บทที่ 1004 การถ่ายทอดความรู้
บทที่ 1004 การถ่ายทอดความรู้
ที่หน้าประตูทางเข้าสู่นิกายนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เหมือนกับถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนและมีเสียงอึกทึกครึกโครม
ศิษย์เหล่านั้นที่ไม่เคยพบเฉินซีมาก่อน ต่างจ้องมองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง และมองมาที่ชายหนุ่มในทุกย่างก้าวทุกการกระทำ ดังนั้นพวกเขาจึงได้เห็นร่างสูงใหญ่และใบหน้าหล่อเหลาของเฉินซีอย่างถนัดตา เช่นเดียวกับทุกอิริยาบถของชายหนุ่มที่เต็มด้วยความสง่างามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทำให้พวกเขาได้แต่สรรเสริญในใจอย่างไม่รู้จบ
เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสที่รู้จักเฉินซีล้วนมีท่าทางภาคภูมิใจแทน จากนั้นพวกเขาก็บอกเล่าเกี่ยวกับวีรกรรมที่ยอดเยี่ยมต่าง ๆ ที่เฉินซีได้ทำสำเร็จให้แก่เหล่าศิษย์ใหม่ที่อยู่เคียงข้าง ในขณะที่รู้สึกภาคภูมิใจเช่นกัน
ชิงซิ่วอี้ชำเลืองมองชายหนุ่ม และกล่าวว่า “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าจะเป็นที่นิยมขนาดนี้”
เฉินซีตะลึงเล็กน้อยเช่นกันเมื่อเห็นฉากนี้ และเมื่อได้ยินชิงซิ่วอี้หยอกล้อ ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะลูบจมูกและยักไหล่ “ก็ดีกว่าไม่มีใครสนใจข้าเลยจริงหรือไม่?”
เมื่อกล่าวจบ เฉินซีก็ถอนหายใจเสียงยาว เขายังจดจำได้ว่า ตอนที่เขาเพิ่งเข้าร่วมกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ผู้อาวุโสเยว่ฉือของยอดเขาจรัสตะวันออก มักคอยสร้างปัญหาให้กับเขาอยู่ร่ำไป แต่ตอนนี้ไม่มีใครในนิกายกล้าดูถูกเขาอีกแล้ว
นี่คืออำนาจและอิทธิพล!
ทว่ามันก็มาจากสิ่งเดียว นั่นคือความแข็งแกร่ง!
ในขณะเดียวกันนั้น ประมุขเวินหัวถิงได้พาผู้อาวุโสเลี่ยเผิงและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ มาถึงที่นี่ ดวงตาของทุกคนต่างทอประกายสว่างวาบ ในขณะที่พวกเขารู้สึกมีความสุขอย่างยิ่งเมื่อเห็นเฉินซี
แต่เมื่อสายตาของพวกเขาจับจ้องไปทางชิงซิ่วอี้ พวกเขาก็ตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนที่ม่านตาของทุกคนจะหรี่ลง จากนั้นความตกใจที่ไม่สามารถปกปิดได้ก็แวบผ่านดวงตาของพวกเขา
เฉินซีทราบดีถึงสาเหตุของเรื่องนี้ เพราะไม่ว่าชิงซิ่วอี้จะควบคุมกลิ่นอายที่น่าเกรงขามของนางอย่างไร แต่นางก็เป็นเซียนทองคำแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเวินหัวถิงและคนอื่น ๆ แม้แต่เซียนสวรรค์ทั่วไปหรือเซียนลึกลับก็ยังรู้สึกกดดันตามสัญชาตญาณเมื่อพบนาง
แต่เฉินซีไม่เต็มใจจะอธิบายมากนัก เขาจึงยิ้มในขณะที่เดินไปข้างหน้าและคารวะเวินหัวถิงกับคนอื่น ๆ หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็แนะนำชิงซิ่วอี้ เฉินอัน และเฉินอวี่ให้ทุกคนรู้จัก
เมื่อพวกเขาพบว่าเด็กหนุ่มสองคนที่มีพรสวรรค์อันไม่ธรรมดาคือ บุตรชายและหลานชายของเฉินซี ดวงตาของผู้อาวุโสทุกคนก็เปล่งประกาย อีกทั้งหัวใจของพวกเขายังเร่าร้อนไปด้วยความปรารถนาอย่างไม่รู้จบ
“เอ่อ เฉินซี เด็กน้อยสองคนนี้คงยังไม่มีอาจารย์กระมัง? เหตุใดพวกเขาไม่ติดตามข้าล่ะ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้และมองไปยังเฉินซีด้วยความหวัง
ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกันเอ่ยคัดค้านทันที “ไม่ได้! ตาเฒ่าประหลาดเมิ่ง ต้นกล้าทั้งสองนี้มีพรสวรรค์อย่างไม่มีใครเทียบได้ แล้วพวกเขาจะต้องมาเสียเปล่าหากตกอยู่ในมือของเจ้าได้อย่างไร? เป็นการดีกว่าที่จะให้ข้าชี้แนะพวกเขาด้วยตัวเอง”
“ผู้อาวุโสหลัว เจ้าไม่โลภเกินไปหน่อยหรือ? เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้! ข้าก็อยากได้พวกเขาเป็นศิษย์เหมือนกัน!”
“ฮึ่ม! พวกเจ้าทุกคนไม่รู้จักพอและไม่มีเหตุผล! แม้ว่าข้าจะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดในนิกาย แต่ถ้าในแง่ของการถ่ายทอดเคล็ดวิชาบ่มเพาะ หากข้าเรียกตัวเองว่าเก่งที่สุดเป็นอันดับสอง คงไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นอันดับหนึ่ง!”
ทันใดนั้น บริเวณโดยรอบก็ตกสู่ความโกลาหลทันที เนื่องจากผู้อาวุโสทั้งหมดดูเหมือนหมาป่าที่เห็นกระต่ายสองตัว ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ ขณะที่พวกเขาโต้เถียงกันและเกือบจะต่อสู้กัน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ขากรรไกรของเหล่าศิษย์ที่อยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าแทบหล่นลงมาที่พื้น และพวกเขาไม่กล้าเชื่อเลยว่า ผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายที่ปกติจะสง่างามและทรงพลังดั่งเทพจะกลายเป็นเช่นนี้ กิริยาท่าทาง? ศักดิ์ศรีหน้าตา? ทั้งหมดล้วนหายไปสิ้น!
เฉินซีตะลึงงัน เขามองไปยังเวินหัวถิงเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตาม เวินหัวถิงกลับไอแห้ง ๆ และกล่าวว่า “เฉินซี แม้เจ้าจะรู้ว่าข้าไม่ได้รับศิษย์มาหลายปีแล้ว แต่เด็กน้อยทั้งสองคนนี้ไม่เลวเลย ดังนั้นข้าคิดว่า…”
“ไม่ได้!” ผู้อาวุโสเหล่านั้นหยุดโต้เถียงทันที และคัดค้านโดยพร้อมเพรียงกัน
เฉินซีทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เขาจึงมองไปทางเฉินอวี่และเฉินอัน ราวกับต้องการจะกล่าวว่า ‘ดูสิ พวกเจ้ายังเป็นที่นิยมมากกว่าข้าเสียอีก…’
ในทางกลับกัน เฉินอวี่กับเฉินอันต่างตกตะลึง เพราะพวกเขาไม่ทันได้ตั้งตัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“พวกเจ้าสองคนยินดีรับข้าเป็นอาจารย์หรือไม่? ตราบใดที่เจ้าเต็มใจ ข้าจะถ่ายทอดทุกอย่างที่พวกเจ้าต้องการเรียนรู้หรือมอบทุกอย่างที่พวกเจ้าต้องการครอบครองให้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งจ้องมองตรงไปยังเฉินอวี่และเฉินอัน ซึ่งน้ำเสียงของเขาดูเป็นมิตรมาก
“ผู้อาวุโสสามารถทำให้ข้าแข็งแกร่งเหมือนท่านลุงได้หรือไม่?”
“ขอเพียงแค่ท่านพ่อไม่ผิดหวังในตัวข้าก็พอ”
คำตอบแรกมาจากเฉินอวี่ และคำตอบที่สองมาจากเฉินอัน แต่ไม่ว่าจะเป็นคำตอบใด มันก็ทำให้สีหน้าของผู้อาวุโสคนนั้นแข็งทื่อและเผยความสิ้นหวังออกมา
ไม่ใช่แค่เขา ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างหยุดโต้เถียงกัน และมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย
เพราะไม่ว่าจะเป็นศาสตร์เต๋าระดับสูงสุด โอสถวิเศษ หรือสมบัติวิเศษที่น่าเกรงขาม พวกเขาสามารถรับปากให้คำสัญญาได้ แต่กับคำขอสองอย่างนี้… พวกเขาไม่กล้ารับประกัน!
ท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงเฉินซีคนเดียวในโลกนี้ และเขาได้ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของภพมนุษย์แล้ว ซึ่งความแข็งแกร่งของชายหนุ่มก็ไม่มีใครในโลกนี้ที่เทียบเคียงได้ แล้วพวกเขาจะกล้ารับประกันได้อย่างไรว่าพวกเขาจะสามารถสั่งสอนเด็กน้อยสองทั้งคนนี้ ให้แข็งแกร่งเทียบเท่าเฉินซีได้
“เจ้าขอเรื่องอื่นกับเราได้หรือไม่?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งปฏิเสธที่จะยอมแพ้
“ถ้าเช่นนั้น ขอเพียงแข็งแกร่งพอ ๆ กับท่านป้าของข้าก็พอแล้ว” เฉินอวี่หัวเราะเบา ๆ ขณะที่เงยหน้าขึ้นมองชิงซิ่วอี้
ผู้อาวุโสเหล่านั้นรู้สึกท้อแท้ทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และพวกเขาไม่ได้กล่าวอะไรอีกต่อไป
ชิงซิ่วอี้? นั่นคือการดำรงอยู่ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉินซี และกลิ่นอายของนางในยามนี้ก็เหมือนกับเหวลึกที่น่ากลัวยิ่งกว่าเฉินซี ดังนั้นพวกเขาจะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จได้อย่างไร?
เฉินซีจ้องมองไปยังเฉินอวี่ เพราะเขาทราบอย่างชัดเจนว่า เด็กน้อยตัวแสบทั้งสองนี้ไม่ได้คิดจะฝากตัวเป็นศิษย์กับเหล่าผู้อาวุโสของนิกาย ดังนั้นพวกเขาจึงจงใจกล่าวถึงคำขอดังกล่าวออกมา
เฉินอวี่ยิ้มเขินอายและเกาศีรษะ
ในขณะเดียวกัน เวินหัวถิงก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ เฉินซีเพิ่งกลับมาที่นิกาย ถ้ามีเรื่องอื่นใดไว้เราค่อยมาพูดคุยกัน หลังจากเจ้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
เมื่อผู้อาวุโสทุกคนหมดหวังที่จะรับเฉินอวี่และเฉินอันเป็นศิษย์ พวกเขาจึงหยุดกล่าวถึงเรื่องนี้ทันที และก็ทราบอยู่แก่ใจดีว่า เมื่อมีสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์อย่างเฉินซีและชิงซิ่วอี้แล้ว เด็กน้อยทั้งสองนี้ก็ไม่จำเป็นต้องฝากตัวเป็นศิษย์แก่ผู้ใด และยังสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
กลุ่มผู้ต้อนรับจำนวนมากเริ่มเดินกลับเข้าไปในนิกายทันที
ในวันนี้ ข่าวการกลับมาของปรมาจารย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันตกแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เฉินซี ดูเหมือนว่าจะมีปีกงอกออกมา และแพร่กระจายไปทั่วโลกแห่งการบ่มเพาะ ทำให้ทั้งโลกตกอยู่ในความโกลาหล
ถึงอย่างไร เขาก็เคยบุกเข้าไปในนิกายวิถีกระแสสวรรค์เพียงลำพังเมื่อหลายปีก่อน และการต่อสู้ครั้งนั้น ชายหนุ่มได้สังหารร่างอวตารของปิงซื่อเทียน ในขณะที่มีระดับการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนปฐพี ซึ่งเรื่องนี้ก็น่าทึ่งอย่างแท้จริง อาจกล่าวได้ว่าในโลกแห่งการบ่มเพาะในปัจจุบัน ชื่อของเฉินซีเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผาบนท้องฟ้ายามเที่ยงวัน!
หากมีผู้บ่มเพาะที่ยังไม่รู้ว่าใครคือเฉินซี คนผู้นั้นจะต้องถูกดูถูกเหยียดหยามจากทุกคนอย่างแน่นอน
…
ณ ยอดเขาจรัสตะวันตก
เมื่อเฉินซีมาถึงที่นี่พร้อมกับชิงซิ่วอี้ เฉินอวี่ เฉินอัน และชิวอวิ๋นเซิง เขาได้เห็นเงาผู้คนเคลื่อนไหวไปมาบนภูเขา และร่างของคนที่คุ้นเคยหลายคนกำลังรออยู่ที่นี่แล้ว
ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาหั่วโม่เลย ศิษย์พี่รองหลูเซิง ศิษย์พี่สามอี้เฉินจื่อ ศิษย์พี่สี่ต้วนอี้ ศิษย์พี่ห้าอาจิ่ว ศิษย์พี่หกชิงอวี่ เหมิงเหวย หลิงไป๋ มู่ขุย ไป๋คุย อาหมาน ซางจือ เสวี่ยเหยียน เสิ่นเหยียน…
เพียงแค่มองพวกเขาจากระยะไกล ก็ทำให้ความอบอุ่นแผ่ซ่านอยู่ในใจของเฉินซีอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งหมดนี้บอกเขาอย่างชัดเจนว่า แม้เส้นทางเต๋าจะยากลำบากและเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่เขาก็ไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง!
ซึ่งเท่านี้ก็มากพอแล้ว
ในคืนนั้น งานสังสรรค์ที่ยอดเขาจรัสตะวันตกได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น และเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะไม่หยุดหย่อน
เมื่อกลับมาพบกันอีกครั้ง หลังจากผ่านไปนาน เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องร่ำสุราด้วยกัน
ในทางกลับกัน เฉินซีทราบอย่างชัดเจนว่า การรวมตัวเช่นนี้อาจจะน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป เพราะชิงซิ่วอี้จะจากไปในอีกหนึ่งเดือนนับจากนี้ ในขณะที่เขากำลังเตรียมจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับเก้าเช่นกัน…
นี่คือชีวิต เมื่อการเดินทางไม่มีที่สิ้นสุด ช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันก็ย่อมต้องหดแคบลง
รุ่งอรุณในวันรุ่งขึ้น
ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าเพิ่งสาดแสงลงมา
เฉินซีตื่นจากการทำสมาธิ ในขณะนี้ คลื่นเสียงโห่ร้องดังขึ้นจากนอกลานบ้านของเขาแล้ว
ชายหนุ่มผลักประตูออกไป ก่อนจะเห็นเฉินอวี่กับเฉินอันที่กำลังฝึกฝนศาสตร์เต๋าอย่างระมัดระวัง ยิ่งกว่านั้น หลิงไป๋ มู่ขุย อาหมาน ไป๋คุย เสิ่นเหยียน และคนอื่น ๆ กำลังยืนอยู่ด้านข้างขณะเฝ้าดูพวกเขา ซึ่งทุกคนก็พากันกล่าวชมเชยอยู่เป็นระยะ ๆ
เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะมีแรงบันดาลใจ และตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
“ข้าคิดว่า ในเมื่อข้าตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้บางส่วนของข้าให้แก่อวี่เอ๋อร์และอันเอ๋อร์ เหตุใดข้าถึงไม่สร้างแท่นบวงสรวงเต๋า แล้วอนุญาตให้ศิษย์ทั้งหมดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองได้เข้ามารับฟัง ด้วยวิธีนี้ ข้าจะได้ทดแทนความเมตตาของท่านประมุขและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่มีต่อข้า” เฉินซีมาหาชิงซิ่วอี้ และบอกนางเกี่ยวกับความคิดของเขา
“เป็นความคิดที่ไม่เลว” ชิงซิ่วอี้พยักหน้า นางรู้ว่าเฉินซีต้องการฟังความคิดเห็นของนาง ดังนั้นหญิงสาวจึงไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนที่จะกล่าวว่า “การถ่ายทอดความรู้ เป็นการกระทำที่มากด้วยคุณอนันต์ ในช่วงต้นของยุคบรรพกาล เมื่อลัทธิเต๋าต่าง ๆ ยังไม่ได้ก่อตั้งขึ้น เหล่านักปราชญ์และบุคคลสำคัญบางคนที่มีภูมิปัญญาล้ำเลิศจะจัดตั้งแท่นบวงสรวงเต๋าเพื่อถ่ายทอดความรู้ และเชิญชวนสิ่งมีชีวิตในโลกเพื่อหารือเกี่ยวกับเต๋ากับพวกเขา”
“นี่คือจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งลัทธิเต๋า เมื่อสิ่งมีชีวิตที่รับฟังมีจำนวนมากขึ้น ก็จะเกิดความสัมพันธ์แบบอาจารย์กับศิษย์ และมีความรู้สึกว่ามาจากนิกายเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นลัทธิหรือนิกายขึ้นมา” เมื่อนางกล่าวมาถึงตรงนี้ ดวงตาของชิงซิ่วอี้ก็ทอประกายแสง ในขณะที่นางจ้องมองเฉินซี และกล่าวว่า “เมื่อวันที่เจ้าสามารถอธิบายเต๋าให้แก่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในสามภพได้ เมื่อนั้นเจ้าจะเป็นจ้าวผู้ปกครองที่แท้จริงของสามภพ”
เฉินซีตกตะลึง เขาส่ายศีรษะขณะที่หัวเราะอย่างขมขื่น “ข้าไม่กล้าปรารถนาจะเป็นจ้าวผู้ปกครองของทั้งสามภพหรอก ข้าหวังเพียงว่าจะฝากความรู้ของข้าไว้ในเบื้องหลัง ก่อนที่ข้าจะขึ้นสู่ภพเซียน และช่วยให้ศิษย์ในนิกายเลี่ยงอุปสรรคในการบ่มเพาะได้บ้าง”
“โอ้ เจ้า…” ชิงซิ่วอี้ยิ้มและไม่กล่าวอะไรอีก
ในตอนเช้าของวันนั้นเอง
ข่าวที่น่าตกใจได้แพร่กระจายไปทั่วนิกายกระบี่เก้าเรืองรองด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ผู้อาวุโสเฉินซีกำลังจะจัดตั้งแท่นบวงสรวงเต๋า เพื่อถ่ายทอดความรู้ที่ลึกซึ้งของเขา และทุกคนสามารถไปฟังได้!
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นศิษย์สายนอกหรือสายในก็ตาม ดูเหมือนว่าเหล่าศิษย์ทั้งหมดจะคลั่งไคล้และพุ่งเข้าหายอดเขาจรัสตะวันตกในทันทีที่เป็นไปได้ เนื่องจากพวกเขากลัวว่าคนอื่นจะไปถึงที่นั่นก่อน ถ้าพวกเขาชักช้า
เมื่อทราบข่าวนี้ ประมุขเวินหัวถิงได้สั่งให้ผู้อาวุโสทุกคนไปที่ยอดเขาจรัสตะวันตกทันทีเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและห้ามส่งเสียงดัง ส่วนผู้ละเมิดกฎนี้จะถูกตัดสิทธิ์ในการฟังเฉินซีอธิบาย!
ในตอนเที่ยง ท้องฟ้าเหนือยอดเขาจรัสตะวันตกถูกปกคลุมไปด้วยเมฆและหมอก
เมื่อเฉินซีมาถึงที่นี่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับฉากอันยิ่งใหญ่เบื้องหน้า
หากมองลงมาจากท้องฟ้า จะสังเกตเห็นว่ารอบ ๆ แท่นบวงสรวงเต๋า และแม้แต่ยอดเขาจรัสตะวันตก ต่างก็เต็มไปด้วยผู้คน และพวกเขาทั้งหมดนั่งสมาธิด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม และหากนับดูแล้ว คนพวกนี้ก็มีจำนวนมากกว่าหมื่นคนเลยทีเดียว!
ตามความรู้ของเฉินซี หากศิษย์สายนอก ศิษย์สายใน ศิษย์ระดับสูง ศิษย์ชั้นยอด และศิษย์ประเภทอื่น ๆ ทั้งหมดในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองรวมเข้าด้วยกัน ก็จะมีจำนวนประมาณนี้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ศิษย์เกือบทั้งหมดในนิกายได้มารวมกันที่นี่!
แต่ในไม่ช้า ชายหนุ่มก็เรียกสติกลับมา และเดินไปที่ใจกลางของแท่นบวงสรวงเต๋า ก่อนเขาจะนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น
“ในบรรดามหาเต๋าสามพันประเภท แต่ละอย่างก็มีความลึกล้ำที่ไร้ขอบเขต และเป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้บ่มเพาะอย่างเราที่จะเข้าใจเต๋าเหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้ตลอดชั่วชีวิตของเรา ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะหลอมรวมความรู้ทุกอย่างที่ข้าได้เรียนรู้และเข้าใจในตลอดเส้นทางการบ่มเพาะเข้ากับคำสอนของข้า…”
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวช้า ๆ และเสียงของเขาก็ดังก้องเหมือนระฆังยามเช้า ซึ่งกระจายไปทั่วฟ้าดินอย่างชัดเจน
ในขณะนี้ สีหน้าของทุกคนบนยอดเขาจรัสตะวันตกกลายเป็นเคร่งขรึม ขณะที่พวกเขาฟังด้วยความเคารพ บรรยากาศพลันเงียบสงัด อีกทั้งยังมีกลิ่นอายที่สำรวมและให้ความเคารพแผ่ออกทั่ว