แค่สองสามกลุ่มที่บอกว่าถ้ามีเรื่องด่วนอะไรก็ให้ติดต่อไปได้เสมอน่ะค่ะ”

 

“ถ้างั้นก็ปล่อยให้พวกเขาพักฟื้นกันก่อนเถอะ ตอนนี้แค่กลุ่มใหม่ของพวกรัซเซลสี่คนก็น่าจะพอแล้ว… ว่าแต่เรื่องแผลของทหารยามนั่นเธอพอจะรู้หรือเปล่าว่าเขามีบาดแผลตรงส่วนไหนเยอะเป็นพิเศษหรือเปล่าน่ะ แบบว่าบาดแผลที่กระจุกอยู่ที่เดียวกันมากเป็นพิเศษอะไรแบบนี้น่ะ”

 

“อ—เอ๋? บาดแผลที่กระจุกตัวกันหรอคะ… เอ่อ…”

 

คำถามของเอริกะในคราวนี้ได้ทำให้ทีเอร่าอ้ำอึ้งไปเล็กน้อยเหมือนกับว่าเธอกำลังนึกทบทวนสภาพบาดแผลของทหารยามที่เธอแอบไปดูมาอยู่ในขณะที่ทางด้านเอริกะที่ไล่เปิดแผ่นเอกสารอยู่อย่างรวดเร็วนั้นก็ได้ชะงักไปเมื่ออยู่ๆ เลนส์แว่นตาของเธอก็ได้ส่องแสงกะพริบออกมาเป็นจังหวะพร้อมๆ กับที่มีเสียงของทีเอร่าพูดตอบผ่านเครื่องมือสื่อสารกลับมา

 

“จะว่ามีมั้ยมันก็น่าจะมีแหล่ะมั้งค่ะ… เพราะเห็นพี่รัซเซลเขาบอกว่าถ้าเทียบกับรอยไหม้ตรงจุดอื่นๆ ของชุดเกราะแล้วมันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่ชุดเกราะของพี่ทหารยามเขาจะโดนยิงจนทะลุได้น่ะค่ะ”

 

“งั้นก็หมายความว่าถ้าไม่ใช่เป็นพลังงานวิซจำนวนมากที่ถูกยิงออกมาอย่างแม่นยำเข้าใส่จุดเดียวกันก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอาวุธนำวิถีงั้นสินะ”

 

เอริกะพูดพึมพำออกมาเบาๆ พลางจ้องมองไปที่แผ่นเอกสารในมือของเธอด้วยท่าทียุ่งยากใจ ซึ่งสิ่งที่เธอพูดขึ้นมานั้นก็ได้ทำให้ทั้งนากาและทีเอร่าต่างพากันพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

 

“นำวิถีที่เธอพูดถึงนั่นหมายถึงว่าอาวุธที่สามารถคุมกระสุนได้หลังจากที่ยิงออกไปแล้วน่ะหรอเอริกะ?”

 

“แต่ไม่ใช่ว่ากระสุนนำวิถีพวกนั้นมันมีใช้แต่ในพวกปืนใหญ่วิซหรอกหรอคะพี่เอริกะ หนูจำได้ว่าเคยอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ว่าทางเมืองแพนเทร่ามีแผนจะเอาปืนใหญ่นำวิถีมาติดตั้งบนเรือเหาะของพวกเขานี่นา”

 

“เฮ้อ… อาวุธนำวิถีสำหรับบุคคลมันก็มีอยู่นั่นแหล่ะ แต่พวกเธอจะไม่รู้จักมันก็ไม่แปลกหรอกนะ เพราะว่ามันเป็นของที่ยังไม่เคยถูกเผยแพร่ที่ไหนแล้วคนที่สร้างมันขึ้นมาก็คือฉันเองเนี่ยแหล่ะ…”

 

เอริกะถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางวางแผ่นเอกสารในมือที่เป็นตัวการทำให้เลนส์แว่นตาของเธอส่องแสงกะพริบแจ้งเตือนลงบนโต๊ะทำงานเผยให้นากาเห็นแบบแปลนของพาร์ทส่วนล่างรุ่นต้นแบบที่มีลักษณะเหมือนกับกล่องเหล็กที่มีปากกระบอกปืนจำนวนมากบรรจุอยู่ภายในในขณะที่ทางด้านท้ายของมันก็มีไอพ่นหลายตัวที่ใช้สำหรับบินและทรงตัวอยู่กลางอากาศเชื่อมติดอยู่

 

ซึ่งภาพของแบบแปลนสำหรับพาร์ทส่วนล่างที่เขายังคงจำมันได้ดีเนื่องจากว่าเขาเคยได้ต่อสู้กับผู้ที่ใช้งานมันตรงๆ กับตัวมาแล้วนั้นก็ได้ทำให้นากาหลุดพูดชื่อชื่อหนึ่งออกมา

 

“เวก้างั้นหรอ…”

 

“ก็ถ้าเกิดว่ามันไม่ใช่ฝีมือของอาวุธชนิดอื่นที่ขนาดฉันเองก็ยังไม่รู้จักล่ะก็ มันก็คงจะมีแค่คำตอบเดียวสำหรับการโจมตีแบบนั้นแล้วล่ะ… ทีเอร่า เธอยืนยันที่อยู่ของเดดารัสได้แล้วหรือยัง?”

 

“ย–ยังเลยค่ะ! ตั้งแต่ตอนที่พี่เขาหายตัวไปตอนนั้นหนูก็ยังไม่เจอร่องรอยอะไรเลยค่ะ” .

 

“ให้ตายสิเจ้าหมอนั่น… จนป่านนี้แล้วแท้ๆ นะ…”

 

คำตอบของทีเอร่านั้นได้ทำให้นากาต้องพูดบ่นออกมาเบาๆ เพราะเขานึกว่าที่เวก้ายอมเปลี่ยนชื่อของตัวเองและมาช่วยงานเอริกะแบบนี้มันเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายต้องการจะชดใช้ความผิดที่ตัวเองเคยก่อเอาไว้เสียอีก แต่ที่ไหนได้เวลาเพิ่งจะผ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ดันกลับมาทำเรื่องไม่ดีแบบเดิมอีกแล้ว

 

ส่วนทางด้านเอริกะที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการนำเวก้ามาใช้งานนั้นก็แทบจะต้องยกมือขึ้นมากุมขมับก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดสั่งงานเด็กสาวหูแมวที่อยู่ต่างเมืองขึ้นมา

 

“ถ้างั้นทีเอร่า เดี๋ยวเธอไปบอกทุกคนที่เหลืออยู่ให้เฝ้าระวังเดดารัสเอาไว้ แล้วเดี๋ยวฉันจะรีบส่งคนเอาข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่เขาใช้ไปให้ แล้วหลังจากนั้นพวกเธอก็วางแผนรับมือเขาได้ตามสะดวกเลย”

 

“ค…ค่ะ! ถ้างั้นเดี๋ยวหนูขอตัวไปบอกพวกพี่ๆ เขาก่อนนะคะ!”

 

ปิ๊บ—

 

หลังจากที่สิ้นเสียงของเด็กสาวไปแล้วนั้นเอง ทีเอร่าก็ได้ตัดสายการสื่อสารไปในทันที ในขณะที่ทางด้านนากาเองก็ได้พูดถามขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน

 

“ว่าแต่เธอจะให้พวกฉันไปที่นั่นด้วยหรือเปล่าล่ะ ถ้าเกิดว่าเป็นในตอนนี้ฉันน่าจะสู้กับเวก้าเขาได้สบายๆ แล้วนะ”

 

“คงจะไม่ได้หรอกนะเพราะว่าตอนนี้เธออยู่ในสังกัดกลุ่มดอว์นของไดเอน่าจังที่ได้รับการรับรองจากทางเมืองไปแล้วนี่ แต่ถ้าเกิดว่าทางด้านนั้นเขาไม่ไหวกันจริงๆ เดี๋ยวฉันว่าฉันจะลองเจรจาไปขอให้แม่อัศวินตัวดีคนนั้นไปช่วยเหลือทางนั้นไปก่อนน่ะ”

 

“อัศวิน? เธอหมายถึงเรสเนอร์น่ะหรอ?”

 

นากาที่ได้ยินเอริกะพูดถึงอัศวินหญิงขึ้นมานั้นได้นึกหญิงสาวในชุดเกราะอัศวินเรสเนอร์ผู้ที่เป็นเพื่อนเก่าของอีกฝ่ายขึ้นมา ซึ่งทางด้านเอริกะก็ได้พยักหน้าพูดตอบเขากลับมาแต่โดยดี

 

“อื้ม เพราะยังไงช่วงนี้เขาก็ว่างๆ จนร่อนไปทั่วเมืองหาอะไรทำฆ่าเวลาเล่นอยู่แล้วล่ะนะ เผลอๆ ตอนนี้พวกเขาอาจจะแวะไปเดินเล่นที่หมู่บ้านข้างทางแล้วซะด้วยซ้ำ แต่ว่ายังไงซะก็เก็บเอาไว้เป็นแผนสำรองดีกว่าเพราะว่าที่จริงแล้วเรสเนอร์เขาก็ไม่ค่อยจะอยากยุ่งกับเรื่องงานของฉันหรือว่าที่ใต้ดินของแพนเทร่าสักเท่าไหร่น่ะ”

 

“หืม? แต่ถ้าเกิดว่าเธอขอให้เรสเนอร์ช่วยได้ทำไมไม่ขอไปเลยล่ะ เพราะเห็นคอนแนลบอกว่าที่จริงแล้วเรสเนอร์เขาเก่งสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรอ?”

 

“แหม่~ ก็พอดีว่าที่ใต้ดินของแพนเทร่ามันมีอะไรที่พวกฉันทุกคนไม่ค่อยจะอยากเข้าไปยุ่งด้วยสิงสู่อยู่น่ะสิ~ เอาล่ะๆ เอาเป็นว่าถ้าฉันมีอะไรให้เธอช่วยเดี๋ยวฉันจะติดต่อไปหาเองก็แล้วกัน ตอนนี้เธอพาอีฟจังกับโมโกะจังกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่านะ”

 

ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ

 

แต่แล้วในขณะที่เอริกะกำลังจะพูดไล่นากากลับไปอยู่นั้นเอง อยู่ๆ เครื่องมือสื่อสารส่วนตัวของเธอก็ส่งเสียงสัญญาณออกมาอีกครั้งหนึ่งจนทำให้เอริกะต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะกดรับสายการสื่อสารและพูดถามกลับไป

 

“ฮัลโหล่ๆ นี่ใครเอ่ย?”

 

“นี่ทีเอร่าเองค่ะ! เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะพี่เอริกะ!!”

 

“เอ๋? คราวนี้มีอะไรเกิดขึ้นมาอีกล่ะจ๊ะ?”

 

“ค… คือว่าตอนที่หนูแอบหลบเข้ามารายงานตะกี้นี้เหมือนว่าพวกพี่รัซเซลเขาจะแอบลอบเข้าไปข้างในสุสานใต้ดินของแพนเทร่าแล้วค่ะ!”

 

“หะ—!? ไอ้พวกบ้านั่น— เพราะแบบนี้แหล่ะฉันถึงได้ไม่ชอบพวกทหารรับจ้างอิสระเนี่ย!!”

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Status: Ongoing
เมื่อคำสัญญาจากอดีตได้หวนคืนกลับมาเพื่อทวงคืนสิ่งที่ถูกหยิบยืมไป การเดินทางของคนถูกทิ้งกลุ่มหนึ่งเพื่อจะช่วยเหลือมนุษยชาติจึงได้เริ่มต้นขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท