บทที่ 832 ฟ่านซู่
บทที่ 832 ฟ่านซู่
วันรุ่งขึ้น ทันทีที่ลู่ฉาวอวี่ออกมาจากวังหลวง วังกงกงก็นำราชโองการของฮ่องเต้ไปที่จวนเซวียนอ๋องแล้วพาฟ่านซู่ออกไปจากที่นั่นทันที
จ้าวอวิ๋นซวง มารดาผู้ให้กำเนิดฟ่านซู่ร้องไห้น้ำตาไหลพราก แต่นางไม่กล้าฝ่าฝืนราชโองการจึงทำได้แค่ทนความเจ็บปวดแล้วมอบลูกชายของนางให้กับขันทีเฒ่า
“ฮูหยินจ้าว” ขันทีเฒ่าทนไม่ไหวจึงบอกนางว่า “ท่านไม่ต้องเศร้าโศกถึงเพียงนั้นหรอก ฮ่องเต้คิดถึงเสี่ยวซื่อจื่อและอยากจะฝึกฝนเขาให้ดี ไม่ได้จะทำร้ายเขา ฮ่องเต้ได้ยินว่าเสี่ยวซื่อจื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ทำให้พระองค์นึกถึงวัยเด็กของตน เสี่ยวซื่อจื่อสกุลฟ่านเป็นทายาทของราชวงศ์ จะปล่อยให้เขาถูกคนอื่นรังแกได้อย่างไร?”
“กงกง ท่านหมายความว่าอย่างไร?” จ้าวอวิ๋นซวงสงบลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“พูดตามตรง ฮ่องเต้รู้สึกสงสารเสี่ยวซื่อจื่อ มีพระประสงค์จะฝึกเขาเป็นการส่วนตัวจึงรับเขาไปอยู่ในวัง หากคิดถึงลูกชาย ท่านก็สามารถไปหาเขาได้ตลอดเวลา” ขันทีเฒ่าพูดพร้อมยื่นเหรียญตราสำหรับเข้าไปในวังหลวงให้กับจ้าวอวิ๋นซวง “นี่เป็นเรื่องดี แสดงถึงความเมตตาของฮ่องเต้ที่มีต่อเสี่ยวซื่อจื่อ ท่านยังจะเศร้าต่อไปอีกได้อย่างไร?”
“ข้าเศร้าเพราะข้าทนไม่ไหวที่จะต้องจากเขาไป พวกเราสองแม่ลูกไม่เคยพรากจากกัน กงกงพูดถูกแล้ว นี่เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดีมาก เราสองแม่ลูกรู้สึกซาบซึ้งใจนัก” จ้าวอวิ๋นซวงเก็บเหรียญตรา แล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าขอฝากให้กงกงช่วยดูแลเด็กดื้อคนนี้ด้วย”
“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา”
ฟ่านซู่เดินตามขันทีเฒ่าจากไปอย่างสงบ
เขามองย้อนกลับมายังจ้าวอวิ๋นซวงที่เต็มไปด้วยความกังวล “ท่านแม่ ไม่ต้องกังวลหรอกขอรับ”
แม้ว่าเขาจะอายุยังน้อยแต่ก็ดูสงบเหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็ก
จ้าวอวิ๋นซวงพยักหน้าทั้งน้ำตา “เจ้าไปเถอะ! ฮองเฮามีเมตตา ย่อมดูแลเจ้าอย่างดีแน่นอน”
ฟ่านซู่ถูกพาตัวเข้าไปในวังเพื่อฝึกฝนและอาศัยอยู่ในตำหนักของฮองเฮาเหมือนกับองค์ชายน้อยที่ประสูติจากฮองเฮาเอง เขาได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจริง ๆ
ที่โต๊ะอาหารเย็น ลู่อี้เหลือบมองลู่ฉาวอวี่ “เจ้าเป็นคนคิดวิธีนี้ขึ้นมาหรือ?”
ลู่ฉาวอวี่คีบผักใบเขียวชิ้นหนึ่งให้ลู่จื่อชิง “นี่คือความคิดของเสี่ยวชิงเอ๋อร์ขอรับ”
ลู่จื่อชิงมองผักใบเขียวด้วยความขมขื่นและหงุดหงิด หลังจากได้ยินคำพูดของลู่ฉาวอวี่ นางก็เงยหน้าขึ้นอย่างสงสัยและกะพริบตาที่ฉายแววฉลาด “ข้าหรือ?”
“ใช่แล้ว เจ้านั่นแหละ” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “ชิงเอ๋อร์ชอบต่อสู้กับความอยุติธรรม คิดว่าฟ่านซู่ผู้เป็นสมาชิกของราชวงศ์กำลังถูกรังแกและน่าสงสาร ข้าตรวจสอบเรื่องนี้แล้วก็พบว่าเป็นจริงดังนั้น ตีสุนัขก็ควรจะต้องดูเจ้าของ อีกทั้งตัวตนของฟ่านซู่ก็เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ ไม่มีทางที่จะนิ่งเฉย ปล่อยให้เขาถูกทำให้อับอายได้”
“จนถึงขณะนี้ ฟ่านเหยี่ยนก็ยังไม่มีลูก เด็กคนนี้เป็นลูกชายคนโตของเขา เขาจะไม่ปล่อยให้ลูกชายติดอยู่ในอาณาจักรฮุ่ยอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว ฟ่านเหยี่ยนก็ต้องจะมาพาเขาออกไป” มู่ซืออวี่กล่าว “ในขณะที่ฟ่านซู่ยังเด็กอยู่ เจ้าต้องขัดเกลาเขาให้ดีและทำให้เขากลายเป็นดาบของเจ้าเอง”
“ท่านแม่ ท่านคิดมากไปแล้วขอรับ” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “ข้าแค่รู้สึกเสียใจที่เขาถูกรังแก ทั้งที่มีฐานะเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ข้าแค่อยากจะหาผู้สนับสนุนให้เขา ฮ่องเต้มีเมตตาและเต็มใจจะรับเลี้ยงเขาไว้ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีขอรับ”
มู่ซืออวี่ยกยิ้ม “สิ่งที่เจ้าพูดคือเรื่องจริง แม่เชื่อ”
แปลก…
แต่กิจการงานราชสำนักไม่เกี่ยวข้องกับนางและนางก็ไม่สนใจเรื่องของผู้อื่น
มู่ซืออวี่ใช้ตะเกียบคีบผักใบเขียวใส่ลงในชามของลู่จื่อชิง “ช่วงนี้อย่ารบกวนท่านอาฉีของเจ้า เขาสุขภาพไม่ดี และการสอนเจ้าจะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก นั่นจะไม่ดีสำหรับเขา”
“แต่ทักษะดาบของท่านอาฉีนั้นดีจริง ๆ และข้าอยากเรียนรู้ ท่านอาฉีบอกว่าข้ามีความสามารถมาก เมื่อข้าฝึกทักษะดาบกับเขาจนเชี่ยวชาญแล้ว เขาจะมอบดาบดี ๆ ให้ข้า” ลู่จื่อชิงกล่าว
“ฉีเซียวดูท่าจะว่างมาก ดูเหมือนว่าเราควรเตรียมอะไรบางอย่างให้เขาทำแล้ว” ลู่อี้พูด “เพื่อไม่ให้เขาถูกแม่นางน้อยคนนี้ควบคุม”
“ข้าเห็นว่าท่านอาฉีดูจะมีความสุขกับชีวิตแบบนี้ หากฝากน้องสาวตัวน้อยไว้กับเขาจะช่วยเราได้มาก” ลู่ฉาวอวี่พูดอย่างใจเย็น
“ไม่นะ อย่าให้พี่หญิงไปเลยขอรับ” ลู่ฉาวจิ่งดึงแขนเสื้อของลู่ฉาวอวี่ “พี่ใหญ่ พี่หญิงรองจะไม่จากไป”
“กินข้าวเสีย” ลู่ฉาวอวี่ดึงแขนเสื้อกลับ
“เหตุใดท่านถึงใจร้ายกับน้องชายเล่า?” ลู่จื่อชิงจ้องมองลู่ฉาวอวี่
มู่ซืออวี่มองดูเหตุการณ์นี้ด้วยความสนใจ
สาวน้อยคนนี้กล้าหาญมาก!
แต่ก็ใช่ นางได้ชื่อว่าเป็นสาวน้อยตัวแสบ ผู้โด่งดังในเมืองหลวงตั้งแต่อายุยังน้อย นางจะขี้ขลาดได้อย่างไร?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่ซืออวี่ก็รู้สึกแน่นหน้าอก ไม่สบายตัวขึ้นมา
สำนักศึกษาหลวงมีกฎระเบียบใหม่คือจัดตั้งสำนักศึกษาสตรี จึงอนุญาตให้ผู้หญิงลงทะเบียนเรียนได้
แน่นอนว่าผู้ที่สามารถลงทะเบียนในสำนักศึกษาหลวง ส่วนใหญ่เป็นลูกสาวของขุนนาง หญิงสามัญชนทั่วไปที่ต้องการเข้าสำนักศึกษาหลวงจะต้องผ่านการคัดกรองอย่างเข้มงวดจึงจะมีโอกาส เว้นแต่ว่าจะมีความสามารถที่ล้ำเลิศ
ลู่จื่อชิงกำลังจะถูกโยนเข้าไปที่นั่นแล้ว
“ข้าจะไม่ไป… ข้าจะไม่ไป…” ลู่จื่อชิงกอดต้นไม้ใหญ่ในสวน “ข้าอยากฝึกวรยุทธ์กับท่านอาฉี ข้าไม่อยากอ่านสิ่งที่คนรู้ดีอยู่แล้ว ข้าไม่อยากไปสถานที่น่าเบื่อเช่นนั้น”
“หากเจ้าไม่อยากไปก็ไม่เป็นอะไร” ลู่ฉาวอวี่พูดอย่างใจเย็น “ข้าจะให้คนส่งเจ้าไปที่เมืองซานหลิน เจ้าสามารถอยู่ที่นั่นและสนุกได้ตามที่เจ้าต้องการแล้วโกหกโลกภายนอกว่าคุณหนูรองของสกุลลู่ป่วยจึงจำเป็นต้องหาที่พักฟื้น ไม่สามารถอยู่ในเมืองหลวงได้ ไม่เช่นนั้นสกุลลู่จะขายหน้า เพราะในฐานะคุณหนูรองสกุลลู่ เจ้าไม่สามารถแม้แต่จะเขียนชื่อของตัวเองได้ หากพูดออกไปจะทำให้ท่านพ่อ ท่านแม่ และพวกข้าอับอายขายหน้าเปล่า ๆ”
“ข้าไม่รู้หนังสือ แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกท่านด้วย?” ลู่จื่อชิงไม่พอใจ
“เจ้าอ้วนน้อยผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นเด็กอัจฉริยะ ได้ยินมาว่าเขาสามารถจำบทความทั้งหมดได้ หลังจากอ่านเพียงครั้งเดียว เขียนบทกวีได้เมื่ออายุห้าขวบ และวาดภาพได้เมื่ออายุเจ็ดขวบ เจ้าเรียกเขาว่าน้องชายตัวน้อยตลอดทั้งวัน เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าน้องชายคนนี้แข็งแกร่งแค่ไหน เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะดูถูกเจ้า? ในฐานะพี่หญิงใหญ่ผู้มีอำนาจบนถนนสายนี้ ไม่เพียงแต่จะต้องแข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น แต่เจ้ายังต้องมีสมองที่ดีที่สุดด้วย เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถควบคุมคนที่อยู่ใต้บัญชาเจ้าได้หรือไม่?” ลู่ฉาวอวี่ถามอีกครั้ง
“เขาไม่กล้าดูถูกข้าหรอก” ลู่จื่อชิงทำหน้ามุ่ย
“จริงหรือ?” ลู่ฉาวอวี่พูด “แล้วหากเขาเขียนเรื่องแย่ ๆ ของเจ้าในจดหมาย เจ้าจะเข้าใจหรือไม่?”
“เขาจะไม่เขียนอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับข้า”
“หากเขาเขียนบทกวีด่าเจ้า เจ้าจะเข้าใจหรือไม่?”
“เขาไม่รู้วิธีเขียนบทกวีด่าข้า”
ลู่เยี่ยเข้ามาจากด้านนอก ตามมาด้วยเด็กชายตัวอ้วน
เจ้าตุ้ยนุ้ยน่ารักและนิสัยดี แต่เขาแค่อ้วนไปหน่อย
ทุกครั้งที่มู่ซืออวี่เห็นเขา นางก็อดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มของเด็กชายเพราะมันดูนุ่มนิ่มน่าจับมาก
ลู่ฉาวอวี่กวักมือเรียกเจ้าอ้วนน้อย
เด็กชายตัวอ้วนเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “พี่ลู่”
“เจ้า…” ลู่ฉาวอวี่ถามเกี่ยวกับการบ้านของเด็กชายตัวอ้วน
เขาตอบอย่างคล่องแคล่ว
เมื่อเห็นว่าลู่ฉาวอวี่เพิกเฉยต่อตน ลู่จื่อชิงก็ผ่อนคลายในตอนแรก แต่เมื่อลู่ฉาวอวี่และเจ้าอ้วนน้อยคุยกันมากขึ้นเรื่อย ๆ นางก็เริ่มโกรธ
คุณหนูรองสกุลลู่ไม่เข้าใจคำศัพท์เหล่านั้น
พวกเขากำลังพูดถึงอะไรกัน?
“พี่ใหญ่…” ลู่จื่อชิงตะโกน “ข้าออกไปได้แล้วหรือยัง?”
ลู่ฉาวอวี่ไม่สนใจนางแล้วถามเด็กชายตัวอ้วน “หานจือ ด้วยความสามารถและการเรียนรู้ของเจ้า หากเจ้าเข้าสำนักศึกษาหลวงแล้วจะต้องกลายเป็นคนเก่งที่สุดของที่นั่นแน่นอน ถ้าเจ้าตั้งใจร่ำเรียนอย่างหนัก ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะมีอนาคตยาวไกล”
“ขอบคุณขอรับพี่ลู่ ข้าจะตั้งใจเรียนให้หนัก” ดวงตาของซ่งหานจือเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่ามีความสุขมากที่ได้รับคำชมจากลู่ฉาวอวี่