สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 865 กังวลใจ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 865 กังวลใจ

บทที่ 865 กังวลใจ

สายลมยามค่ำคืนพัดหวีดหวิว

เงาต้นไม้ที่ทอดผ่านช่องหน้าต่างไหวไปมา

“อวิ๋นเอ๋อร์! อวิ๋นเอ๋อร์!”

สตรีที่นอนอยู่บนเตียงละเมอทั้งที่ยังหลับ ดูไม่สบายเป็นอย่างยิ่ง ราวกับกำลังฝันถึงสิ่งที่นางไม่ต้องการเห็น

เทียนถูกจุดขึ้น ห้องที่มืดมิดกลับมาสว่างไสวอีกครั้ง

ลู่อี้เขย่าตัวมู่ซืออวี่แล้วเรียกเบา ๆ “ฮูหยิน ฮูหยิน…”

มู่ซืออวี่ลืมตาขึ้นมาโดยพลัน เห็นเพียงลู่อี้นั่งอยู่ที่ขอบเตียง มือข้างหนึ่งจับแขนนาง อีกมือถือถ้วยชา นางจึงพึมพำถาม “ข้าเป็นอะไรไป?”

“เจ้าคงฝันร้าย” ลู่อี้พยุงนางลุกขึ้นนั่ง “มาเถอะ ดื่มชาสงบใจสักหน่อย”

มู่ซืออวี่ลุกขึ้นนั่งช้า ๆ ดื่มชาในถ้วยลงไป “รินให้ข้าอีกถ้วย”

ลู่อี้ยกกาน้ำชามา มองนางดื่มชาไปห้าถ้วยแล้วจึงค่อยสงบลง

“ข้าได้ยินเจ้าเรียกอวิ๋นเอ๋อร์ คิดถึงนางแล้วใช่หรือไม่?”

“คิดถึงน่ะคิดถึง นางแต่งไปอาณาจักรเฟิ่งหลินที่ไกลแสนไกล บัดนี้ลูกเขยยังนำทัพออกรบ นางย่อมต้องคอยจัดการราชสำนักให้เขา ข้ารู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก”

“หากเจ้ากังวลก็ไปหานาง นับตั้งแต่เส้นทางเดินทะเลเปิดขึ้น เวลาที่เราใช้เดินทางไปยังอาณาจักรเฟิ่งหลินก็สั้นลง จากที่เคยใช้เวลาหลายเดือน บัดนี้หากใช้เส้นทางทะเลจากเมืองซานหลินก็จะถึงเมืองที่ติดกับทะเลเมืองแรกของอาณาจักรเฟิ่งหลินภายในเวลาเพียงสองเดือน จากที่นั่นไปถึงเมืองหลวง ใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น”

“ท่านกล่าวได้ถูกต้อง ข้าเป็นห่วงอวิ๋นเอ๋อร์ เช่นนั้นก็ไปดูเสียก็จบ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ท่านไปไม่ได้ อย่างไรเสียฝ่าบาทก็ไม่อยู่ที่นี่ ท่านต้องคอยดูแลสถานการณ์โดยรวม เช่นนั้นเรื่องที่บ้านต้องมอบให้ท่านแล้ว กิจการข้าแทบฝากฝังทุกอย่างไว้กับกู่หยวนและเฟิงเจิง พวกเขาล้วนเป็นคนที่ข้าที่ชุบเลี้ยงมา ข้าวางใจ ส่วนชิงเอ๋อร์ข้าตั้งใจจะพานางไปกับด้วยกัน จิ่งเอ๋อร์ไม่ต้องไปให้เขาอยู่ที่นี่ขยันเล่าเรียนก็พอ”

“พาจิ่งเอ๋อร์ไปด้วยเถิด ดังคำกล่าวที่ว่า อ่านตำราหลายพันเล่มไม่สู้เดินทางไกลหลายพันลี้ เด็กคนนั้นมีนิสัยเรียบง่าย ให้เขาออกไปท่องโลกภายนอกเถิด บางทีอาจช่วยให้เขาเติบโตขึ้นได้”

มู่ซืออวี่ตัดสินใจไปยังอาณาจักรเฟิ่งหลิน นางนอนไม่หลับจึงให้ลู่อี้นอนก่อน ส่วนตนเองลุกขึ้นเขียนรายการสิ่งของที่ต้องนำไปยังอาณาจักรเฟิ่งหลินเพื่อป้องกันความผิดพลาด

ลู่อี้จะหลับลงได้อย่างไร เขาวางโต๊ะเขียนหนังสือลงบนเตียง คลุมตนเองอยู่ใต้ผ้านวม ปรึกษากับมู่ซืออวี่ว่าต้องเตรียมสิ่งใดบ้าง

มู่ซืออวี่เป็นคนบอก ลู่อี้เป็นคนเขียน

เพียงระเวลาสั้นๆ กระดาษขาวแผ่นหนึ่งก็เต็มไปด้วยข้อความแน่นขนัด

ลู่อี้หันกลับไปก็เห็นมู่ซืออวี่นอนหลับอยู่ตรงนั้น จึงยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้

เขาค่อย ๆ ขยับโต๊ะเขียนหนังสือบนเตียง แล้วค่อย ๆ ให้มู่ซืออวี่นอนลง จากนั้นก็ห่มผ้าให้นาง

“ลำบากเจ้าแล้ว” เขาก้มลงจูบหน้าผากภรรยา

หลายปีมานี้ นางกังวลเรื่องกิจการ ทั้งยังเป็นกังวลเรื่องของลูก ๆ ในช่วงเวลาที่ไร้ข่าวคราวของเขา นางไม่เพียงเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา แต่ยังต้องรับผิดชอบต่อชีวิตและความเป็นตายของเมืองหนึ่ง ตัวตนของนางพิสูจน์ให้ใต้หล้าเห็นถึงความสำคัญของสตรี ใต้หล้านี้ไม่เคยมีคำกล่าวที่ว่าบุรุษแข็งแกร่งกว่าสตรี ครั้นเมื่อสตรีแข็งแกร่งขึ้นมา บุรุษก็ทำได้เพียงละอายใจเท่านั้น

ยามรุ่งสาง มู่ซืออวี่ลุกขึ้นจากเตียง

ลู่อี้ออกไปแล้ว

“ฉานอี ซางจือ…”

“ฮูหยิน พวกบ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ”

สาวใช้หลายคนกำลังเก็บข้าวของ

มู่ซืออวี่ลุกจากเตียงแล้วสวมรองเท้า หันไปมองพวกนางด้วยความสงสัย “พวกเจ้าทำอะไรอยู่น่ะ?”

“เหล่านี้ล้วนเป็นเสื้อผ้าที่ฮูหยินสั่งทำให้คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ พวกบ่าวกำลังเก็บมัน เตรียมนำไปยังอาณาจักรเฟิ่งหลินเจ้าค่ะ”

“พวกเจ้ารู้กันหมดแล้วหรือ?”

“นายท่านบอกพวกบ่าวก่อนออกไปเจ้าค่ะ” ซางจือเอ่ย “เขากล่าวว่าฮูหยินคิดถึงคุณหนูใหญ่ ตอนที่ตื่นจึงให้พวกเราเตรียมจัดข้าวของ พวกบ่าวคิดว่าฮูหยินคงนอนหลับไม่สนิทนักจึงไม่ได้ปลุกท่าน และค่อย ๆ ทยอยเก็บสัมภาระก่อนเจ้าค่ะ”

“นี่เป็นรายการของที่ข้ากับนายท่านจดเมื่อคืนนี้ พวกเจ้าดูหน่อยว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องไปหรือไม่”

สาวใช้หลายคนหารือกัน จากนั้นจึงเพิ่มรายการเข้าไป เขียนเพิ่มอีกสองสามหน้ากระดาษ

“พวกเราจะใช้เส้นทางน้ำ จัดการให้เรียบง่ายกว่านี้จะดีกว่า ของบางอย่างที่อาณาจักรเฟิ่งหลินมีก็ไม่ต้องนำไป เช่นนี้จะได้ขนย้ายได้ง่ายขึ้น” เจ๋อหลานกล่าว

“พวกเราต้องอยู่บนท้องทะเลถึงสองเดือน จากนั้นจึงค่อยใช้เส้นทางบกอีกครึ่งเดือน ถึงแม้คุณหนูใหญ่จะไม่ต้องการของเหล่านี้ ทว่าคุณหนูรองและและนายน้อยรองยังต้องใช้มันกระมัง?”

ทุกคนนึกถึงลู่จื่อชิงและลู่ฉาวจิ่ง จึงนำของไปเพิ่มอีกมากมาย

การที่มู่ซืออวี่จะพาลูก ๆ ไปยังอาณาจักรเฟิ่งหลินนั้นเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องบอกกล่าวซูจือหลิ่วและอันอวี้ก่อนออกเดินทาง

“จากที่นี่ไปยังอาณาจักรเฟิ่งหลินมีเส้นทางยาวไกล ของต่าง ๆ ยังซื้อตามทางได้ ทว่าผู้คุ้มกันที่คอยคุ้มครองพวกท่านจำต้องพาไปให้พอ ทำได้เพียงนำไปให้มาก ไม่อาจนำไปน้อย เช่นนี้จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาด” ซูจือหลิ่วกล่าว

“เจ้าวางใจเถิด ตอนอวิ๋นเอ๋อร์ออกเรือนได้นำสินเดิมสามลำเรือไปด้วย ครานี้ข้านำเรือห้าลำไปกับข้า นอกจากนี้ยังเลือกมือดีไว้ส่วนหนึ่ง ถึงตอนนั้นข้าจะทิ้งบางส่วนไว้ให้นาง ดังนั้นจะต้องเพียงพออย่างแน่นอน”

“ท่านพาคนมากมายเพียงนี้ไปให้เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ทางอาณาจักรเฟิ่งหลินจะไม่ขัดข้องอะไรหรือ? อย่างไรเสียถึงแม้ทั้งสองอาณาจักรจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน แต่เรื่องบางเรื่องระหว่างสองอาณาจักรก็อ่อนไหวยิ่ง หากมีคนไม่ประสงค์ดีกล่าวว่าท่านนำคนมากมายเพียงนั้นไปเป็นสายลับ นั่นจะไม่นำปัญหาไปให้เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ของเราหรือ?”

“ข้าอยากรู้นักว่าผู้ใดจะกล้าเอ่ย” มู่ซืออวี่กล่าว “อาณาจักรเฟิ่งหลินขอลูกสาวข้าไปแต่งงาน บัดนี้ลูกเขยของข้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ข้าเป็นห่วงนาง เพียงแค่เตรียมคนไปปกป้องนางให้มากหน่อย หากมีผู้ใดกล้ากล่าวพล่อย ๆ เช่นนั้นข้าย่อมไม่เกรงใจ”

“มีข่าวอะไรจากทางพี่ชายเจ้าหรือไม่?” ซูจือหลิ่วเอ่ยถามอันอวี้

อันอวี้ส่ายหน้า “ข้าเคยถามพี่สะใภ้แล้ว นางก็ไม่เคยได้รับจดหมายจากพี่ชายข้าเช่นกัน”

“ทางพี่สะใภ้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” มู่ซืออวี่เทเครื่องดื่มให้อันอวี้หนึ่งจอก

นั่นเป็นน้ำผลไม้คั้นสดที่ใช้เครื่องคั้นน้ำผลไม้ที่นางทำขึ้นมาใหม่คั้นออกมา รสชาติที่ได้จากผลไม้หลายชนิดทำให้เป็นที่นิยมในหมู่สตรีนับไม่ถ้วน

ที่เรือนพักผ่อนบนภูเขามีขายนานแล้ว ว่ากันว่ามันกลายเป็นของที่เหล่าฮูหยินจะต้องมี

“นางไม่ยอมออกจากบ้าน วัน ๆ เอาแต่เลี้ยงลูก แตกต่างจากเมื่อก่อนนี้อย่างสิ้นเชิง” อันอวี้เอ่ย “บางทีหลังจากกลายเป็นแม่คนแล้ว นางอาจมีรากงอกขึ้นมาเหมือนจอกแหนก็เป็นได้”

“มิเช่นนั้น ข้าไปอาณาจักรเฟิ่งหลินกับท่านเป็นอย่างไร” ซูจือหลิ่วเอ่ย “พอดีจะได้พาเด็ก ๆ สองคนนั้นออกไปดูโลกกว้างด้วย”

“ข้าเห็นด้วย แต่เกรงว่านายท่านรองลู่บ้านพวกเจ้าจะไม่เห็นด้วย” มู่ซืออวี่เอ่ย “จากไปครานี้อาจต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะกลับมา บางทีอาจนานกว่าหนึ่งปี เขาจะยินยอมหรือ?”

“ข้าคงรั้งอยู่ที่นี่รอสามีของข้ามีชัยกลับมา” อันอวี้เอ่ย “ตอนนี้ข้าเอาแต่คิดถึงเขาทุกวัน ถึงแม้จะพาข้าออกไปเที่ยวเล่น ใจข้าก็ไม่ได้อยู่ข้างนอก”

หากจะกล่าวว่าผู้ใดมีความสุขที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นลู่จื่อชิงแล้ว

ณ สำนักศึกษาหลวง ลู่จื่อชิงถือตะเกียบ เล่าให้คนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งฟังว่านางกำลังจะออกเดินทางไกล จะไปขจัดความชั่วพิทักษ์ความดี เป็นจอมยุทธ์ในยุทธภพ บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชําระ

“เจ้ากำลังจะติดตามมารดาเจ้าไป อีกทั้งระหว่างเดินทางยังพาผู้คุ้มกันไปมากเพียงนั้น แม้ว่าเจ้าต้องการขจัดความชั่วพิทักษ์ความดีเพียงใดก็คงไม่ถึงคราวของเจ้า” หลี่เยียนหรานยิ้มเยาะ

“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร?” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ข้าว่าเจ้าแค่อิจฉาข้ากระมัง?”

——————————————

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท