บทที่ 1027 การมาถึงของเซียนทองคำ
บทที่ 1027 การมาถึงของเซียนทองคำ
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ขณะที่กวาดผ่านชายวัยกลางคนร่างผอมบางและชายชราราวกับคมกระบี่ ไม่คิดปกปิดจิตสังหารแม้แต่น้อย
การถูกจดจ้องเช่นนี้ ทำให้ทั้งคู่ร้องออกมาด้วยความตกใจ ราวกับถูกราดด้วยน้ำเย็นถังใหญ่ จนร่างกายสั่นสะท้าน พร้อมกับรู้สึกถึงกลิ่นอายอันน่ากลัวของอันตราย ทำให้เงียบเสียงลงฉับพลัน
“เจ้าทั้งคู่จำข้าได้หรือไม่” เฉินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เหตุการณ์ที่เหมืองวิญญาณครามเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมา ทั้งสองคนจึงไม่น่าจะรู้เรื่องนี้เร็วนัก อย่างไรก็ตาม จากปฏิกิริยาของพวกเขา ดูเหมือนจะเคยได้ยินชื่อเสียงของตนมาก่อน เป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่ง
หลังจากหายตกใจ ชายวัยกลางคนร่างผอมทั้งโกรธและอับอายที่รู้สึกตื่นกลัวจนตัวสั่นโดยมดตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งข้ามผ่านมาเมื่อไม่กี่วันก่อน และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที “ตอนนี้คงไม่มีใครในทวีปสันติบูรพาไม่รู้จักนามของเจ้า! เจ้าคือวายร้ายที่ตำหนักราชันเซียนตามล่า!”
ปัง!
เขาตบโต๊ะ ยืนขึ้นก่อนจะตะโกนว่า “เฉินซี ยอมให้จับกุมแต่โดยดี! หากเจ้ายังคงปฏิเสธที่จะตระหนักถึงความผิดของเจ้า ก็อย่าได้ตำหนิพวกเราที่ไร้ความปรานี!”
“เนื่องจากเจ้าตั้งใจที่จะกลับมารับตราเซียน มันจึงพิสูจน์ได้ว่าสันดานของเจ้าไม่ได้เลวร้าย ยามนี้เจ้าอาจหลีกเลี่ยงโทษทัณฑ์ได้ หากเจ้าอยู่ที่นี่อย่างเชื่อฟัง” ชายชรายืนขึ้นพร้อมเผยสีหน้าเย็นชา และมีท่าทางไม่แยแสคล้ายกำลังมองดูนักโทษวิงวอนขอความเมตตา
ท่าทีเช่นนี้คล้ายกับการปฏิบัติต่อเฉินซีตอนที่เพิ่งมาถึงโถงสวรรค์ไม่มีผิด
ดูเหมือนในสายตาของสองคนนี้ ผู้ข้ามผ่านทุกคนเป็นเหมือนทาสที่ต้องรับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง
นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่รู้ถึงเหตุการณ์ในเหมืองวิญญาณครามจริง ๆ
โครม!
ทันใดนั้น กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่ลึกราวกับหุบเหวลึกก็แผ่ออกมาจากร่างของเฉินซี เหมือนกับสัตว์ร้ายในยุคบรรพกาลได้ตื่นจากการหลับใหล
โครม!
โต๊ะไม่สามารถทนต่อแรงกดดันของกลิ่นอายรุนแรงนี้ได้อีกต่อไป มันแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายไปรอบ ๆ ชายวัยกลางคนผอมบางและชายชราร่างสั่นสะท้านราวกับมีภูเขากดทับลงมาบนตัว จนต้องถอยกลับไปหลายก้าว พร้อมกับเสียงกระทืบเท้าดังกึกก้อง ร่างโงนเงนจนเกือบล้ม สภาพไม่น่าดูอย่างยิ่ง
คนทั้งสองสีหน้าซีดขาวราวกับภูตผี มันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่เชื่อในสายตาของตนเอง เพราะพวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ผู้ข้ามผ่านคนนี้จะมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวได้ขนาดนี้
ชายวัยกลางคนร่างผอมคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าคิดจะทำอะไร? เราเป็นคนของนิกายรัศมีเมฆา หากเจ้ากล้าใช้กำลังกับเรา นิกายรัศมีเมฆาจะต้องให้เจ้าชดใช้อย่างแน่นอน!”
เพียะ!
ท่าทางของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง ชายหนุ่มยกมือขึ้นและเหวี่ยงมันออกไป ตบเข้าที่ใบหน้าของชายวัยกลางคนอย่างรุนแรง แรงกระแทกทำให้เลือดไหลออกจากปากและจมูก จนล้มกองลงไปกับพื้น พร้อมกับร้องโหยหวนราวกับหมูกำลังถูกเชือด
“เจ้า…บังอาจนัก!” ชายชราทั้งตกใจและโกรธในเวลาเดียวกัน จึงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยเสียงอันน่ากลัว “การทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้เจ้าต้องตกอยู่ในหายนะไปชั่วนิรันดร์!”
แม้ว่าเสียงจะยังแข็งกระด้าง แต่ท่าทีกลับอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าทั้งคู่ชดใช้บาปของเจ้า บอกข้าทุกอย่างที่เจ้ารู้มา แล้วข้าจะไว้ชีวิต” ขณะที่ดวงตาของเฉินซีกะพริบไหว มวลพลังของกฎก็พลุ่งพล่านดุจสายฟ้า สายตาจดจ้องไปยังชายชรา “ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าไตร่ตรองเพียงแค่สามลมหายใจ”
ท่าทีเช่นนี้อหังการเป็นอย่างมาก และไม่ได้ให้โอกาสขัดขืนเลยแม้แต่น้อย ทำให้มู่หลิงหลงที่อยู่ใกล้เคียงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
แต่นางเกลียดสองคนนี้มากเช่นกัน จึงไม่เอ่ยอันใด
“โอหัง!” ชายวัยกลางคนร่างผอมยืนขึ้น จ้องมองเฉินซีด้วยความไม่พอใจ ขณะกำลังจะกล่าววาจาต่อ เขาก็ถูกชายชราหยุดไว้เสียก่อน
ชายชรามองไปที่ชายหนุ่มด้วยสีหน้าซีดเผือด “เราเป็นเพียงเซียนสวรรค์ที่มีหน้าที่รับผู้ข้ามผ่าน ดังนั้นเราอาจไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าต้องการ”
“คำถามนั้นง่ายมาก บอกข้ามาว่าเหตุใดข้าถึงกลายเป็นที่ต้องการตัวในทวีปสันติบูรพาเช่นนี้?” เฉินซีถามด้วยน้ำเสียงไม่แยแส ความจริง เขามีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เพียงแต่ไม่แน่ใจนัก เพราะตั้งแต่ตอนสังหารหวงซิน หวงซินก็ได้บอกว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของราชันเซียนลิ่นฮ่าว
ราชันเซียนลิ่นฮ่าวได้ส่งผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมากมาเพื่อจับตัวเขา จึงได้ตามจับผู้ข้ามผ่านทั้งหมดที่เพิ่งมาถึงภพเซียนในทวีปสันติบูรพา ทั้งยังกระทำอย่างโหดร้าย ราวกับยินยอมสังหารผู้บริสุทธิ์นับพันดีกว่าการปล่อยให้เป้าหมายหนีรอดไปได้
แต่เฉินซียังไม่เข้าใจเพราะไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดว่าตนเป็นศัตรูกับราชันเซียนลิ่นฮ่าวตั้งแต่เมื่อใด และนี่คือเหตุผลที่ต้องถามคำถามนี้
“เจ้า…ไม่รู้จริง ๆ หรือ?” ชายชราตกตะลึง และดูไม่เชื่อเล็กน้อย
เฉินซีกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเป็นคนถามคำถามเจ้า” น้ำเสียงเริ่มหมดความอดทน
“นี่คือคำสั่งของราชันเซียนลิ่นฮ่าว ประมาณหนึ่งเดือนก่อน เมืองทั้งแปดหมื่นหกพันแห่งในทวีปสันติบูรพาได้รับคำสั่งนี้ เป็นคำสั่งให้จับกุมผู้ข้ามผ่านทั้งหมดที่มาถึงภพเซียนในช่วงเวลานี้” เมื่อชายชราสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของเฉินซี สีหน้าพลันซีดลง ก่อนจะรีบกล่าว “เมื่อไม่กี่วันก่อน เราพบว่าเหตุผลที่ราชันเซียนลิ่นฮ่าวระดมกำลังจำนวนมากก็เพื่อจับตัวเจ้า ส่วนเรื่องอื่นนั้นไม่มีใครรู้”
คิ้วของเฉินซีขมวดเข้าหากัน แม้จะรู้ว่าด้วยระดับของชายสองคนนี้ไม่มีทางรู้ทุกอย่าง แต่ก็ยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบของชายชรา
หลังจากครุ่นคิดครู่ใหญ่ เฉินซีก็กล่าวว่า “แล้วไปเถิด ครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า จงมอบตราเซียนมาซะ”
ชายวัยกลางคนและชายชราถอนหายใจด้วยความโล่งอก เนื่องจากพวกเขารู้ตัวว่ารอดพ้นจากหายนะได้ชั่วคราว
เมื่อได้ยินเฉินซีสั่งให้มอบตราเซียน ชายชราก็อดตกใจไม่ได้ “สหายเต๋า แม้ว่าตราเซียนจะไม่มีประโยชน์อะไรมากมายนัก แต่ก็เป็นไปตามกฎของภพเซียน ดังนั้นนามและที่มาจึงไม่สามารถเขียนตามอำเภอใจได้ หากมีผู้ใดกระทำ ก็เท่ากับละทิ้งตัวตนของตนในฐานะเซียน และอาจเผชิญกับทัณฑ์ของกฎเแห่งเต๋าสวรรค์เมื่อผู้บ่มเพาะบรรลุขอบเขต!”
เฉินซีตกตะลึง แต่แล้วกลับยิ้มอย่างเสแสร้ง “เจ้าคิดว่าข้าจะเปลี่ยนนามเพื่อหลบหนีคำสั่งของราชันเซียนลิ่นฮ่าวหรือ?”
เขารู้ว่าคำพูดของชายชราถูกต้องทุกประการ ตราเซียนไม่สามารถประดิษฐ์ขึ้นเองได้ เพราะมันเทียบเท่ากับการหลอกลวงกฎเแห่งเต๋าสวรรค์ในภพเซียน และเต๋าแห่งสวรรค์ก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
ชายชรายิ้มเจื่อน “ไม่แน่นอน”
มู่หลิงหลงที่อยู่ใกล้เคียงก็กล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ “ราชันเซียนลิ่นฮ่าว ช่างน่ารังเกียจนัก เขาไม่สนใจสิ่งใด และถึงกับออกคำสั่งให้จับกุมคุณชายไปทั่วทั้งทวีป นี่เป็นการรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า น่ารังเกียจและไร้ยางอายที่สุด”
ชายวัยกลางคนร่างผอมและชายชราตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
“สาวน้อยคนนี้ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้าเสียจริง นางกล้าวิจารณ์ราชันเซียนลิ่นฮ่าวอย่างตรงไปตรงมา นี่เป็นการดูหมิ่นอย่างใหญ่หลวง! ถ้าข่าวนี้แพร่กระจายออกไป นางคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายอย่างไร”
เฉินซีกลับหัวเราะแทน เพราะสาวน้อยคนนี้ไม่มีประสบการณ์ นางจึงไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
“ฮึ่ม! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงไม่เคารพผู้อาวุโสของเจ้า!?” อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ามีใครบางคนได้ยินคำพูดของมู่หลิงหลง จึงแค่นเสียงเย็นชาออกมา เสียงนี้เย็นยะเยือกจนเสียดแทงกระดูก และชอนไชเข้าไปในหูราวกับน้ำแข็ง ทำให้ชายชราและชายวัยกลางคนตัวสั่นสะท้าน ใบหน้าซีดเซียวมากกว่าเดิม
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทำให้เลือดลมของเฉินซีปั่นป่วน และหันมองไปในระยะไกลอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ
โอม!
อากาศปั่นป่วนอย่างรุนแรงพร้อมกับลำแสงสีทองพุ่งทะลุผ่าน และเคลื่อนตัวตรงมาที่นี่ มันเต็มไปด้วยปราณมงคลนับพันสายและรัศมีศักดิ์สิทธิ์อีกนับไม่ถ้วน เหมือนสายฝนที่ทั้งสว่างไสวและเจิดจ้าโปรยปรายลงมา
อึดใจต่อมา ร่างที่ค่อนข้างหล่อเหลาก็เดินออกมาจากอากาศ เขายืนอยู่บนลำแสงสีทองขณะก้าวเข้ามา ประหนึ่งเทพเจ้าจุติลงมา
ชายผู้นี้สวมเสื้อผ้าสีขาวราวหิมะ คิ้วเฉียงและคมกริบ ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า และผมยาวหนาถูกเกล้าเป็นมวยไว้ด้านหลังศีรษะ เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาอันเยือกเย็นและภาคภูมิ อีกทั้งยังมีตัวกระบี่ล้ำค่าที่ยังไม่ได้ปลดออกจากฝัก มันเปล่งแสงเยียบเย็นส่องประกายแวววาวอย่างยิ่ง
กลิ่นอายอันโอ่อ่าไร้รูปทำให้ชายชราและชายวัยกลางคนตกใจจนสั่นสะท้าน ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าจิตวิญญาณกำลังถูกคุกคามจนยากจะพรรณนา หากไม่ฝืนยืนหยัดไว้ พวกเขาคงล้มลงไปที่พื้นแล้ว
“เซียนทองคำ!”
เฉินซีจดจ่ออยู่กับท่าทีของอีกฝ่าย คนผู้นี้เหมือนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ทุก ๆ การเคลื่อนไหวก็แฝงไปด้วยพลังแห่งกฎและเผยให้เห็นถึงพลังคุกคามอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเทียบได้กับราชาฉู่เจียง ราชาซ่งตี้ และเซียนทองคำคนอื่น ๆ ที่เฉินซีเคยพบพานในอดีต!
‘เหตุใดเซียนทองคำถึงมาอยู่ที่นี่?’
‘เป็นไปได้หรือไม่ว่า ราชันเซียนลิ่นฮ่าวส่งเขามาเพื่อจับตัวข้า?’
ความคิดมากมายผุดขึ้นในใจของเฉินซี เมื่อเขารู้สึกถึงอันตรายร้ายแรง สีหน้าค่อย ๆ เคร่งขรึม เส้นประสาทในร่างกายตึงเครียดราวกับคันธนูที่ง้างออกเต็มที่
“ระวังตัวด้วย ข้าอาจดูแลเจ้าไม่ได้” เฉินซีกล่าวกับมู่หลิงหลงผ่านกระแสปราณอย่างรวดเร็ว
หากการต่อสู้ปะทุขึ้น ชายหนุ่มไม่เพียงจะดูแลนางไม่ได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่กล้ายืนยันว่าจะสามารถหลบหนีได้พ้น
เพราะนี่คือเซียนทองคำ!
เซียนทองคำคือผู้เข้าใจต่อปราณสรรค์สร้างที่มีความสามารถในการปกคลุมจักรวาล และสร้างโลกขึ้นมาใหม่ได้ ทำให้เซียนทองคำมีพลังไร้ขอบเขต ตัวตนระดับนี้นับเป็นเสาหลักและผู้ปกครองในภพเซียน!
ครั้งหนึ่งเฉินซีเคยใช้เวลาร่วมกับชิงซิ่วอี้ ผู้เข้าใจแก่นแท้ของขอบเขตเซียนทองคำ และอาจถือได้ว่ามีความเข้าใจต่อความแข็งแกร่งที่เซียนทองคำครอบครองอย่างลึกซึ้ง
มู่หลิงหลงตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงของเฉินซี ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย และเผยสีหน้าแปลกประหลาดจนสุดจะพรรณนา นางกล่าวอย่างเขินอาย “คุณชายเฉินซี จริง ๆ แล้ว… ”
เฉินซีขมวดคิ้วและไม่พอใจกับปฏิกิริยาของมู่หลิงหลง แม้แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ นางก็ยังไม่สามารถตั้งสติได้
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มในชุดสีขาวราวหิมะก้าวเข้ามาถึงหน้าโถงแล้ว สายตาของเขาเต็มไปด้วยแสงอันเย็นชา ขณะกวาดสายตามองทุกคน และหยุดลงที่มู่หลิงหลง “ทำไมเจ้าถึงกล้าก่นด่าราชันเซียนลิ่นฮ่าว?”
ทันทีที่กล่าวคำเหล่านี้ ทุกคนต่างตะลึง เพราะคำพูดเหล่านี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกประณามความผิดของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“ข้าเกือบถูกฆ่าเพราะเขา จะก่นด่าเขาไม่ได้เลยหรือ?”
ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน มู่หลิงหลงไม่ได้เกรงกลัวเลยสักนิด อีกทั้งยังตอบอย่างไม่สนใจ ทั้งท่าทีและน้ำเสียงของหญิงสาวเหมือนเด็กสาวกำลังพร่ำบ่นถึงความไม่พอใจของนาง
ชายหนุ่มในชุดสีขาวราวหิมะตกตะลึง ลำแสงแหลมคมและน่ากลัวพุ่งออกมาจากดวงตาของเขา “จริงหรือ?”
มู่หลิงหลงกล่าวด้วยความโกรธ “เหตุใดข้าต้องโกหกเจ้าด้วย”
การสนทนาระหว่างทั้งสอง ทำให้ชายชราและชายวัยกลางคนตัวสั่นด้วยความกลัว กระทั่งรู้สึกหนังศีรษะชา แม้แต่เฉินซีก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าปิดปากมู่หลิงหลง เพื่อทำให้นางหยุดกล่าว
ทว่าเฉินซีและคนอื่น ๆ ก็ต้องตกตะลึงยิ่งกว่าเก่า เมื่อได้ยินคำตอบของชายหนุ่ม
คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น และเงียบเป็นเวลานาน จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัยเล็กน้อย “นี่เขากำลังรนหาที่ตายหรือไร?”
—————————————