ฮูหยินจูเก่อตกตะลึงเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย การเคลื่อนไหวของนางหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่นางจะส่งสายตามองไปที่หนีเฟิ่งอย่างเงียบๆ
หนีเฟิ่งสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไป
ก่อนที่นางจะทันได้พูดอะไรขึ้น ฮูหยินจูเก่อก็ร่ำไห้ออกมา ”เช่นนั้นเราก็ควรทำตามที่คุณหนูหนีบอก กลับเข้าเมืองกันก่อนก็แล้วกัน”
หนีเฟิ่งหลุบตาลง นางรู้ว่าฮูหยินจูเก่อกำลังรู้สึกทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส ”ฮูหยินจูเก่ออย่าได้เสียใจไปเลย ฝากดูแลเด็กๆ เหล่านี้ให้ดีด้วยเจ้าค่ะ ข้าจะไปช่วยคนที่เหลือปกป้องเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย”
ครั้งนี้หนีเฟิ่งไม่ได้โกหก
เพราะมีเพียงการปกป้องเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเท่านั้นที่เป็นหนทางเดียวที่นางจะสามารถตัดพระสารีริกธาตุออกมาได้อย่างสมบูรณ์
ปีศาจที่ถูกปราณแห่งความชั่วร้ายดึงดูดจะมารวมตัวกันทั่วทุกซอกทุกมุมภายในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น พวกนางที่ทำหน้าที่คุ้มกันอยู่รอบตัวเมืองย่อมสามารถขัดขวางหายนะนั้นได้
เก้าชั่วยามหลังจากนั้น เมื่อนางดูดกลืนพลังวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหมด นางก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตและโชคชะตาของตัวเองได้ จากนั้นพลังธรรมะก็จะอาบไล้ไปทั่วร่างนาง และได้กลายเป็นพระชายาตัวจริง!
”ท่านแม่ขอรับ ท่านพี่ถูกวิญญาณร้ายสิงจริงหรือ” เด็กตัวน้อยที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของฮูหยินจูเก่อถามพร้อมกับดวงตาสีแดง
ฮูหยินจูเก่อมองเด็กชายที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง แล้วส่ายหน้าเล็กน้อยตอนที่ไม่มีใครมอง
ไม่มีอะไรจะสามารถสิงร่างของจูเก่ออวิ๋นได้
เมื่อห้าร้อยปีก่อนตอนที่ต้นโพธิ์เกิดใหม่ เขาทิ้งพระสารีริกธาตุของตัวเองไว้กับตระกูลจูเก่อ มันได้รับการสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นและคุ้มกันสมาชิกของตระกูลมาหลายสมัย
แม้จะมีสมาชิกคนใดคนหนึ่งสิ้นใจ แต่ก็จะไม่มีภูตผีวิญญาณตนใดสามารถเข้าสิงพวกเขาได้
เรื่องนี้เป็นความลับของตระกูลจูเก่อ
มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่คนเป็นแม่อย่างนางสามารถทำให้จูเก่ออวิ๋นได้ก่อนที่ลูกชายคนโตของนางจะออกเดินทาง
ตอนแรกนางเกือบจะเชื่อคำพูดของหนีเฟิ่งอยู่แล้ว
นางพร้อมยอมรับว่าบุตรชายจะไม่กลับมาอีก
จนถึงประโยคสุดท้ายที่หนีเฟิ่งบอกว่าจูเก่ออวิ๋นถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงทำให้ฮูหยินจูเก่อเกิดความสงสัยขึ้นมา
อวิ๋นเอ๋อร์ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง
เรื่องนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด!
และนั่นอธิบายได้เพียงอย่างเดียวว่าหนีเฟิ่งไม่ได้พูดความจริง!
ฮูหยินจูเก่อคิดว่าหนีเฟิ่งดูเปลี่ยนไปหลังจากที่นางกลับมา
เวลานี้นางทั้งดูอ่อนโยนและมีเสน่ห์ล่อลวงมากขึ้น
มิหนำซ้ำแสงที่แผ่ออกมาจากร่างของนางก็ยังทำให้นางดูศักดิ์สิทธิ์ราวพระพุทธเจ้า
หากไม่ใช่เพราะความลับของตระกูลจูเก่อ นางก็คงหลงเชื่อคำพูดของหนีเฟิ่ง
ฮูหยินจูเก่อไม่กล้าคิดถึงสิ่งที่จะตามมา แต่นางรู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งกว่าครั้งใด
หนีเฟิ่ง... นางต้องการทำอะไรกันแน่
ครืน!
เสียงดังราวฟ้าผ่าสะเทือนไปทั่วอากาศอีกครั้ง!
มันเหมือนกับทัณฑ์สายฟ้าจากสวรรค์ทั้งเก้าชั้นที่กระหน่ำฟาดลงมาบนพื้นโลกครั้งแล้วครั้งเล่า และสร้างความเสียหายอันใหญ่หลวงให้กับภูเขาและแม่น้ำทุกสาย
หิมะที่ถล่มลงมาจากภูเขาเริ่มเคลื่อนตัวเข้าหาพื้นดินเหมือนกำลังกลืนกินสวรรค์
ปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนขวางจูเก่ออวิ๋นและพรรคพวกไว้เป็นกำแพง พวกมันน้ำลายไหลหยดย้อยขณะจ้องมองพวกเขา
เมื่อเหลือคนอยู่เพียงแค่หยิบมือ การหาทางออกจากสุสานจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป หลังจากแผ่นดินไหวอยู่ราวหนึ่งก้านธูป พวกเขาก็มาถึงพื้นโลกในที่สุด แต่ทิวทัศน์กลับเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหลือเค้าเดิม เพราะในเวลานี้ ต้นไม้ทุกต้นต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
ดังนั้นพวกเขาจึงสังเกตเห็นปีศาจตัวมหึมาที่ซ่อนอยู่ในป่าได้อย่างง่ายดาย
”ข้านึกไม่ถึงเลยว่าจะมีอะไรให้กินทันทีที่มาถึงโลกมนุษย์ มิหนำซ้ำผู้ขับไล่วิญญาณร้ายพวกนี้ก็ยังมีพลังวิญญาณเต็มเปี่ยมอีกด้วย” ปีศาจทุกตัวเลียกรงเล็บของตัวเอง ดวงตาของพวกมันเรืองแสงสีแดงและเต็มไปด้วยความกระหายเลือด
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอันดับต้นๆ จากเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย แต่การจะให้พวกเขาแค่ห้าคนมารับมือกับปีศาจมากกว่าสิบตัวนั้นย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ อีกอย่างหนึ่ง พวกเขาก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดหมดไปตั้งแต่ตอนที่อยู่ในสุสานโบราณแล้ว
จูเก่ออวิ๋นที่เพิ่งขึ้นมาถึงพื้นดินยังคงมองหาร่องรอยของพวกเฮ่อเหลียนเวยเวย นับว่าโชคดีทีเดียวที่เว่ยเวยไม่ได้อยู่กับพวกเขาในเวลานี้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงได้กลายเป็นอาหารว่างของปีศาจเหล่านี้ก่อนสิ่งใด
”กินคนไหนก่อนดี ข้ารอไม่ไหวแล้ว”
”เจ้าจะลังเลไปทำไม เราชิมพวกมันคนละนิดละหน่อยก็ยังได้ หลังจากนั้นพวกเราค่อยไปร่วมขบวนร้อยอสูรที่เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายในคืนนี้กัน!”
ปีศาจตัวใหญ่เหล่านั้นดูเหมือนจะมีแผนการอื่นอยู่ ดังนั้นพวกมันจึงไม่ลังเลมากนักเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาทั้งห้าคน แล้วกระโจนเข้าใส่พวกจูเก่ออวิ๋น!
จริงอยู่ที่พลังวิญญาณของจูเก่ออวิ๋นนั้นแข็งแกร่ง แต่เขาก็แทบจะป้องกันตัวเองไม่ได้ ขณะเดียวกันนั้นปีศาจที่เหลือก็พุ่งเข้าใส่เขาพร้อมกัน
กระบี่ไม้ท้อในมือของเขาร่วงลงกับพื้นจนเกิดเป็นเสียงดังเคร้ง ทุกคนต่างคิดว่าตัวเองจะต้องตาายแน่
โครม! เสียงดังสนั่นก้องไปทั่วบรรยากาศ!
ดูเหมือนปีศาจทุกตัวถูกพลังอันไม่รู้ที่มาขับไล่กลับไป!
”ใครกัน ใครที่ไหนมันกล้ามาขัดขวางแผนการของพวกเรา!”
ปีศาจยกกรงเล็บขึ้นกุมใบหน้าของพวกมันพร้อมกับลุกขึ้นยืน ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
สิ่งเดียวที่พวกมันมองเห็นคือภาพของร่างเพรียวร่างหนึ่งที่กำลังเดินลงมาจากหิมะหนาวจัด ใบหน้าของเขางดงามอย่างมากราวกับถูกสลักมาจากน้ำแข็ง ผมยาวที่มีหิมะจับทิ้งตัวลงด้านหลัง เสียงกระพือปีกจำนวนนับไม่ถ้วนสะท้อนดังอยู่ในอากาศ ก่อนที่อีกาจำนวนนับหมื่นจะบินตรงเข้ามาสู่สายตาของพวกเขา ปีกสีดำเหล่านั้นปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าพร้อมกับขนนกที่ปลิวลงมาราวกับสายฝน หมอกสีดำหนาทึบปกคลุมพวกเขาไว้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเหมือนพายุหิมะ
ในเวลานั้น จูเก่ออวิ๋นรู้สึกเหมือนตัวเองได้เห็นทะเลเลือดแห่งแดนปีศาจที่ทุกคนเล่าลือกัน เขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากการสังหารหมู่
เขาไม่ใช่ชายที่เขารู้จักอีกต่อไป
เขาเป็นปีศาจ
ทันใดนั้น ในที่สุดจูเก่ออวิ๋นก็ตระหนักได้ว่านั่นไม่ใช่ภาพลวงตา
ชายที่ติดตามเขาเข้าไปในสุสานหลวงเป็นปีศาจตัวจริงเสียงจริง
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังเป็นปีศาจที่ไร้เมตตาต่อศัตรู และดับลมหายใจของพวกเขาได้โดยที่ตาไม่กะพริบ
”ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ากินเข้าไปแล้วหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกร่างของปีศาจตัวยักษ์ขึ้นในอากาศ สายลมกรรโชกยังคงไม่หยุดพัด พวกมันพัดเอาเลือดสดๆ กระเด็นไปโดนใบหน้าของเขา สายตาของเขานั้นยากจะอ่านได้ แม้กระทั่งปีศาจก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอย่างรุนแรงต่อบรรยากาศอันน่าเกรงขามนั้นของเขา
”ไม่… ไม่… อ๊าก!”
ก่อนที่ปีศาจตัวนั้นจะทันได้พูดจบ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็กรีดหน้าท้องของมันออกโดยใช้มือแค่ข้างเดียวและกำลังหาอะไรบางอย่างจากในท้องของมันอยู่ ความกังวลของเขาลดน้อยลงในทุกครั้งที่สังหารปีศาจเหล่านั้น แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ดูจะยิ่งหมดความอดทนขึ้นทุกที
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนรวมถึงจูเก่ออวิ๋นตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นภาพนั้น
ไม่มีมนุษย์คนใด หรือปีศาจตนใดจะสามารถควักอวัยวะภายในของปีศาจตัวมหึมาออกมา และทำเหมือนพวกมันเป็นเพียงแค่ไก่ตัวหนึ่งได้เช่นนี้
เขาโหดเหี้ยมเกินไป
จูเก่ออวิ๋นรู้สึกได้ถึงความเย็นที่แล่นไปตามแนวกระดูกสันหลังของตัวเองได้ ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่
”ไม่หรือ ยังไม่ใช่หรือ เช่นนั้นข้าจะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดก็แล้วกัน”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระชากหัวใจของปีศาจหลายสิบตัวออกมาในพริบตาเดียว แต่เขากลับยังดูไม่พอใจนัก นิ้วที่ชุ่มไปด้วยเลือดของเขาทิ้งลงข้างตัว ดวงตาคู่งามไม่ได้เป็นสีดำสนิทหรือเป็นสีทองอีกต่อไป ทว่ากลับเป็นสีแดง
เขากำลังหัวเราะอยู่!
เวลานี้ เสียงหัวเราะทุ้มต่ำนั้นกลับยิ่งทำให้พวกเขาไม่สบายใจ
ในที่สุดจูเก่ออวิ๋นก็เข้าใจว่าสิ่งที่เขากำลังมองหาอยู่คืออะไร เขารวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า ”ใจเย็นๆ ก่อนเถิด พวกเรายังมั่นใจไม่ได้นี่ขอรับว่าพี่เว่ยถูกปีศาจกินเข้าไปแล้ว”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ หันไปมองจูเก่ออวิ๋น พลังปีศาจบนใบหน้าของเขายังคงรุนแรงอย่างมาก
ตอนนั้นเอง จูเก่ออวิ๋นจึงตระหนักได้ว่าเขาจี้ใจดำไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้าให้เสียแล้ว
ทันใดนั้น มือเล็กๆ ที่สวมแหวนรูปหัวกะโหลกก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ น้ำเสียงอ่อนวัยแต่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามดังขึ้นว่า ”ราชาปีศาจ! ดึงขาออกไปที ข้าอุ้มภรรยาของเจ้าอยู่ และตอนนี้นางกำลังจะจมลงไปแล้ว!”