บทที่ 1001 ความคิดของหานเจวี๋ย
ผู้ทรงพลังทั้งหมดที่อยู่ในห้องโถงและสิบยอดฟ้าล้วนได้ฟังจนกระจ่างแล้ว เทพมหาทัณฑ์กำลังบอกว่าโลกที่อยู่ใต้ก้นบึ้งฟ้าบุพกาลจะเป็นภัยคุกคามฟ้าบุพกาล!
ฟ้าบุพกาลดูคล้ายจะสงบสุขทว่ามีอันตรายใหญ่หลวงแฝงเร้นอยู่!
เต้าจื้อจุนขมวดคิ้ว ไม่คิดเลยว่าเทพมหาทัณฑ์จะทราบถึงการมีอยู่ของโลกมหามรรคอวิชชา ในสถานการณ์เช่นนี้หากเทวาที่หนึ่งยังต้องการจะชักจูงบุตรแห่งสวรรค์ของฟ้าบุพกาลให้เข้าร่วม ย่อมกลายเป็นคนบ้าพูดจาเพ้อฝันแน่นอน
เทพมหาทัณฑ์เปิดเผยเรื่องนี้ด้วยมีเป้าหมายให้บุตรแห่งสวรรค์ฟ้าบุพกาลกลมเกลียว
เทพมหาทัณฑ์เอ่ยต่อว่า “ข้าพบว่ามีกองกำลังจากใต้พิภพแทรกซึมเข้ามาในเมืองทศพิธแล้ว การตัดสินตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคครานี้ ข้าต้องการให้สิบยอดฟ้ามุ่งหน้าไปต่อสู้กันที่โลกด้านล่าง ประการแรกคือตัดสินแพ้ชนะ ประการที่สองคือเพื่อข่มขวัญและบางทีอาจจะล่องูออกจากโพรงได้ด้วย”
เหล่าผู้ทรงพลังภายในห้องโถงก็พูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาแล้ว
“ข้าเคยได้ยินมาจริงๆ ว่าก้นบึ้งฟ้าบุพกาลเคยเป็นคุกใต้ดินแห่งฟ้าบุพกาลมาก่อน”
“โลกด้านล่างมีขนาดพอๆ กับฟ้าบุพกาล คงมิใช่ว่าซ่อนเร้นผู้ทรงพลังมากมายไว้เช่นกันกระมัง”
“กลัวอันใดเล่า ในเมื่อถูกฟ้าบุพกาลสะกดได้ พลังต้องห่างชั้นเทียบฟ้าบุพกาลไม่ติดแน่นอน”
“ก็ถูก ความหมายที่แท้จริงของท่านเทพคือต้องการขจัดปัญหาที่จะตามมาในอนาคต”
“ข้าคิดว่ายอดเยี่ยมมาก ฟ้าบุพกาลกว้างใหญ่ไพศาล พวกเราไม่จำเป็นต้องแก่งแย่งช่วงชิงกันเลย หากอยากแก่งแย่งทรัพยากรก็มุ่งหน้าไปด้านล่างฟ้าบุพกาลแทน”
หลังจากเหล่าผู้ทรงพลังได้ฟังล้วนไม่มีความหวาดกลัวเลย กลับเริ่มยกย่องชื่นชมเทพมหาทัณฑ์
เทพมหาทัณฑ์ทำให้กฎเกณฑ์มีความหมาย เจตนารมณ์ของงานชุมนุมฟ้าบุพกาลถูกยกระดับขึ้น
หานฮวงมองบุตรแห่งสวรรค์อีกเก้าคนพลางเอ่ยว่า “เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจับคู่ประลองกันเถิด รูปการณ์จะได้ไม่กลายเป็นมากรังแกน้อย”
เต้าจื้อจุน มู่หรงฉี่ กวนปู้ไป้และเทพมารขุนพลสวรรค์พยักหน้ารับ นับว่าตกลงกันต่อหน้าสาธารณชนแล้ว
บุตรแห่งสวรรค์อีกห้าคนที่เหลือพยักหน้าตาม มาถึงจุดนี้พวกเขาล้วนทราบถึงพลังของกันและกันดี ไม่จำเป็นต้องวางท่าโอหังสร้างปัญหาวุ่นวายอีก
แม้แต่อู๋เซียงเทียนเซี่ยที่แข็งแกร่งทรงพลังก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าจะต่อกรกับกลุ่มบุตรแห่งสวรรค์ทั้งห้าจากสำนักซ่อนเร้นได้
ชั่วขณะนั้นบรรยากาศภายในห้องโถงสงบปรองดองขึ้น
แม้แต่เหล่าบุตรแห่งสวรรค์ก็ไม่ตั้งตัวเป็นอริกันอีก เนื่องจากเป้าหมายของเทพมหาทัณฑ์คือสร้างความสมัครสมานให้กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในฟ้าบุพกาล
ศึกสิบยอดฟ้าก็มิใช่การต่อสู้ระหว่างเหล่าบุตรแห่งสวรรค์อีก มีโอกาสที่จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ทรงพลังจากโลกด้านล่าง
ช่วงที่กลุ่มอิทธิพลต่างๆ หารือกันอยู่ เทพมหาทัณฑ์ก็ถ่ายทอดเสียงชี้แจงต่อหานเจวี๋ยด้วย
แน่นอน กติกานี้ยังคงเอื้อประโยชน์ต่อสำนักซ่อนเร้นอยู่ เทพมหาทัณฑ์ยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว ทั้งได้ไว้หน้าหานเจวี๋ยและป้องกันปราบปรามโลกด้านล่าง
หานเจวี๋ยก็ไม่ได้คัดค้าน เขาก็อยากเห็นรากฐานของโลกมหามรรคอวิชชาเช่นกัน
“นายท่าน ท่านสัมผัสรับรู้ได้หรือไม่ขอรับ”
เทพมหาทัณฑ์ถ่ายทอดเสียงหาหานเจวี๋ยอีกครั้ง
หานเจวี๋ยอดสงสัยไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ถามออกไป แต่สอดส่องดูก้นบึ้งฟ้าบุพกาลแทน
ไม่นานนัก เขาสังเกตเห็นแล้วว่าบริเวณชายขอบมีพลังวิญญาณประหลาดกลุ่มหนึ่งอยู่ ไม่คล้ายปราณฟ้าบุพกาลเลย ผุดขึ้นมาจากใต้พื้นอย่างต่อเนื่อง เข้ากับปราณฟ้าบุพกาลไม่ได้แตกต่างกันเหมือนน้ำกับไฟ
มาจากโลกมหามรรคอวิชชาอย่างนั้นหรือ
เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลนั่งไม่ติดเร็วขนาดนี้เชียวหรือ
ในใจหานเจวี๋ยเปี่ยมด้วยความคาดหวัง
เขาตั้งตารอคอยการต่อสู้ระหว่างเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลกับเจ้านวฟ้าบุพกาลยิ่งนัก
ส่วนฟ้าบุพกาล เขาคร้านจะใส่ใจแล้ว
ล้อเล่นเท่านั้น ค่าตัวของเจ้านวฟ้าบุพกาลและเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลห่างกันเป็นร้อยเท่า เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลจะสู้เจ้านวฟ้าบุพกาลได้อย่างไร เจ้านวฟ้าบุพกาลมิวางวาย ฟ้าบุพกาลก็ไม่มีทางล่มสลาย
เทพมหาทัณฑ์ถ่ายทอดเสียงมา “หากว่าด้านล่างมีตัวตนระดับที่พวกเราไม่มีกำลังพอจะต่อกรได้…”
หานเจวี๋ยพยักหน้าให้เล็กน้อย ทว่าไม่ได้เอ่ยอันใดมากไปกว่านั้น
เทพมหาทัณฑ์กลับเข้าใจว่าเขาตอบรับแล้ว พลันยิ้มออกมาอย่างไม่รู้สึกกดดันอีกต่อไป
หานเจวี๋ยย่อมไม่มีทางไปต่อกรกับเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล แต่หากเป็นตัวตนที่มีระดับต่ำกว่าเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล เขาจัดการได้แน่
ถึงแม้เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลจะมาชักจูงเขาเข้าพวก แต่เมื่อเทียบกันดูแล้ว หานเจวี๋ยชอบเจ้านวฟ้าบุพกาลมากกว่าเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล
เจ้านวฟ้าบุพกาลสิถึงจะมีมาดของผู้ทรงพลัง ตามปกติไม่แยแสฟ้าบุพกาลเลย ยุ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ ส่วนเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลก็แค่ผู้สร้างมรรคาคนหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุดและหานเจวี๋ยติดต่อด้วยมากที่สุดเท่านั้น
หากมองจากความประพฤติแล้ว เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลใจกว้างไม่เท่าเจ้านวฟ้าบุพกาล
ส่วนเจ้านวฟ้าบุพกาล หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ไว้วางใจอย่างแท้จริง หากไม่มีอาณาเขตเต๋าอยู่ เจ้านวฟ้าบุพกาลต้องกำจัดเขาแน่
สิบยอดฟ้าต่างนั่งสมาธิ เริ่มฝึกบำเพ็ญฟื้นฟูสภาวะ
เทพมหาทัณฑ์ก็ไม่ได้ไปจัดการพลังวิญญาณลึกลับนั้น คล้ายจะรอให้โลกมหามรรคอวิชชามาติดกับ
น่าเสียดาย เขาไม่ทราบเลยว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งใดอยู่
หานเจวี๋ยก็ไม่ได้เอ่ยเตือน หากว่ารู้เรื่องเข้า เทพมหาทัณฑ์ไม่กล้าทำต่อแน่
มีเรื่องราวมากมายที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยออกไป สำหรับหานเจวี๋ยแล้วประโยชน์ใช้สอยของเทพมหาทัณฑ์มีเพียงดูแลฟ้าบุพกาล ถ่วงรั้งโลกมหามรรคอวิชชาไว้ก็พอแล้ว
ฟ้าบุพกาลอันใด โลกมหามรรคอวิชชาอันใดล้วนไม่อยู่ในสายตาหานเจวี๋ย
สิ่งที่หานเจวี๋ยใส่ใจคือโลกปฐมยุค
หนึ่งเดือนต่อมา
เทพมหาทัณฑ์พาสิบยอดฟ้าจากไป ส่วนผู้ทรงพลังที่เหลือรอคอยอยู่ในห้องโถงต่อไป ในห้องโถงยังมีร่างแยกของเทพมหาทัณฑ์อยู่ เพื่อให้สะดวกต่อการสำแดงเวทให้เมืองทศพิธได้ชมการต่อสู้
เต้าจื้อจุนกระสับกระส่ายไปตลอดทาง เขาติดค้างบุญคุณของเทวาที่หนึ่ง อีกทั้งแสร้งรับปากไปแล้ว หากปะทะกับเทวาที่หนึ่งเข้าจะถูกจับได้หรือไม่
กวนปู้ไป้กลับตั้งตารอยิ่ง เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มภูมิใจ “พวกเจ้าว่าพวกเราจะได้พบกับบุตรแห่งสวรรค์ของโลกเบื้องล่างหรือไม่”
ราชันเทวาฟ้าไพศาลแค่นเสียง “ดินแดนรกร้างป่าเถื่อนไหนเลยจะมีบุตรแห่งสวรรค์ได้ ต่อให้มีพรสวรรค์จริง แต่ก็คงเป็นหนอนคืบคลานในเงามืดไม่ควรค่าให้ประหลาดใจ”
เต้าจื้อจุนคิดในใจ ‘ไม่มีบุตรแห่งสวรรค์จริงๆ แต่ก็ไม่เคยเห็นหนอนคืบคลานเลย’
พวกเขาสี่คนอยู่ในโลกมหามรรคอวิชชามาหลายล้านปี นอกจากวิญญาณพยาบาทและเทวาที่หนึ่งก็ยังไม่เคยพบสิ่งมีชีวิตใดๆ เลย
เขาคิดว่าโลกมหามรรคอวิชชาเป็นแดนรกร้าง ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่
แต่เทวาที่หนึ่งมีจิตมุ่งร้ายหมายโค่นล้มฟ้าบุพกาลจริงๆ
สิบยอดฟ้าเริ่มพูดคุยกัน ทำความรู้จักกันและกัน ที่ผ่านมาพวกเขาล้วนแสดงสีหน้าเย็นชาไม่สุงสิงกันเลย ราวกับเป็นศัตรู
ไม่นานนัก เทพมหาทัณฑ์พาพวกเขาร่อนลงบนพื้น ด้านหน้ามีโพรงดำแห่งหนึ่งที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น
ทั้งกลุ่มพากันกระโดดเข้าไป
เต้าจื้อจุนร้องในใจว่าแย่แล้ว เทพมหาทัณฑ์ค้นพบเส้นทางเข้าสู่โลกมหามรรคอวิชชาแล้วจริงๆ
เมื่อครู่เขายังโล่งใจอยู่นึกว่าเทพมหาทัณฑ์คงยังไม่ค้นพบโลกมหามรรคอวิชชาอย่างแท้จริง
หลังจากเข้าไปแล้ว สิบยอดฟ้าเริ่มมองไปรอบๆ แผ่จิตศักดิ์สิทธิ์ออกไป
เทพมหาทัณฑ์ยืนอยู่บนยอดเมฆ ร่ายเวทขึ้นพร้อมกับร่างแยกที่อยู่ในห้องโถง ถ่ายทอดภาพที่ปรากฏอยู่ไปยังห้องโถง ไม่ใช่แค่ในห้องโถงเท่านั้น กลางอากาศเหนือเมืองทศพิธก็มีฉากปรากฏบนนภาอีกครั้ง
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในเมืองตื่นเต้นขึ้นมา ทราบว่าศึกชิงตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
“จะตะลุมบอนกันจริงๆ หรือ”
“เช่นนั้นสำนักซ่อนเร้นก็ได้เปรียบแล้ว”
“จุ๊ๆ กลุ่มอิทธิพลอื่นจะเห็นด้วยได้อย่างไร หรือจะกลัวอริยะสวรรค์เกรียงไกรจริงๆ”
“ก็ถูก ตอนนี้ยังทนได้ แต่วันหน้าทุกครั้งที่จัดงานชุมนุมฟ้าบุพกาลขึ้นตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคจะไม่ตกเป็นของบุตรแห่งสวรรค์จากสำนักซ่อนเร้นร่ำไปหรือ”
“เหลวไหล เหลวไหลเกินไปแล้ว”
“เจ้าพวกปากเปราะ พูดหยุมหยิมอยู่ได้ ไม่ทนแล้วจะให้ทำอย่างไร จะหักหน้าอริยะสวรรค์เกรียงไกรเช่นนั้นหรือ”
….
ภายในโลกอวิชชาฟ้าบุพกาล พื้นแผ่นดินรกร้างกว้างไกลไร้ขอบเขต เมฆครึ้มปกคลุมนภา มีฟ้าแลบเลือนราง
สิบยอดฟ้าก็ไม่ได้ชักช้าโอ้เอ้ กระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
กวนปู้ไป้เอ็ดตะโรเสียงดังลั่น “สู้กันได้แล้ว! ตัดสินแพ้ชนะก่อน หากมีหนอนแมลงอันใดเข้ามาโจมตีจริงๆ สังหารทิ้งก็จบแล้ว!”
หานฮวงจ้องมองอู๋เซียงเทียนเซี่ย เอ่ยขึ้นว่า “มาเถอะ ข้าอยากเอาชนะเจ้าก่อน!”