สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 855 ปิดเรื่องนี้ไว้ก่อน

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 855 ปิดเรื่องนี้ไว้ก่อน

บทที่ 855 ปิดเรื่องนี้ไว้ก่อน

“เช่นนั้นตอนนี้…” ติงเซียงกังวล “เครื่องเสวยพวกนั้นคงไม่กระทบต่อพระวรกายฮองเฮากระมัง?”

หมิงจือเหยียนกล่าว “โชคดีที่พบแต่เนิ่น ๆ มิฉะนั้นผลที่ตามมาย่อมร้ายแรง แน่นอนว่าหลังจากได้วินิจฉัยและรักษาในช่วงเวลานี้ ข้าสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าพระวรกายของพระนางฮองเฮาไม่มีปัญหาใด ๆ”

“เช่นนั้นก็ดียิ่ง” ไป๋จื่อกล่าว “หากองค์หญิงรู้เรื่องนี้จะต้องยินดีมากแน่”

“เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกเสด็จแม่” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “หากนางรู้ ข้าจะทำเรื่องใดนางย่อมกังวลยิ่งกว่าเดิม เกรงว่าข้าจะทำอะไรไม่ได้อีก เช่นนี้จะไม่เป็นการทรยศต่อความไว้วางใจของฝ่าบาทหรือ”

“แต่พระวรกายของพระนางฮองเฮาสำคัญยิ่งนะเพคะ เรื่องในราชสำนักมีใต้เท้าทุกท่าน บัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดต่อฮองเฮาคือลูกในท้องและพระวรกายของพระองค์เองนะเพคะ”

“ข้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ฮองเฮากล่าว” หมิงจือเหยียนเอ่ย “ก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดทราบว่าพระนางทรงพระครรภ์ ยังมีคนติดสินบนห้องเครื่องเสวยทำร้ายพระวรกาย หากข่าวทรงพระครรภ์ของฮองเฮาแพร่ออกไป รังแต่จะทำให้ผู้ที่คิดร้ายต่อพระนางไม่ยอมอยู่นิ่ง คิดหาวิธีทำร้ายพระนางและลูกในท้องไม่หยุดหย่อน เรื่องนี้ควรปิดบังคนนอกไว้ก่อน พวกเราต้องใส่ใจกับเครื่องเสวย ของใช้ และอาภรณ์ของฮองเฮาให้มากขึ้น”

เซี่ยชิงโจวเดินทางไปยังหนานโจว ข่าวที่เกี่ยวกับหนานโจวแพร่สะพัดออกไปข่าวแล้วข่าวเล่า

มังกรโลกพลิกกาย เช่นนั้นก็เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ สิ่งที่ยากที่สุดในการควบคุมคือภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้นไร้กำลังช่วยเหลือยิ่งกว่าภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้นเสียอีก

ในตอนนี้เอง มีการขุดแผ่นศิลาออกมาจากบริเวณที่มังกรพลิกกายในหนานโจว ข้างบนนั้นเขียนไว้ว่า “ปีศาจเรืองอำนาจ ราษฎรตกทุกข์ได้ยาก” ถ้อยคำนั้นเป็นสีแดง ประหนึ่งเป็นคำเตือนแก่มนุษย์โลก

“เกิดการถกเถียงเรื่องนี้ในหมู่ราษฎรมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ยามนี้ พระนางฮองเฮาควรว่างเว้นจากงานราชกิจชั่วระยะหนึ่ง เพื่อไม่ให้ความคิดเห็นของผู้คนเกินการควบคุมไปไกล และจะส่งผลกระทบต่อพระนามของฮองเฮา” ขุนนางผู้หนึ่งกล่าว

“ปีศาจเรืองอำนาจราษฎรตกทุกข์ได้ยาก การปรากฏตัวของศิลาแผ่นนี้มาได้ถูกเวลาเสียจริง ใต้เท้าหลี่ นี่เกี่ยวข้องกับข้าอย่างไร? เหตุใดข้าต้องถอนตัวจากราชสำนักเพื่อศิลาแผ่นหนึ่งด้วยเล่า?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยอย่างสุขุม “หรือใต้เท้าหลี่คิดว่าปีศาจที่กล่าวถึงในแผ่นศิลานั้นหมายถึงข้า?”

“กระหม่อมไม่กล้า”

“ข้ากลับเห็นว่าท่านกล้าหาญทีเดียว หรือฝ่ายตรวจการของพวกท่านไม่มีเรื่องอะไรทำแล้ว? เช่นนั้นก็ไปที่หนานโจวช่วยเหลือชาวบ้าน สร้างคุณประโยชน์ให้กับผู้ประสบภัยเถอะ!”

“พระนางฮองเฮา กระหม่อมเป็นเพียงผู้รู้หนังสืออ่อนแอผู้หนึ่ง….”

“ผู้รู้หนังสืออ่อนแอ? เช่นนั้นขุนนางพลเรือนคนใดไม่อ่อนแอบ้าง ท่านขุนนางจากฝ่ายตรวจการผู้หนึ่งคอยดูแลสอดส่องราชสำนัก อีกทั้งยังคอยจับจ้องเพียงข้าอยู่ที่นี่ ในเมื่อท่านว่างถึงเพียงนี้ก็ไปช่วยบรรเทาทุกข์เถิด อย่าได้ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ทั้งวี่วัน เอาแต่เขียนฎีการ้องเรียนผู้อื่น ยามปกติไม่เป็นอะไร ทว่าในยามเช่นนี้ทุกคนล้วนยุ่งวุ่นวาย ไม่มีผู้ใดมีเวลามาพูดคุยเรื่องไร้สาระกับท่านอยู่ที่นี่”

ผู้ตรวจการ “…”

ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวเรียบ ๆ “ข้าเพิ่งได้รับรายงานการรบด่วนจากทางไกลแปดร้อยลี้ ฝ่าบาทนำทหารของพวกเราไปถึงชายแดนและค้นหาฮ่องเต้อาณาจักรฮุ่ยพบแล้ว”

เหล่าขุนนางต่างตกใจ

“ฮองเฮา เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ?”

“รายงานการรบอยู่ที่นี่ พวกท่านตรวจดูได้”

เหล่าขุนนางตรวจดูรายงานการรบ

“ฝ่าบาททรงปราดเปรื่องและกล้าหาญจริง ๆ”

“ฝ่าบาทได้รับพรจากฟ้าจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน”

“ในเมื่อตอนนี้ใต้เท้าทุกท่านมีความยินดีแล้ว เช่นนั้นมาเอ่ยถึงเรื่องบรรเทาทุกข์ดีกว่า!” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “มังกรโลกพลิกกาย ราษฎรสูญเสียทุกอย่างไป เงินในคลังเพียงเล็กน้อยของเรายังต้องเก็บไว้สำหรับซื้อม้าและอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กองทัพ จะต้องใช้อย่างประหยัด ใต้เท้าทุกท่าน ถึงเวลาที่แต่ละจวนจะต้องชดใช้เงินที่ยืมไปจากกรมพระคลังแล้วกระมัง?”

ฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อนโง่เขลาเบาปัญญา ขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารล้วนกอบโกยเงินเข้ากระเป๋าตนเอง ทว่าถึงแม้จะต้องการกอบโกยเงินเข้ากระเป๋าตนเองก็ยังต้องมีเหตุผลกล่าวอ้าง ดังนั้นจึงมีคนยืมในนามซ่อมแซมโถงบรรพบุรุษ บางคนยืมในนามฉลองวันเกิดให้มารดาชรา และมีเหตุผลพิลึกพิลั่นอีกนานัปการ เรื่องนี้ไม่ได้สะสางมาหลายปีแล้ว บัดนี้ถึงเวลาที่พวกเขาจะคืนเงินให้พระคลังได้คลายความตึงเครียดลงบ้างแล้ว

ทั้งขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารต่างมองหน้ากัน

เหตุใดจึงรื้อฟื้นบัญชีเก่าขึ้นมาอีกเล่า?

พวกเขาลืมไปนานแล้วว่าก่อนหน้านี้เคยมีเรื่องเช่นนี้ด้วย

หลังจากเซี่ยเฉิงจิ่นขึ้นครองบัลลังก์ ราชวงศ์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ขุนนางกว่าครึ่งในราชสำนักถูกกำจัด เหลืออีกครึ่งหนึ่งที่มีปัญหาเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น เมื่ออยู่ในขอบเขตที่เซี่ยเฉิงจิ่นพอรับไหว พวกเขาจึงรอดชีวิตมาได้

แน่นอนว่าขุนนางที่ได้รับโทษเหล่านั้นถูกยึดทรัพย์และจำหน่ายทรัพย์สินพวกเขาออกไปแล้ว เงินและทรัพย์สินของสกุลพวกเขาก็เก็บเข้าพระคลัง บัญชีก่อนหน้าย่อมถูกหักล้างไปเรียบร้อย

“ฮองเฮา สามารถชะลอออกไปก่อนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างกล้าหาญ “บ้านกระหม่อมอยู่ในสถานการณ์คับขันจริง ๆ มิเช่นนั้นกระหม่อมย่อมไม่กล้าไปร้องขอกับกรมพระคลัง”

“ใต้เท้าจูคงอยู่ในสถานการณ์คับขันจริง ๆ อย่างไรเสียที่บ้านท่านก็ต้องเลี้ยงอนุถึงสิบห้าคน อนุเล็ก ๆ ของท่านเหล่านั้นล้วนสวมเพชรนิลจินดาที่เบี้ยหวัดของท่านไม่อาจซื้อหาได้” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “มิเช่นนั้น ข้าไปเยี่ยมท่านด้วยตนเองสักวัน พูดคุยกับเหล่าฮูหยินผู้สูงศักดิ์ของท่านเรื่องหนี้ที่ติดค้างนี้เป็นอย่างไร”

“กระหม่อม… กระหม่อมจะกลับไปตรวจสอบอีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจพอรวบรวมมาได้” ขุนนางผู้นั้นเริ่มหวาดผวาแล้ว

แม้กระทั่งเรื่องเรือนหลังของเขามีอนุสิบห้าคน ฮองเฮายังทราบ เช่นนั้นจะยังมีอะไรที่นางไม่รู้อีกเล่า? สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคืออนุลำดับที่สิบห้าของเขาถูกนำตัวไปเมื่อไม่กี่วันก่อน เห็นได้ชัดว่าทุกความเคลื่อนไหวของเขาล้วนอยู่ในสายตาฮองเฮา

ขุนนางคนอื่น ๆ เห็นว่านกที่ยื่นหัวออกมาถูกตีจึงไม่กล้าทำผิดอีก ส่วนเงิน… นั่นย่อมไม่ยอมนำออกมาง่าย ๆ อย่างไรเสียตอนนั้นที่พวกเขา ‘ยืม’ มาก็ไม่เคยคิดที่จะคืนกลับไปอยู่แล้ว

มีเพียงคำเดียวเท่านั้นที่ผุดขึ้นมาในหัว ‘ถ่วงเวลา’

“ฮองเฮา ใต้เท้าเริ่น ใต้เท้าอวี้ และใต้เท้าเจี่ย ล้วนกล่าวว่าไม่มีเงินจ่าย กระหม่อมไปตรวจสอบดูแล้ว พบว่าบ้านแทบว่างเปล่า มีของมีค่าเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น” เสนาบดีกรมพระคลังที่รับผิดชอบเรื่องนี้เองก็ปวดหัวเช่นกัน

ลู่จื่ออวิ๋นหันไปมองไป๋จื่อ

ไป๋จื่อเข้าใจความหมายของนางทันที จึงมอบรายชื่อให้เสนาบดีกรมพระคลัง

เสนาบดีกรมพระคลังดูที่อยู่ด้านบนแล้วยังไม่เข้าใจ

“เหล่านี้ล้วนเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของใต้เท้าทุกท่าน ทั้งหมดเป็นความลับ ไม่ได้เปิดเผยอย่างชัดเจน ใต้เท้าหม่า ต่อไปต้องทำอย่างไร คงไม่ต้องให้ข้าสอนท่านกระมัง? ข้าดูแค่เพียงผลลัพธ์ ไม่ได้ดูกระบวนการ”

“กิจการเหล่านี้เกี่ยวพันถึงการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใส กระหม่อมย่อมตรวจสอบอย่างละเอียดแน่นอน” เสนาบดีหม่าเอ่ยด้วยท่าทีขึงขัง

“ใต้เท้าหม่าใช้กฎหมายอย่างเป็นกลาง เป็นขุนนางที่ฉลาดโดยแท้” ลู่จื่ออวิ๋นแย้มยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะตั้งตารอชมการแสดงของท่านก็แล้วกัน”

ณ จวนอันกั๋วกง ถัวน่าเข้ามาจากด้านนอก บ่าวรับใช้ต่างค้อมคำนับนาง นางพยักหน้าให้อย่างหยิ่งยโสโดยไม่แม้แต่ทักทาย จากนั้นจึงนั่งลงทันที พลางเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าเริ่นที่นั่งอยู่เหนือตนเองว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านเรียกหาข้าหรือ?”

สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเริ่นไม่น่าดูชมนัก สายตาทิ่มแทงไป ทว่าเมื่อนึกถึงจุดประสงค์ของตนเอง นางก็ทำได้เพียงข่มอารมณ์ลงไปเท่านั้น

“เฮ้อ…” ฮูหยินผู้เฒ่าเริ่นถอนหายใจ “เจ้าแต่งเข้าสกุลเรา ทำให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมแล้วจริง ๆ”

ถัวน่าเบ้ปาก “ข้าเลือกเอง ย่อมไม่ใช่การได้รับความไม่เป็นธรรมอะไร”

“ก่อนหน้านี้สกุลเราพอมีกิจการอยู่บ้างจึงไม่ได้ผิดต่อเจ้ามากเกินไปนัก น่าเสียดาย เพราะในไม่ช้าสกุลเราจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว แม้กระทั่งทรัพย์สินนี้คงรักษาไว้ไม่ได้ เกรงว่า… จะต้องผิดต่อเจ้าจริง ๆ”

——————————————

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท