บทที่ 816 ไม่จำเป็นต้องไต่สวน เพียงแค่บั่นศีรษะมันเสีย
บทที่ 816 ไม่จำเป็นต้องไต่สวน เพียงแค่บั่นศีรษะมันเสีย
โจรกบฏถูกจับได้ ภาวะวิกฤตจบลง แน่นอนว่ามู่ซืออวี่ย่อมยินดี
อย่างไรก็ตาม ฟ่านหยวนซีได้รับบาดเจ็บสาหัส ความเป็นความตายแขวนอยู่บนเส้นด้าย ตอนนี้เขาจะรอดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเขาแล้ว นี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับสกุลลู่
บางทีสกุลลู่อาจมีความสามารถผลักดันกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ ทว่าเมื่อเทียบกันแล้ว กษัตริย์องค์ใหม่อาจไม่ไว้ใจสกุลลู่ได้เท่าฟ่านหยวนซี ดังนั้นหากฟ่านหยวนซีสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงร้อยปี ย่อมไม่อาจให้เขาตายตอนเก้าสิบเก้าปีได้
“ท่านแม่ โจรกบฏพวกนั้นถูกจับแล้วจริง ๆ หรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นถามอย่างไร้เรี่ยวแรง
“จริงสิ นับได้ว่าเป็นการแก้แค้นให้เจ้า” มู่ซืออวี่กระชับผ้าห่มขึ้นห่มให้ลูกสาว “ครั้งนี้ทำให้เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว แต่ลูกสาวข้าฉลาดนัก นึกไม่ถึงว่าจะหนีพ้นโจรกบฏมากมายเพียงนั้น ทั้ง ๆ ที่อยู่ใต้จมูกพวกมัน”
ระหว่างนี้ลู่จื่ออวิ๋นจำเป็นต้องพักผ่อนให้มาก แม้กระทั่งลู่จื่อชิงที่ซุกซนที่สุดก็ยังเงียบกว่าปกติ ทุกวันยามมาหาลู่จื่ออวิ๋นนางก็ไม่ได้ก่อเรื่องปวดหัว แต่กลับหาบันทึกการเดินทางมาอ่านให้พี่สาวของนางฟังแทน
“น้องหญิง มือเจ้าไปโดนอะไรมาหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นเห็นฝ่ามือของลู่จื่อชิงมีรอยแผลจึงคว้าฝ่ามือของนางมาดูโดยละเอียด “เหตุใดจึงบาดเจ็บจนกลายเป็นเช่นนี้ได้เล่า?”
“ข้าหกล้ม”
“เจ้าจะหกล้มจนเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร?” ลู่จื่ออวิ๋นไม่พอใจ “หากเจ้ายังโกหกอีก ข้าจะบอกท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่ แม้เจ้าไม่ยินดีบอกความจริงข้า อย่างไรก็ต้องยินดีบอกความจริงพวกเขากระมัง?”
“พี่หญิง ท่านอย่าบอกท่านพ่อท่านแม่กับพี่ใหญ่เลยนะเจ้าคะ โดยเฉพาะพี่ใหญ่ เขาเข้มงวดเกินไป น่ากลัวยิ่งกว่าท่านพ่อท่านแม่เสียอีก” ลู่จื่อชิงหน้ามุ่ย “ข้าบอกก็ได้ ข้าอยากฝึกวรยุทธ์เพื่อปกป้องท่าน ข้าจึงขอให้ลู่เยี่ยสอนวรยุทธ์ แรกเริ่มก็ดีอยู่หรอก แต่ตอนที่ข้าถือดาบข้าไม่ทันระวังเผลอทำหลุดมือจึงได้มาหนึ่งแผล”
“เจ้าแตะดาบด้วยหรือ!” ลู่จื่ออวิ๋นขมวดคิ้ว “เจ้าอายุเท่าใดกัน ยกดาบขึ้นหรือ?!”
“ยกไม่ขึ้นถึงได้แผลอย่างไรเล่า ข้าได้รับบทเรียนแล้ว ก่อนที่จะใช้ดาบเป็น ข้าจะไม่ใช้ดาบฝึกวรยุทธ์เป็นอันขาด ท่านลุงฉีบอกแล้ว ขอเพียงแค่หมั่นฝึกฝนให้ดี กิ่งไม้ใบหญ้าล้วนใช้เป็นอาวุธได้”
“ระยะนี้เจ้าฝึกวรยุทธ์กับท่านลุงฉีมาตลอดหรือ?”
“ใช่แล้ว! ท่านลุงฉีบอกว่าข้ามีหน่วยก้านดีด้านวรยุทธ์” ลู่จื่อชิงเอ่ย “พี่หญิง ท่านอย่าบอกท่านพ่อท่านแม่เลยนะ พวกเขายังไม่รู้เลย!”
ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มบาง ๆ “ตอนอยู่เมืองถงหยางเจ้ามักจะแอบออกไปข้างนอก บางครั้งยังไปเป็นเวลาหลายวัน ถึงแม้ท่านแม่จะงานรัดตัวก็ไม่มีทางไม่เป็นห่วงเจ้า เจ้าคิดว่านางจะไม่รู้เชียวหรือว่าเจ้าติดตามผู้ใด นางจะปล่อยให้เจ้าวิ่งเพ่นพ่านอยู่ข้างนอกอย่างวางใจเพียงนั้นเลยรึ?”
“ท่านหมายความว่าท่านแม่รู้แล้วหรือ?”
“แล้วเจ้าว่าอย่างไรเล่า”
สามวันต่อมา อาการของลู่จื่ออวิ๋นก็ดีขึ้น มู่ซืออวี่จึงเข้าวังไปเยี่ยมซ่างกวนจิ่นซิ่ว ขณะเดียวกันก็ไปถามไถ่อาการของฟ่านหยวนซี
ไม่นานมานี้ลู่อี้ก็ออกไปจากเมืองหลวงอีกครั้ง
เขาออกจากเมืองหลวงไปไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่นใด หากแต่เพื่อกำจัดกากเดนของโจรกบฏเหล่านั้นให้สิ้นซาก
จ้าวจื่อโม่ไม่สามารถทนการทรมานได้ ขอเพียงเป็นกากเดนที่เขารู้จัก เขาล้วนสารภาพออกมาอย่างหมดเปลือก ลู่อี้ถือโอกาสตีเหล็กตอนกำลังร้อน รวบกากเดนกบฏเหล่านั้นในคราวเดียว
ส่วนฟ่านหยวนซี ยังมีฉีเซียวอยู่ที่นี่ หากเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ เขารั้งอยู่ที่เมืองหลวงก็ไม่มีประโยชน์ อย่างไรเสียวิธีที่พอใช้ได้ก็ใช้ไปแล้ว หากไม่อาจทนรับมือได้ นั่นก็เป็นโชคชะตาของเขา
ไม่ใช่ว่าลู่อี้ใจดำ หากแต่… พวกเขามีเหตุผลมากกว่า
“ฮูหยินลู่ ท่านมาแล้วหรือ” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเดินออกจากพระตำหนักของฮ่องเต้
“อาการฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“พวกเราไปนั่งในอุทยานหลวงสักครู่หนึ่งเถิด”
“เพคะ”
ข้ารับใช้ในวังหลวงยกชาและของว่างมาให้
“ฝ่าบาทเสียพระโลหิตมากเกินไป ยามนี้ยังคงไม่ได้สติ ทว่าท่านหมอบอกว่ายานั้นมีผลมหัศจรรย์ยิ่งนัก อย่างน้อยฝ่าบาทก็รอดพ้นความตายแล้ว เรื่องอื่นทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา” ซ่างกวนจิ่นซิ่วกล่าว
“ช่วงเวลาอันตรายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว คิดว่าคงไม่มีปัญหา ตอนนี้เหลือเพียงรอว่าฝ่าบาทจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใดแล้วเพคะ”
“อืม”
“สีหน้าท่านดูไม่สู้ดี” มู่ซืออวี่มองนางด้วยความกังวล “ไม่ใช่ว่าหักโหมดูแลฝ่าบาทจนเหนื่อยล้าหรอกหรือเพคะ? ท่านจะต้องดูแลตนเองให้ดี อย่าได้ปล่อยให้ฝ่าบาทฟื้นขึ้นมา แต่ท่านกลับทรุดลงแทนนะเพคะ”
“ฮูหยิน ท่านโน้มน้าวฮองเฮาหน่อยเถิดเจ้าค่ะ!” หลีเซียงเอ่ย “ข้าพยายามโน้มน้าวพระนางแล้ว พระนางกลับไม่ยอมฟัง หมู่นี้ไม่ยอมเสวยกระยาหารเสวยน้ำ แม้กระทั่งยามราตรียังไม่อาจบรรทม หากยังเป็นเช่นนี้เกรงว่าไม่ช้าก็เร็วจะไม่ไหวเอานะเจ้าคะ”
“ไม่ใช่ข้าไม่อยากเสวยกระยาหารเสวยน้ำ เพียงแต่ไม่อาจเสวยกระยาหารเสวยน้ำได้ต่างหาก ส่วนบรรทม เพียงแค่ข้าบรรทม ภาพฝ่าบาทนอนจมกองเลือดก็ผุดขึ้นมาแล้ว พอตื่นจากบรรทม ข้าก็ไม่อาจบรรทมได้อีก”
“หลีเซียง เชิญท่านหมอหลวงมาเถิด” มู่ซืออวี่กล่าว
“ยามนี้ท่านหมอหลวงล้วนกังวลกับอาการของฝ่าบาท ไม่กล้าออกจากพระตำหนักแม้เพียงหนึ่งเค่อ บ่าวจะไปเชิญท่านหมอหลวงมาเจ้าค่ะ” หลีเซียงผละจากไป
“เชิญท่านหมอหลวงมาทำอะไรหรือ? ข้าเพียงแค่เป็นกังวลเรื่ององค์ฝ่าบาทมากเกินไปเท่านั้น เป็นกังวลจนไม่อาจเสวย ไม่อาจบรรทม อย่าให้พวกเขามาเลย ฝ่าบาทต้องการพวกเขามากกว่าข้า”
“เพียงแค่วินิจฉัยชีพจรเพื่อบำรุงร่างกายเท่านั้นเพคะ ขอเวลาพวกเขาเพียงไม่นาน” มู่ซืออวี่เอ่ย “สีหน้าท่านไม่สู้ดีนัก ฝ่าบาทยังคงหลับอยู่ ข้าจึงต้องดูแลท่านแทนพระองค์ ไม่เช่นนั้นเขาฟื้นขึ้นมา แต่ท่านทรุดลงแล้ว พวกเราหลายคนจะมิถูกพระองค์ทรงพิโรธหรือ?”
ไม่นานท่านหมอหลวงก็มาถึง
มู่ซืออวี่ขอให้เขาตรวจชีพจรเพื่อบำรุงให้ซ่างกวนจิ่นซิ่ว
“พระนางฮองเฮา โปรดยื่นมือซ้ายออกมา”
ท่านหมอหลวงตรวจข้อมือขวาแล้วก็ขอให้ซ่างกวนจิ่นซิ่วยื่นข้อมือซ้ายออกมา
ในคราแรกซ่างกวนจิ่นซิ่วไม่ได้คิดอะไรมาก ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขา อีกทั้งอีกฝ่ายยังตรวจชีพจรของนางครั้งแล้วครั้งเล่าก็เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา
“ท่านหมอหลวง ข้าเป็นอะไรไปหรือ?”
“เดือนยังน้อยจึงยังไม่ชัดเจนนัก ทว่าเมื่อใช้ประสบการณ์ของกระหม่อม พระนางฮองเฮาทรงพระครรภ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วมองดูท่านหมอหลวงด้วยความตกตะลึง สีหน้าราวกับกำลังฝันไป
“ท่านว่าอย่างไรนะ?”
“ขอแสดงความยินดีกับพระนางฮองเฮา ท่านทรงพระครรภ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มู่ซืออวี่ยิ้มแล้วกล่าว “ขอแสดงความยินดีเพคะ”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วลูบท้องของตน ในคราแรกยังมีสีหน้าตกใจ จากนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นปลื้มปีติ
นางลุกขึ้นยืนในทันใด
“ค่อย ๆ เพคะ” มู่ซืออวี่จับนางไว้ “ท่านช้าลงหน่อยเถิดเพคะ พระองค์เพิ่งทรงพระครรภ์ ยังไม่แก่เดือนมากนัก อย่าทำอะไรโลดโผนเลยนะเพคะ”
“ข้าจะไปบอกข่าวดีนี้แก่ฝ่าบาท” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ย “หากเขารู้จะต้องปีติยินดีอย่างแน่นอน ความปีติยินดีนี้ ไม่แน่ว่าอาจปลุกเขาให้ฟื้นขึ้นมาได้”
มู่ซืออวี่เฝ้ามองซ่างกวนจิ่นซิ่วกลับไปยังพระตำหนักของฮ่องเต้เพื่อบอกข่าวดีนี้ให้ฟ่านหยวนซีฟังต่อหน้าทุกคน
ฉากน้ำเน่าที่ปรากฏในละครโทรทัศน์ไม่ปรากฏ ฟ่านหยวนซีได้ยินข่าวนี้แล้วก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาทันทีทันใด ราวกับฉากจบบริบูรณ์
อันที่จริง นับตั้งแต่วันนั้นที่มู่ซืออวี่เข้าวังไป กล่าวคือผ่านมาแล้วครึ่งเดือนนับตั้งแต่วันที่ซ่างกวนจิ่นซิ่วได้รับการวินิจฉัยว่าตั้งครรภ์ ฟ่านหยวนซีก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา
“ข้างนอกเสียงดังอะไรกันหรือ?” มู่ซืออวี่เพิ่งตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอกจึงเอ่ยถาม
“วันนี้เป็นวันประหารพวกโจรกบฏเหล่านั้นเจ้าค่ะ” ชิงไต้เอ่ย “ผู้ที่รับผิดชอบกำกับดูแลการประหารในครั้งนี้คือคุณชายใหญ่ของพวกเรา”
“ฉาวอวี่หรือ?”
“เจ้าค่ะ”
“แต่ไหนแต่ไรมาล้วนประหารหลังสารทฤดูไม่ใช่หรือ วันนี้ไม่ใช่นี่นา”
“สำหรับคนมีความผิดโทษมหันต์เช่นนี้ หากไม่รอเค้นคำสารภาพเรื่องที่อยู่ของพรรคพวกพวกมันออกมา ไม่ต้องรอให้ถึงแม้เพียงวันเดียว นายน้อยคงประหารพวกมันไปนานแล้วเจ้าค่ะ บัดนี้เรื่องที่ควรทราบล้วนทราบแล้ว พวกมันอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์เจ้าค่ะ!”
————————