บทที่ 1015 เคล็ดวิชาตัวเบาที่ไม่อาจหยั่งถึง
บทที่ 1015 เคล็ดวิชาตัวเบาที่ไม่อาจหยั่งถึง
เฉินซีไม่เคยมองว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีเลยสักครั้ง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขามองว่าอีกฝ่ายเป็นคนไม่ดีมาตั้งแต่ต้น
นอกจากจะรู้สึกสบายใจเมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว มู่หลิงหลงก็อดหัวเราะไม่ได้ ดวงตาสุกใสของนางพลันหยีเหมือนพระจันทร์เสี้ยวคู่หนึ่งประดับอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ทั้งสว่างและพร่างพราว งดงามจับตา
สีหน้าของเซียวอวิ๋นและข้ารับใช้มืดมนลง
“ไอ้เด็กบัดซบ! ก่อนหน้านี้เจ้าหนีไปแล้ว แต่ยังกล้ากลับมาแส่เรื่องของนายน้อยผู้นี้อีก! คราวนี้ทั้งเจ้าและสาวน้อยคนนี้อย่าได้ฝันที่จะหลบหนีไปได้!”
เซียวอวิ๋นกล่าวด้วยเสียงน่ากลัว “เซียวกุ้ย เซียวเยี่ยน เจ้าสองคนจัดการกับไอ้เด็กบัดซบนั่น ส่วนสาวน้อยผู้นั้นเดี๋ยวข้าจัดการเอง!”
ทันทีที่กล่าวจบ เซียวอวิ๋นก็พุ่งเข้าหามู่หลิงหลงทันที ร่างของเขาเป็นเหมือนมังกรร้าย ทิ้งภาพติดตาเอาไว้เบื้องหลัง เคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
ผัวะ!
เงากำปั้นพุ่งเข้าหาท้องน้อยของมู่หลิงหลงราวกับกระแสน้ำ
แม้ว่าการโจมตีนี้จะเฉียบขาดและมีพละกำลังอันน่าสะพรึงกลัว แต่กลับดูน่ารังเกียจและไร้ยางอาย เพราะถูกใช้กับหญิงสาวและเล็งไปยังบริเวณร่างกายส่วนบนของนาง
“น่ารังเกียจยิ่งนัก!” ร่างของมู่หลิงหลงสว่างวาบราวกับกลุ่มควัน จากนั้นนางก็หลบเลี่ยงมันได้อย่างง่ายดาย ใบหน้าเล็กที่บอบบางของหญิงสาวโกรธจัดจนคิ้วสวยคู่นั้นขมวดเข้าหากันแน่น
“ฮึ่ม! สาวน้อย นี่จะน่ารังเกียจได้อย่างไร? เมื่อนายน้อยคนนี้จับตัวเจ้าได้ ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสความหมายของคำว่าน่ารังเกียจที่แท้จริงเอง!” เซียวอวิ๋นตกตะลึงเมื่อการโจมตีของตนพลาดเป้า ใบหน้าเผยแววอำมหิตและไร้ความปรานี จากนั้นพุ่งตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง ร่างของเขาดูเหมือนตะขอ ปราณเซียนพิสุทธิ์พลุ่งพล่าน ขณะที่จู่โจมไปยังมู่หลิงหลงคราแล้วคราเล่า
ขณะเดียวกัน ข้ารับใช้ทั้งสองคน เซียวกุ้ยกับเซียวเยี่ยนกำลังต่อสู้พัวพันกับเฉินซี
แม้จะไม่ได้ควบแน่นพลังของกฎ แต่ก็ยังสามารถขึ้นสู่ภพเซียนได้ ยิ่งไปกว่านั้น ปราณเซียนในร่างกายของพวกเขาทั้งหนาแน่นและเหลือเฟือ ในขณะที่ทั้งสองคนร่วมมือกันดีมาก ทำให้อานุภาพดุร้ายยิ่งขึ้น
โชคไม่ดีที่มาเจอตัวประหลาดอย่างเฉินซี ในไม่ช้าพวกเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
เมื่อหลายปีก่อน เฉินซีสามารถฆ่าร่างอวตารของเซียนทองคำอย่างปิงซื่อเทียน ในขณะที่การบ่มเพาะอยู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด ตอนนี้ ร่างอวตารของเขาได้บ่มเพาะมานานกว่าหกร้อยปี และอยู่ห่างจากการบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์เพียงก้าวเดียว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะสังหารเซียนสวรรค์สองคนที่ยังไม่ได้ควบแน่นพลังของกฎ
ด้วยเหตุนี้ หลังจากการต่อสู้ปะทุขึ้นไม่นาน ร่างของเฉินซีก็สว่างวาบ ปราณจ้าววิญญาณในร่างกายสั่นสะเทือน จากนั้นฝ่ามือที่อาบไปด้วยกลิ่นอายโบราณก็ฟาดลงมาจากท้องฟ้า
ดวงดาวต่าง ๆ โคจรและปรากฏการณ์มากมายถูกปกคลุมด้วยสิ่งนี้ มันคือสุดยอดพลังอิทธิฤทธิ์…ฝ่ามือมหาดารา!
พลังอิทธิฤทธิ์นี้มาจากการสืบทอดภายในเคหา และมันได้ช่วยเฉินซีทำลายผู้เยี่ยมยุทธ์ไปมากมายนับไม่ถ้วน ว่ากันว่ามันมีพลังไร้ขอบเขตเพราะเต๋ารู้แจ้งนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งยังสามารถบรรจุมหาเต๋าที่ลึกล้ำต่าง ๆ เอาไว้ภายในฝ่ามือ ทำให้มหาเต๋าไหลเวียนได้อย่างไม่ขัดแย้งกัน ดังนั้นมันจึงสามารถระเบิดพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
ตอนนี้มันถูกใช้ด้วยการบ่มเพาะกายาขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดของเฉินซี พลังฝ่ามือจึงดูเหมือนมีดวงดาวมากมายถาโถมลงมา ดวงดาวพร่างพรายและทำให้เกิดระลอกคลื่นเป็นวงกว้าง แผ่ขยายไปทั่วท้องฟ้า!
อย่างไรก็ตาม นี่คือภพเซียน และกฎมิติในฟ้าดินของที่นี่ก็แข็งแกร่งมาก ดังนั้นผู้ที่ทำให้เกิดระลอกคลื่นกระจายไปทั่วท้องฟ้าได้ จึงต้องเป็นตัวตนที่น่าเกรงขามซึ่งเข้าใจกฎอย่างลึกซึ้ง
“มารดามันเถอะ!”
“นี่มันคือพลังอิทธิฤทธิ์อันใดกัน?”
ใบหน้าของเซียวกุ้ยและเซียวเยี่ยนซีดลงด้วยความกลัว พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามต่อชีวิตจากพลังฝ่ามือนี้ และพยายามหลบหลีกโดยสัญชาตญาณ
น่าเสียดายที่ทั้งคู่ลืมไปว่านี่เป็นทางเดินเล็ก ๆ ในเหมือง ขณะที่เซียวอวิ๋นกำลังไล่ตามมู่หลิงหลง มันจึงไม่มีช่องว่างให้หลบได้เลย…
โครม! โครม!
ทันใดนั้น ฝ่ามือมหาดาราก็ฟาดลงมา ระเบิดแสงเจิดจ้าปกคลุมคนทั้งสองไว้ ระลอกเสียงโหยหวนดังก้องออกมาพร้อมกับเลือดที่สายกระจายไปรอบ ๆ และทั้งคู่ถูกบดขยี้จนตายทันที
หากทั้งสองรวมพลังแห่งกฎเข้าด้วยกัน บางทีพวกเขาอาจจะสามารถต้านทานการคุกคามของเฉินซีได้ แต่น่าเสียดายที่เป็นไปไม่ได้
แหล่งที่มาของความแข็งแกร่งสำหรับเซียนสวรรค์ก็คือกฎ!
หากไร้กฎ ผู้เป็นเซียนสวรรค์จะมีร่างกายที่เต็มไปด้วยพละกำลัง แต่ก็ไม่สามารถดึงพลังที่แท้จริงของมันออกมาได้
หลังจากฆ่าเซียวกุ้ยกับเซียวเยี่ยนแล้ว เฉินซีก็ไม่ได้สนใจศพของพวกเขาอีก และตั้งใจจะช่วยเหลือมู่หลิงหลง แต่กลับต้องพบกับความประหลาดใจ เพราะหญิงสาวมีเคล็ดวิชาตัวเบาอันลึกล้ำ ทำให้นางเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างว่องไวดุจสายฟ้า ทั้งยังงดงามราวกับแสงเดือนเคลื่อนคล้อย แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันยอดเยี่ยม ภายในพื้นที่เล็ก ๆ และคับแคบนี้ได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อมองจากระยะไกล คล้ายนางกำลังก้าวขึ้นไปบนดวงดาว แขนเสื้อกระพือไปในอากาศ นางเคลื่อนไหวไปมาในจักรวาลอันไร้ขอบเขต เพียงก้าวเดียวก็เหมือนกับกาลเวลาไหลผ่าน ดวงดาราเคลื่อนคล้อย!
อาจกล่าวได้ว่าลึกล้ำ ไม่อาจหยั่งถึง และน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง!
‘ข้าไม่แปลกใจที่นางสามารถหลบหนีจากการไล่ล่าของเซียวอวิ๋นและข้ารับใช้ได้ ที่แท้นางก็มีเคล็ดวิชาตัวเบาที่สุดยอดเช่นนี้…’ เฉินซีชื่นชมอยู่ในใจ เมื่อเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าถ้ามู่หลิงหลงเข้าใจถึงพลังของกฎก่อนใช้เคล็ดวิชาตัวเบานี้ พลังที่แสดงออกมาจะยิ่งน่าเกรงขามและเหนือจินตนาการได้มากกว่านี้
“บัดซบ! เจ้ากล้าฆ่าบริวารของนายน้อยผู้นี้จริง ๆ อีกสิบวันนับจากนี้ สุนัขโสโครกสองตัวอย่างพวกเจ้า อย่าได้ฝันถึงการมีชีวิตอยู่เลย!” เซียวอวิ๋นที่ไม่สามารถโจมตีมู่หลิงหลงได้ ทั้งรู้สึกตกใจและโกรธจัดเมื่อเห็นข้ารับใช้ของตนถูกฆ่าตาย ทันใดนั้น ร่างของเขาก็สว่างวาบ ละทิ้งการไล่ล่ามู่หลิงหลง แล้วหนีไปยังทางออกของเหมือง
แต่เฉินซีจะปล่อยให้เขาหนีไปได้อย่างไร? ร่างของชายหนุ่มสว่างวาบ ตั้งใจจะพุ่งตามไป
แต่เมื่อเขาจะไล่ตามเซียวอวิ๋นไป จู่ ๆ ก็สังเกตเห็นร่างของมู่หลิงหลงสั่นไหว ก่อนที่นางจะล้มลงกับพื้น หญิงสาวเริ่มหายใจหอบ ในขณะที่ใบหน้าเล็กของนางซีดเซียว ดูเหมือนกำลังจะหมดสติ
“แม่นางมู่ เจ้าสบายดีหรือไม่?” เฉินซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุดไล่ล่า และพุ่งตัวไปทางด้านข้างของมู่หลิงหลง แล้วช่วยพยุงนางลุกขึ้น
“ข้า… ข้าสบายดี… เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาข้าไม่เคยต่อสู้กับผู้ใดมาก่อน และข้าไม่คุ้นชินกับมันเลยสักนิด” มู่หลิงหลงหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวด้วยความกลัวในใจของนาง ซึ่งเผยถึงความเหนื่อยล้า อึดอัด และน่าสมเพช
“ไม่เคยสู้กับผู้ใดมาก่อน?”
เฉินซีตกตะลึง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เหตุผลเช่นนี้จากนาง และสงสัยเล็กน้อยว่าหญิงสาวสามารถบ่มเพาะจนถึงจุดสูงสุดได้อย่างไร
ถึงอย่างไร ในฐานะผู้ข้ามผ่าน พวกเขาทั้งหมดได้ต่อสู้กับสวรรค์และผ่านประสบการณ์ต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน เพื่อที่จะเปิดเส้นทางสู่ความเป็นเซียน
แต่มู่หลิงหลงกลับไม่เคยต่อสู้กับผู้ใดมาก่อน…
ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปคงไม่มีใครเชื่อ แต่เมื่อเฉินซีมองดูใบหน้าจริงจังและหวาดกลัวของหญิงสาว ขณะที่นางกล่าวคำเหล่านี้ ความเชื่อของเขาก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวเล็กน้อย
‘เป็นไปได้หรือไม่ว่า นางจะไม่เคยผ่านการต่อสู้มาก่อนเลยจริง ๆ?’
“คุณชายเฉินซี ปราณเซียนพิสุทธิ์ของข้าถูกใช้มากเกินไป ข้าเกรงว่าข้าคงไม่สามารถฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้น ไยท่านถึงไม่ไปหาศิลากำเนิดวิญญาณครามเสียก่อนเล่า? ไม่จำเป็นต้องสนใจข้าหรอก” มู่หลิงหลงกล่าวอย่างอ่อนแรง แม้ว่าใบหน้าของนางจะซีดเผือด แต่นางก็ยังฝืนยิ้มออกมา และดูเหมือนนางจะไม่อยากเป็นสาเหตุให้เฉินซีที่มีน้ำใจเสียเวลาไปมากกว่านี้
“เจ้าควรตามข้ามา” เฉินซีถอนหายใจ และส่งกระเป๋าเก็บของที่เต็มไปด้วยศิลาอมตะให้แก่นาง “เจ้าจงบ่มเพาะด้วยศิลาอมตะเหล่านี้เสีย และเจ้าจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว”
ขณะที่เขากล่าว เฉินซีก็ยืนขึ้นและตบไหล่ของตน “ขึ้นมาสิ ข้าจะพาเจ้าไป”
มู่หลิงหลงมองกระเป๋าเก็บของในมือ แล้วมองท่าทางจริงจังของเฉินซี จากนั้นม่านหมอกก็ปรากฏในดวงตาของนาง ก่อนที่น้ำตาสุกใสมากมายจะไหลรินออกมา
นางกำลังร้องไห้จริง ๆ!
เฉินซีตกตะลึงและประหลาดใจเล็กน้อย อีกทั้งยังรู้สึกสับสน เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
หากไม่ใช่เพราะพวกเขาอยู่ในภพเซียน และรู้ว่าทั้งคู่เป็นผู้ขึ้นมาจากภพที่ต่ำกว่า เขาคงคิดจริง ๆ ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นเด็กที่มีอารมณ์อ่อนไหวและไม่รู้จักวิถีของโลก…
มู่หลิงหลงรีบเช็ดน้ำตาของนางและส่ายศีรษะ “ข้าแค่รู้สึกเสียใจ ข้าไม่ควรแอบออกมาและมาที่ภพเซียน ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน คุณชายเฉินซี ข้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร”
เฉินซีตกตะลึง ‘แอบออกมาและมาถึงภพเซียน? นางไม่คิดว่าการพิชิตทัณฑ์สวรรค์จะเป็นสิ่งที่ยากเกินไปหรอกหรือ?’
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่เข้าใจ มู่หลิงหลงก็อธิบายอย่างอดทน “ข้าไม่เคยออกจากตระกูลเลยตั้งแต่เด็ก ข้าได้ยินจากพี่ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้ากล่าวว่า ภพเซียนนั้นมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก และข้าไม่อาจระงับความอยากรู้อยากเห็นของตนได้ ดังนั้นข้าจึงแอบออกจากบ้านและขึ้นสู่ภพเซียน ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่า ภพเซียนจะไม่น่าอัศจรรย์เลย…”
ขณะที่นางกล่าวจบ ความผิดหวังก็ปกคลุมทั่วใบหน้าของหญิงสาว
ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจ เขาลอบคิดในใจว่า กองกำลังใดในภพฟ้าดินที่มู่หลิงหลงจากมา ถึงสามารถเลี้ยงดูหญิงสาวให้บริสุทธิ์จนไม่รู้ความได้ขนาดนี้
แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พรสวรรค์และการบ่มเพาะของหญิงสาวคนนี้ก็สูงมาก มิฉะนั้น นางคงแอบออกจากตระกูลและขึ้นสู่ภพเซียนมาไม่ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นต่อภพเซียน
หากผู้บ่มเพาะคนอื่นรู้เรื่องนี้ พวกเขาจะต้องโกรธจนกระอักเลือดอย่างแน่นอน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น สิ่งที่เจ้าประสบทำให้ข้านึกถึงสหายคนหนึ่ง นางเป็นเหมือนเจ้าและแอบออกจากตระกูลของนาง แต่นางไปยังภพมนุษย์จากภพเซียน ในขณะที่เจ้าไปที่ภพเซียนจากภพมนุษย์” เฉินซีคิดถึงอาซิ่วโดยไม่ได้ตั้งใจ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะกล่าว
“มีคนอย่างข้าเหมือนกันหรือ?” มู่หลิงหลงรู้สึกประหลาดใจ นางจึงเลิกเศร้าโศกและหยุดโทษตัวเอง นางเหมือนกับเด็กน้อยไร้เดียงสาจริง ๆ และการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของนางก็ไม่สามารถเทียบได้กับคนทั่วไป
“ใช่แล้ว ไว้ข้าจะแนะนำนางให้รู้จักถ้ามีโอกาส ตอนนี้เจ้าควรทำใจให้สงบและพักฟื้นเสียก่อน” เฉินซีออกคำสั่งก่อนที่เขาจะเดินไปยังศพของเซียวเยี่ยนและเซียวกุ้ย หลังจากค้นร่างกลับไม่พบสิ่งใดเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศิลากำเนิดวิญญาณคราม
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ แล้วมองมู่หลิงหลงซึ่งกำลังบ่มเพาะอยู่ด้านข้าง ก่อนนับเวลาคร่าว ๆ และตั้งใจว่าจะรอจนพระอาทิตย์ตกดินเพื่อให้หญิงสาวได้ฟื้นตัว
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่มีทางรวบรวมศิลากำเนิดวิญญาณครามให้เพียงพอได้ในวันนี้ นับประสาอะไรกับกลับไปที่พื้นผิวเพื่อส่งมอบมัน
แต่เฉินซีไม่ได้สนใจ แม้ว่าปราณวิญญาณครามจะพลุ่งพล่านออกมาจากภายในเหมืองหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน แต่มันก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
เหตุผลนั้นง่ายมาก เฉินซีมีศิลาอมตะและน้ำอมฤตจำนวนมากอยู่ในครอบครอง เมื่อรวมกับต้นอ่อนเงาทมิฬภายในร่างกาย มันสามารถค้ำจุนเขาได้ทั้งวันทั้งคืน ยิ่งกว่านั้น พลังจะไม่หมดจนเกือบตายเพราะขาดแคลนศิลาอมตะเหมือนหนานกงฮุย และถูกปราณวิญญาณครามจู่โจม
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็ตัดสินใจได้
‘ช่างเถอะ เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เมื่อความแข็งแกร่งของร่างหลักฟื้นคืนและควบแน่นพลังของกฎแล้ว ข้าจะเข่นฆ่าจนกว่าจะพบทางออกไปจากที่นี่…’
ในเวลาเดียวกัน ภายในเหมืองวิญญาณคราม หูของเหวยเจิ้งก็ได้ยินเสียงแหบแห้งทุ้มต่ำ “เหวยเจิ้ง จงไปตามโหลวเฟิง เซวียคุนและหวงซิน จากนั้นมาพบกับข้าพร้อมกัน”
“ใต้เท้าสยงหมิง!”
ร่างกายของเหวยเจิ้งแข็งทื่อ จากนั้นเขาก็โค้งคำนับพร้อมกับกล่าวผ่านกระแสปราณว่า “รับทราบขอรับ ใต้เท้า”