บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 1018 หยกเทวะวิญญาณคราม

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1018 หยกเทวะวิญญาณคราม

บทที่ 1018 หยกเทวะวิญญาณคราม

ผนังหินเต็มไปด้วยรอยแตกร้าวจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้จนแทบจะถล่มลงมา

หากเป็นในภพมนุษย์คงไม่ต้องพูดถึงผนังหิน ทั้งตัวเหมืองคงได้ถูกทำลายหายไปจนสิ้น

เพราะนี่คือการต่อสู้ระหว่างเซียนสวรรค์!

เห็นได้ชัดว่าพลังแห่งกฎของฟ้าดินในภพเซียนนั้นหนาแน่นเพียงใด ทำให้ไม่สามารถดึงดาราจากฟากฟ้าหรือทำให้ทะเลลุกเป็นไฟได้เช่นในภพมนุษย์หากยังไม่ถึงขอบเขตเซียนทองคำ

ทุกสิ่งมีชีวิตที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตเซียนทองคำจะถูกยับยั้งไว้ด้วยกฎนี้!

ยกตัวอย่างเช่น กฎแห่งมิติในภพเซียนทำให้เซียนสวรรค์ไม่สามารถเคลื่อนย้ายผ่านมิติได้ ในขณะที่เซียนลึกลับสามารถเคลื่อนมิติได้ไกลพันลี้ แต่ก็กินพลังมาก

มีเพียงขอบเขตเซียนทองคำขึ้นไปเท่านั้นที่จะสามารถเดินทางได้อย่างอิสระภายในภพเซียน

รอยแยกทางด้านล่างกำแพงดึงความสนใจเฉินซีไว้ได้ มันฉาบด้วยแสงบาง ๆ ใสกระจ่างดั่งน้ำในทะเลสาบ แต่เมื่อมาอยู่ในทางเดินอับชื้นมืดครึ้มเช่นนี้จึงดูไม่เด่นเท่าไร

ฟุ้บ!

เฉินซีเดินเข้าไปคว้ามันไว้ ก่อนจะเอื้อมมือออกไป นิ้วแกร่งดั่งท่อนเหล็กทำลายเนื้อหินรอบรอยแยกนั้น

ไม่นานนัก รูที่มีขนาดเท่าครึ่งคนก็ปรากฏขึ้นบนผนังหิน ภายในมีพื้นที่ปิดแคบ ๆ กระแสแสงจางนั้นมาจากหินในนี้นั่นเอง

‘ดูเหมือนจะเป็น…’ เฉินซีรู้สึกประหลาดใจ ชื่อของหินผุดขึ้นมาในจิตใจเขา แต่เขายังไม่มั่นใจเพราะมันเป็นของหายากยิ่ง

หลังจากตรวจรอบกายดูแล้วว่าไร้อันตราย เฉินซีจึงค้อมตัวลอดเข้าช่องว่างนั้นไป

เขานั่งยองช้า ๆ จากนั้นเอามือวางทาบกับพื้นอยู่ชั่วขณะ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดที่ทั้งอบอุ่นทว่าเยือกเย็นชโลมไปทั่วร่าง ทำให้จิตวิญญาณรู้สึกสดชื่นเหมือนหิมะโปรย รู้สึกกระจ่างไปทั่วทั้งกาย

ความรู้สึกนี้ทำให้เฉินซีมั่นใจ รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเปลี่ยนนิ้วมือเป็นประหนึ่งคมกระบี่ พร้อมปล่อยกระแสปราณจ้าววิญญาณอมตะหนาแน่นออกมา

เปรี๊ยะ!

นิ้วชี้ของเขาคมเหมือนใบมีด ค่อย ๆ กรีดเนื้อหินบนพื้น ราวกับเกรงว่าจะโดนของล้ำค่าใต้หินก้อนนั้นเข้า

ภายในเวลาไม่นานเฉินซีก็สะบัดเศษหินที่ถูกตัดออกไป จากนั้นหินหยกสีครามขนาดสี่ฉื่อซึ่งมีผิวเรียบลื่นดั่งกระจกและเต็มไปด้วยลวดลายลึกล้ำก็สะท้อนเข้าสู่นัยน์ตา

ทันใดนั้นอากาศบริสุทธิ์วูบหนึ่งลอยขึ้นสูง หินหยกซึ่งคล้ายกับแสงสีครามก็ลอยอยู่เหนือทะเลสีน้ำเงิน ปลดปล่อยกลิ่นอายอ่อนโยนทำให้จิตใจสดชื่นออกมา

เป็นกลิ่นอายบริสุทธิ์ อบอุ่น หนาแน่น ทว่าจับต้องไม่ได้ อีกทั้งยังทำให้จิตใจและร่างกายของเฉินซีรู้สึกสุขสงบราวกับได้กลับคืนสู่อ้อมอกผู้สร้าง

หยกเทวะวิญญาณคราม!

ดวงตาของชาายหนุ่มเปล่งประกายเพราะจำหยกชิ้นนี้ได้

ตามคำร่ำลือกล่าวกันว่า หยกเทวะวิญญาณครามเป็นหยกเทวะประเภทหนึ่งที่เกิดจากวิญญาณของพฤกษาคราม ว่ากันว่าผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งภพเซียนเมื่อครั้งบรรพกาลนาม ‘ราชันเซียนชิงหู’ นั้นถือกำเนิดมาจากหยกเทวะวิญญาณคราม

อาจกล่าวได้ว่าหินหยกก้อนนี้เป็นสมบัติล้ำค่าเหลือคณา ตัวหินหยกเองยังเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่สุดชิ้นหนึ่งในการหลอมสมบัติอมตะระดับวีรบุรุษ ทั้งยังสามารถควบแน่นวิญญาณได้ แค่หยดหนึ่งก็สามารถฟื้นฟูจิตวิญญาณที่บาดเจ็บสาหัสได้โดยสมบูรณ์!

ในภพเซียน หยกเทวะวิญญาณคราม น้ำพุเซียนหนวดมังกร วิญญาณมงคลสีเงิน น้ำค้างแสงจันทร์ และไม้อำไพวิญญาณเที่ยงแท้ล้วนเรียกว่าขุมทรัพย์อมตะล้ำค่าทั้งห้า

ทุกชิ้นมีมูลค่ามหาศาล ว่ากันว่าสมบัติมากมายที่หามาได้ง่าย แต่ขุมทรัพย์อมตะล้ำค่าทั้งห้าชิ้นนี้แทบหาไม่ได้เลย

อาจกล่าวได้ว่าเฉินซีคุ้นชินกับมันมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีวันที่เขาได้พบเจอกับสมบัติล้ำค่า ทั้งยังเป็นชิ้นใหญ่เช่นนี้ เขาจึงอดรู้สึกตกใจไม่ได้

ไม่รู้ว่าจะสามารถนำหยกเทวะวิญญาณครามชิ้นเท่านี้ไปแลกกับสมบัติอมตะใดได้บ้าง สมบัติระดับวิญญาณทมิฬ? ระดับจักรวาล? หรือระดับวีรบุรุษ? เฉินซีไม่มั่นใจ เพราะถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งมาถึงภพเซียน ยังไม่รู้ราคาสมบัติของที่นี่ ดังนั้นจึงไม่กล้าด่วนตัดสิน แต่มูลค่าของหยกเทวะวิญญาณครามชิ้นนี้คงเกินกว่าจะจินตนาการได้เป็นแน่

ที่สำคัญในยามนี้ เฉินซีสามารถสร้าง ‘ยันต์เทวะ’ ที่แท้จริงได้ด้วยการใช้หยกเทวะวิญญาณครามเป็นวัตถุดิบ!

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสร้างยันต์เทวะพฤกษาครามได้สำเร็จ จะมีภาพของจักรพรรดิครามและจักรพรรดินีพฤกษาอยู่ เหมือนกับยันต์เทวะผสานธาตุที่มีภาพจักรพรรดิพิสุทธ์และจักรพรรดินีทองคำโบราณ

คำว่า ‘เทวะ ในยันต์เทวะนั้นหมายถึงอำนาจแห่งทวยเทพ

วัตถุดิบที่ใช้สร้างยันต์เทวะนั้นมีข้อกำหนดยุ่งยากมาก อย่างน้อยเท่าที่เขารู้ นอกจากหยกเทวะวิญญาณครามแล้ว ก็ยังมีสมบัติอีกหลายสิบอย่างที่สามารถใช้สร้างยันต์เทวะได้เหมือนกัน ถึงจะมีมูลค่าไม่สูงเท่าหยกเทวะวิญญาณคราม แต่ผลที่ได้รับก็ไม่ต่างกันเท่าไร

ซึ่งนี่เป็นเพียงแค่วัตถุดิบเริ่มต้นที่ใช้สร้างยันต์เทวะเท่านั้น ยังมีพู่กันกับหมึกยันต์อักขระอีก รวมถึงวิชาที่ใช้ในการสร้างมันขึ้นมา จึงนับได้ว่าซับซ้อนมากทีเดียว

เห็นได้ชัดว่าการจัดสร้างยันต์เทวะขึ้นมาสักชิ้นนั้นยากเย็นเพียงใด

ไม่คิดเลยว่าจะได้พบเจอโชคดีในโชคร้าย ได้เจอสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึกอยู่นาน จากนั้นค่อย ๆ ขุดเอาหยกเทวะวิญญาณครามออกมาเก็บโดยไม่ลังเล

ทว่าหลังจากเฉินซีออกจากพื้นที่นี้และกลับเข้าทางเดินอีกครั้ง เขาก็เห็นมู่หลิงหลงยังคงนั่งสมาธิบ่มเพาะพลังอยู่ จึงนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง แล้วครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

การมาถึงของเซียนสวรรค์หวงซินอาจกล่าวได้ว่าทำเฉินซีตกใจไม่น้อย แต่กลับไม่สามารถระบุที่อยู่ของเบาะแสใดได้เลย เบาะแสเดียวที่มีคือราชันเซียนลิ่นฮ่าว

น่าเสียดาย ผู้ที่สามารถขึ้นเป็นราชันเซียนได้ล้วนเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนปราชญ์ทั้งสิ้น ฉะนั้นถึงเขาจะรู้ดีว่าตนเองสามารถได้คำตอบจากราชันเซียนลิ่นฮ่าว แต่ยังไม่กล้าเสี่ยงในตอนนี้

เพราะความแตกต่างของพลังบ่มเพาะมีมากเกินไป

‘ไม่ว่าอย่างไรหวงซินก็ตายด้วยน้ำมือข้าไปแล้ว หากข้าขึ้นไปตอนนี้ได้เดินเข้ากับดักเป็นแน่ คงได้แต่ต้องสงบจิตใจแล้วอยู่ที่นี่ต่อ เมื่อร่างหลักสามารถหลอมรวมพลังแห่งกฎได้แล้วค่อยบุกขึ้นไป’ หลังจากคิดอยู่นาน เฉินซีก็ส่ายหัว ถึงฆ่าหวงซินไปหรือไม่ สถานการณ์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง มีแต่ต้องแข็งแกร่งและกำจัดศัตรูทั้งหมดถึงจะสามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกฎ หากไม่สามารถควบแน่นอำนาจกฎได้ ถึงขึ้นขอบเขตเซียนสวรรค์ไปก็เป็นได้เพียงเสือกระดาษ เป็นแค่เซียนสวรรค์เพียงในนาม ยังไม่สามารถพลิกสถานการณ์ในปัจจุบันได้…

ณ ด้านนอกเหมือง

ทันทีที่หวงซินถูกสังหาร ภูเขาลูกหนึ่งก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เกิดเป็นแผ่นดินไหวสะเทือนอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะสงบลง

ความวุ่นวายเช่นนี้ย่อมไม่อาจรอดพ้นสายตาของเหวยเจิ้ง โหลวเฟิง สยงหมิง และคนอื่น ๆ ไปได้ ถึงขั้นผู้ข้ามผ่านที่กลายเป็นทาสยังสังเกตเห็นได้เช่นกัน

ทุกคนมีสีหน้าตกใจขึ้นมาเล็กน้อย

“ศิษย์น้องหวงซินตายแล้ว!” เซวียคุนมีใบหน้ามืดมนพลางหยิบป้ายชะตาวิญญาณที่แตกออกมา “นี่คือสิ่งที่เขากับข้าแอบนำออกมาจากนิกายด้วย”

เสียงของเซวียคุนแหบแห้ง แสดงถึงความเกลียดชังที่ไม่อาจปกปิดได้

ตายแล้วหรือ?

เมื่อได้ยินทุกคนต่างสะดุ้ง ตกตะลึงไม่อยากเชื่อหูตน

“แน่ใจหรือว่าไม่ผิดพลาด? ผู้ข้ามผ่านนั่นเพิ่งมาถึงภพเซียนได้ไม่พ้นสองวัน อาจยังหลอมรวมพลังแห่งกฎไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แล้วจะเทียบกับหวงซินได้อย่างไร?” โหลวเฟิงมุ่นคิ้ว ดูสับสนเล็กน้อย

เซวียคุนนัยน์ตาแดงจัดยามได้ยินว่าโหลวเฟิงกล้าสงสัยถึงการตายของศิษย์น้องของตน พลางส่งสายตาดุดันไปทางโหลวเฟิงก่อนคำรามลั่น “ข้าอาจจะโกหกได้ แต่ป้ายชะตาวิญญาณนี่โกหกได้หรือ?”

“เอาล่ะ ทุกคนใจเย็นก่อน!” เหวยเจิ้งขมวดคิ้วแน่น นัยน์ตาข้างเดียวมองทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา “ถึงอย่างไร เรื่องก็เกิดไปแล้ว เราหาทางรับมือกันดีกว่า จากที่ข้าคะเนดู เด็กนั่นอาจจะเป็นเฉินซีจากแดนภวังค์ทมิฬ แต่ถึงกับสังหารหวงซินได้นับว่าน่าตกใจพอดู”

“หรือเด็กนั่นจะมีสมบัติหายากอยู่หรือ?” โหลวเฟิงถามขึ้น

“เป็นไปได้” เหวยเจิ้งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะมองเซียวอวิ๋นที่อยู่ในหมู่คน แล้วลากตัวเซียวอวิ๋นออกมา ยกเท้าย่ำอก “ข้ารับใช้เจ้าถูกเฉินซีสังหารใช่หรือไม่? บอกข้ามาว่าเขาเป็นคนอย่างไร”

เซียวอวิ๋นถูกลากออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะถูกเหวยเจิ้งเอาเท้ายันไว้เช่นนั้น ความอับอายที่มาเยือนกะทันหันทำเอาโกรธจนใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

บัดซบ!

เหลือเวลาเพียงเก้าวันเท่านั้น! เมื่อกองหนุนของนายน้อยผู้นี้มาถึง ข้าจะแยกร่างพวกเจ้าแล้วเอาไปโยนให้สุนัขกิน!

เซียวอวิ๋นได้แต่กู่คำรามอยู่ในใจ

“หากไม่พูด ข้าจะทรมานและสังหารเจ้าทิ้งเสียตอนนี้!” ดวงตาเซวียคุนเต็มไปด้วยเลือด เขาหอบหายใจรุนแรงเหมือนอสูรคลั่งใกล้จะระเบิดเต็มทน ใบหน้าอวบอ้วนเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด ความโศกเศร้า และความขุ่นเคือง

เซียวอวิ๋นตัวสั่น รู้ว่าหากอยากรอดชีวิตก็ต้องอดทนเอาไว้ก่อน

“ข้าไม่รู้ว่าเด็กนั่นมีความแข็งแกร่งมากแค่ไหนกันแน่ แต่ข้ามั่นใจว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ใช้ทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร ทั้งยังมีพลังอิทธิฤทธิ์ที่น่าเกรงขาม…” พริบตาเดียว เซียวอวิ๋นก็พูดทุกอย่างที่ได้เห็นออกมาจนหมด เพราะเขาไม่เพียงอยากให้เหวยเจิ้งและพรรคพวกพบเจอจุดจบเท่านั้น แต่จะไม่ปล่อยให้เฉินซีที่สังหารข้ารับใช้ของตนรอดไปด้วย

หากใช้เหวยเจิ้งกับพรรคพวกกำจัดเฉินซีได้จะดียิ่ง

ทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร!

เหวยเจิ้งกับโหลวเฟิงเหลือบมองกัน พอเข้าใจอยู่ราง ๆ ผู้ขัดเกลากายาเหนือกว่าผู้บ่มเพาะปราณแท้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถึงจะขึ้นเป็นเซียนสวรรค์ก็ตามที

ถึงจะยังไม่สามารถหลอมรวมพลังแห่งกฎได้ แต่หากเด็กคนนั้นมีพลังอิทธิฤทธิ์ทรงอำนาจมาก เช่นนั้นก็ไม่แปลกที่จะสังหารหวงซินได้

แต่แน่นอนว่ามีโอกาสเพียงน้อยนิดเท่านั้น

หากพวกนี้รู้ว่าร่างอวตารของเฉินซีอยู่เพียงขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดและยังไม่ใช่ขอบเขตเซียนสวรรค์ คงไม่คิดเช่นนี้แน่

ฟึ่บ!

ในตอนนั้นเอง เซวียคุนก็พุ่งตัวออกไปไกลแล้ว

“เจ้าอ้วนเซวีย! เจ้าจะไปไหน!?” เหวยเจิ้งตะโกนถามเสียงเครียด

“ก็จะไปฆ่าคนอย่างไรเล่า! เด็กนั่นเป็นผู้ขัดเกลากายาไม่ใช่หรือ? ข้าใช้เวลาขัดเกลาหมอกวิบัติเบญจพิษอยู่ในถ้ำโลหิตหมอกวิบัติหลายปี แต่ไม่ได้ใช้สักที ครั้งนี้…ใช้กับเจ้าเด็กนั่นก่อนก็แล้วกัน!” น้ำเสียงเคียดแค้นของเซวียคุนดังสะท้อนไปทั่ว ผู้ใดได้ยินคงต้องรู้สึกเย็นยะเยือกในหัวใจ หมอกวิบัติเบญจพิษ! นั่นมันสมบัติต้องห้ามนี่!!

—————————————

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท