บทที่ 999 พี่ชายของสุดยอดผู้แข็งแกร่ง
ฉู่ซื่อเหรินปะทะจ้าวเซวียนหยวน ว่ากันตามหลักแล้ว จ้าวเซวียนหยวนแข็งแกร่งกว่า ถึงอย่างไรช่วงที่ผ่านมาเขาก็ตระหนักรู้ในอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค
ทว่าความเป็นจริงกลับทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง ฉู่ซื่อเหรินเป็นฝ่ายชนะ
อำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคของจ้าวเซวียนหยวนเห็นได้ชัดว่าสู้เต้าจื้อจุนไม่ได้ อีกทั้งพุทธวิธีของฉู่ซื่อเหรินก็อยู่ในระดับมหามรรคแล้ว ถึงแม้จะเป็นอริยะมหามรรคระยะต้น ทว่าพลังเวทเทียบได้กับอริยะมหามรรคระยะปลาย น่าอัศจรรย์นัก
แต่เนื่องจากจ้าวเซวียนหยวนก็ไม่มีชื่อเสียงเช่นกัน ฉู่ซื่อเหรินจึงไม่ได้รับเสียงฮือฮาเช่นเดียวกับเต้าจื้อจุน ถึงขั้นที่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไม่คิดว่าเขาจะมีกำลังพอเข้าไปแย่งชิงตำแหน่งสิบยอดฟ้าด้วยซ้ำ
การต่อสู้ดำเนินต่อไป
ในช่วงหลังแทบจะมีศิษย์สำนักซ่อนเร้นลงสนามประลองแทบจะทุกๆ สองรอบการต่อสู้ บรรดาผู้ชมที่อยู่ในเมืองทศพิธล้วนสะท้อนใจอย่างยิ่ง
หากไม่มีงานชุมนุมฟ้าบุพกาล ความแข็งแกร่งของสำนักซ่อนเร้นจะถูกเก็บซ่อนไว้อีกนานแค่ไหน
หานหลิงก็ตกใจเช่นกัน สรุปแล้วท่านพ่อรวบรวมบุตรแห่งสวรรค์มากมายปานนี้มาได้อย่างไร
ในบรรดาบุตรแห่งสวรรค์ร้อยลำดับแรกแห่งฟ้าบุพกาล สำนักซ่อนเร้นครองตำแหน่งไปแล้วกว่ายี่สิบคน…
หานหลิงมองไปที่หานเจวี๋ย สีหน้าหานเจวี๋ยสงบนิ่ง จ้องมองฉากบนท้องนภาราวกับกำลังใจลอย
ครึ่งเดือนต่อมา
มีบุตรแห่งสวรรค์เหลืออยู่ยี่สิบห้าคน มีคนหนึ่งในบรรดานั้นตกรอบไปก่อน จ้าวซวงเฉวียนจึงได้รับตำแหน่งนี้มาเพราะโชคช่วย
หลังจากนั้น อัตราการปะทะกันเองของศิษย์สำนักซ่อนเร้นก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
กวนปู้ไป้ปะทะเทพมารกายา กวนปู้ไป้เป็นฝ่ายชนะ
ลี่เหยาปะทะเทพมารเก้าหยิน ลี่เหยาเป็นฝ่ายชนะ
เทพมารขุนพลสวรรค์ประทะเจียงอี้ เทพมารขุนพลสวรรค์เป็นฝ่ายชนะ
….
ณ คฤหาสน์ภายในเมืองทศพิธ
จ้าวเซวียนหยวน เจียงอี้ เหล่าตานยืนล้อมเต้าจื้อจุน ศิษย์สำนักซ่อนเร้นคนอื่นๆ ที่อยู่ไม่ไกลออกไป ทั้งหมดล้วนกำลังเงยหน้ามองฉากต่อสู้บนท้องนภา
“จุ๊ๆ ไม่คิดเลยว่าในบรรดาพวกเจ้าสามพี่น้องจะมีเพียงเต้าจื้อจุนที่ผ่านเข้ารอบชิงสิบยอดฟ้าได้”
เหล่าตานกล่าวด้วยความสะท้อนใจ เขาอยู่กับทั้งสามคนมานานนับสิบล้านปี รู้ซึ้งถึงคุณสมบัติและความร้ายกาจของทั้งสามคนนี้ เดิมทีเขาคิดว่าทั้งสามล้วนจะผ่านเข้าไปชิงสิบยอดฟ้าได้
ไม่คิดเลยว่า…
จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้ก็หดหู่มากเช่นกัน
เต้าจื้อจุนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ถึงอย่างไรท่านอาจารย์ก็คอยใส่ใจเหล่าศิษย์มาโดยตลอด พลังวิญญาณภายในอาณาเขตเต๋าจะยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่เขาทะลวงระดับสำเร็จ อีกทั้งเขายังคอยเทศนาธรรมให้เป็นครั้งคราวด้วย การเทศนาธรรมจากสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาล ต่อให้เป็นหมาแมวไก่กาก็สามารถโบยบินรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้”
มีสายตาสองคู่มองมาที่เขา แต่เขาไม่แยแสเลยสักนิด
เหล่าตานมองบรรดาอริยะมหามรรคแห่งสำนักซ่อนเร้น เอ่ยรำพัน “สิบยอดฟ้าในครานี้ สำนักซ่อนเร้นคงได้ครอบครองไปกว่าครึ่ง”
ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าจอมอริยะเสวียนตูเฉลียวฉลาดจริงๆ
เกาะที่พึ่งทรงอำนาจอย่างหานเจวี๋ยไว้ มีอนาคตกว่าอยู่ในนิกายเหรินมากนัก
ศึกชิงสิบยอดฟ้ายังคงดำเนินต่อไป
ภายในเมืองทศพิธเริ่มมีการคาดเดาถึงตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคไปต่างๆ นานาแล้ว ถึงขั้นที่มีการวางเดิมพันด้วย
เรื่องที่ควรค่าให้กล่าวถึงคือผู้ที่มีอัตราเดิมพันสูงสุดมิใช่หานฮวง แต่เป็นอู๋เซียงเทียนเซี่ยที่มีอัตราเดิมพันสูงที่สุด
อู๋เซียงเทียนเซี่ยแข็งแกร่งเหลือเกิน ปิดฉากการต่อสู้ทุกรอบรวดเร็วยิ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคู่ต่อสู้โจมตีเขาไม่ได้เลย
อัตราการเดิมพันของหานฮวงและเต้าจื้อจุนอยู่ในอันดับที่สองและสามไล่ลงไปตามลำดับ
อีกด้านหนึ่ง
ณ เขตชายขอบก้นบึ้งฟ้าบุพกาล ท่ามกลางหมอกหนาทึบอบอวลมีไอดำมืดทะมึนเดือดพล่านอยู่ หากมองเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นว่าไอดำเหล่านี้ผุดขึ้นมาจากโพรงหลายสิบแห่งที่อยู่บนพื้น ดูราวกับควันที่ลอยขึ้นมาจากปากปล่องภูเขาไฟ
ไอดำเดือดพล่านรุนแรง มองเห็นเลือนลางว่ามีเงาร่างของคนผู้หนึ่งล่องลอยอยู่ในนั้น
เงาร่างของคนผู้นี้ขยายใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไม่นานนักก็ใหญ่โตราวกับขุนเขาลูกหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางหมอกดำทะมึน
“ฟ้าบุพกาล… สมควรถูกล้มล้างได้แล้ว…”
เสียงแหบพร่าแว่วลอยเชื่องช้า น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความชิงชังชวนขนลุก
….
ภายในห้องโถง เหล่าผู้ทรงพลังกำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงนามหนึ่งอยู่ นั่นคือมู่หรงฉี่
มู่หรงฉี่เพิ่งเอาชนะเทพมารฟ้าบุพกาลตนหนึ่งของสำนักซ่อนเร้นได้ จากนี้ ขอเพียงเอาชนะได้อีกศึกเดียวก็จะกลายเป็นสิบยอดฟ้าแล้ว
หานเจวี๋ยพอใจกับผลงานของมู่หรงฉี่ยิ่งนัก เขาพบว่ามีลูกศิษย์หลายคนที่สร้างความประหลาดใจให้กับเขาได้
หลังจากนั้น งานชุมนุมฟ้าบุพกาลเหลือบุตรแห่งสวรรค์อยู่สิบสามราย ในบรรดานั้นมีจ้าวซวงเฉวียนที่ตีตั๋วเปล่าเข้ามา
การต่อสู้รอบสุดท้ายไม่ใช่การต่อสู้กันเองของสำนักซ่อนเร้นแล้ว ดำเนินอยู่ครึ่งวันถึงได้สิ้นสุดลง
ตอนนี้เหลือผู้ชนะทั้งหมดสิบสองราย ในบรรดานั้นมีตัวแทนจากสำนักซ่อนเร้นเจ็ดคน แบ่งออกเป็นหานฮวง เต้าจื้อจุน กวนปู้ไป้ ฉู่ซื่อเหริน ลี่เหยา มู่หรงฉี่และเทพมารขุนพลสวรรค์
หากนับรวมจ้าวซวงเฉวียนเข้าไปด้วยก็มีทั้งหมดแปดคน อำนาจรากฐานน่าหวาดหวั่นจนทำให้กลุ่มอิทธิพลต่างๆ หนาวสะท้าน
พวกเขาได้เห็นการต่อสู้ทุกรอบมากับตา ทราบว่าพลังของศิษย์สำนักซ่อนเร้นทั้งแปดคนไม่ใช่ของปลอม เทพมหาทัณฑ์ก็ไม่ได้จงใจผลักดันศิษย์สำนักซ่อนเร้นด้วย มิเช่นนั้นจำนวนครั้งที่สำนักซ่อนเร้นต้องปะทะกันเองคงลดลงไปมาก ศิษย์สำนักซ่อนเร้นแปดคนนี้ได้แสดงฝีมือออกมาอย่างเต็มที่ แทบทั้งหมดล้วนโดดเด่นขึ้นมาจากการบดขยี้ศิษย์ร่วมสำนัก
“ตอนนี้มีบุตรแห่งสวรรค์ที่เข้ารอบชิงสิบยอดฟ้าทั้งหมดสิบสามคน จ้าวซวงเฉวียนที่ตีตั๋วเปล่าเข้ามารวมถึงลี่เหยาและฉู่ซื่อเหรินที่มีตบะอ่อนด้อยที่สุด จะต้องเป็นฝ่ายเลือกท้าประลองกับบุตรแห่งสวรรค์ที่เหลือ ผู้ชนะจะได้เป็นสิบยอดฟ้า ถูกแต่งตั้งเป็นดวงจิตมหามรรค ผู้แพ้จะตกรอบ ดำรงตำแหน่งร้อยศักดา!”
เสียงของเทพมหาทัณฑ์ดังก้องไปทั่วเมือง ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอย่างร้อนแรง
ทั้งสามล้วนเป็นบุตรแห่งสวรรค์จากสำนักซ่อนเร้น หากว่าพวกเขาเลือกท้าประลองบุตรแห่งสวรรค์อีกสี่รายที่ไม่ได้มาจากสำนักซ่อนเร้นแล้วเอาชนะได้ล่ะก็…
ในสิบยอดฟ้าจะมีบุตรแห่งสวรรค์จากสำนักซ่อนเร้นไปแล้วเก้าราย
เฮือก…
วินาทีนี้ ไม่ทราบว่ามีสิ่งมีชีวิตมากน้อยเพียงใดที่รู้สึกตื่นตะลึง
เทพมหาทัณฑ์โบกมือ เคลื่อนย้ายบุตรแห่งสวรรค์ทั้งสิบสามคนเข้าสู่ห้องโถง
บุตรแห่งสวรรค์ทั้งสิบสามคนตะลึงงัน รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นที่แผ่เข้ามาจากทั่วสารทิศ พวกเขาเงยหน้ามองขึ้นไป เทพมหาทัณฑ์และอริยะสวรรค์เกรียงไกรลอยสูงอยู่ด้านบน มองพวกเขาจากมุมสูง
เทพมหาทัณฑ์เอ่ยขึ้นว่า “จ้าวซวงเฉวียน ลี่เหยา ฉู่ซื่อเหริน พวกเจ้าทั้งสามเลือกคู่ต่อสู้ได้ตามสะดวกเลย”
ทั้งสามมองกันและกัน ล้วนลังเลอยู่บ้าง
หากมองในมุมมิตรภาพภายในสำนัก พวกเขาไม่ควรท้าประลองศิษย์สำนักเดียวกัน แต่อีกสี่คนที่เหลือล้วนมีตบะสูงลิ่วทั้งสิ้น ขนาดคนที่อ่อนแอที่สุดก็ยังมีตบะระดับอริยะมหามรรคระยะปลาย ในบรรดานั้นมีอยู่สองคนที่บรรลุยอดมหามรรคแล้ว
ไม่ว่าพวกเขาทั้งสามจะไปเจอผู้ใดก็ตายแน่นอน!
หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ย “เลือกตามความรู้สึกเถิด มาถึงขั้นนี้แล้ว ควรจะคิดเพื่อตัวเอง”
ทั้งสามคนโล่งใจขึ้นมา เหล่าผู้ทรงพลังก็เงียบลง ในใจของแต่ละคนคิดอะไรอยู่ คนที่รู้ก็มีแต่พวกเขาเอง
“ผู้อาวุโสกวน ข้าขอท้าทายท่าน!”
จ้าวซวงเฉวียนก้าวออกมาแล้วชี้ไปทางกวนปู้ไป้
กวนปู้ไป้เลิกคิ้ว รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ เช่นนี้คือมองว่าเขาอ่อนแอที่สุดหรือ!
เขาไม่ปริปากเลยเพียงพยักหน้ารับอย่างเย่อหยิ่ง
เทพมหาทัณฑ์ส่งตัวทั้งสองเข้าสู่มิติต่อสู้ทันที
การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้น
หานหลิงเอ่ยถาม “ท่านพ่อ ท่านว่าผู้ใดจะมีชัยเจ้าคะ”
หานเจวี๋ยส่ายหน้า ไม่ได้เอ่ยตอบไป
หากว่ากันในแง่ของตบะแล้ว กวนปู้ไป้แข็งแกร่งกว่าจ้าวซวงเฉวียนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่คงสู้สูตรโกงของจ้าวซวงเฉวียนไม่ได้
ด้วยระดับตบะของจ้าวซวงเฉวียนที่เพิ่งพิสูจน์อริยะมหามรรคสำเร็จ เดิมทีไม่อาจเข้ามาถึงรอบร้อยศักดาได้เลย แต่คนผู้นี้เอาชนะมาได้ตลอด พลิกสถานการณ์โต้กลับไปได้หลายครั้ง
คนอื่นไม่ทราบตื้นลึกหนาบางของจ้าวซวงเฉวียน แต่หานเจวี๋ยรู้ดี คนผู้นี้คือพี่ชายของสุดยอดผู้แข็งแกร่งตัวจริง
ทันทีที่เปิดฉากต่อสู้ จ้าวซวงเฉวียนถูกกวนปู้ไป้โจมตีสะกด
ไม่เสียทีที่กวนปู้ไป้เป็นเทพมารฟ้าบุพกาล ด้วยมรรคจิตที่ฝักใฝ่ไร้พ่าย ยามลงมือจึงทุ่มสุดกำลัง
พลังวิเศษของจ้าวซวงเฉวียนเลิศล้ำ โดดเด่นน่าอัศจรรย์ แต่น่าเสียดายที่สู้พลังอันแกร่งกล้าของกวนปู้ไป้ไม่ได้
หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป
จ้าวซวงเฉวียนพ่ายแพ้
กวนปู้ไป้ยิ้มอย่างภูมิใจ
เขาไม่สนใจแววตาดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ของจ้าวซวงเฉวียนเลย
หานเจวี๋ยเหงื่อตกแทนกวนปู้ไป้แล้ว คาดว่าต่อไปคงถูกจ้าวซวงเฉวียนตามพัวพันแน่