บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 1033 ขับไล่ศัตรูกลับไป

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1033 ขับไล่ศัตรูกลับไป

บทที่ 1033 ขับไล่ศัตรูกลับไป

จ้าวเฉิงจ้องมองแผ่นหลังของเฉินซี เมื่อเห็นว่าเฉินซีไม่มีความตั้งใจที่จะจากไป ใบหน้าของจ้าวเฉิงพลันมืดครึ้ม และกล่าวอย่างใจเย็น “สหาย โปรดเห็นแก่หน้าข้าเถิด ไปเสีย”

เฉินซีหันกลับมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เปลวไฟแห่งความหดหู่ที่สะสมอยู่ในใจเป็นเวลานาน ก็ลุกโชนอย่างควบคุมไม่ได้

“วันนี้ข้าโชคร้ายจริง ๆ!”

“ไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ แล้วตัวข้ายังมากลายเป็นอาชญากรมีค่าหัว แถมยังถูกปิดประตูใส่หน้าทั้งที่ตั้งใจจะแลกเปลี่ยนกับวัตถุดิบเซียน ยิ่งกว่านั้น แม้แต่ตอนที่ข้าเข้าไปในภัตตาคาร ยังมีกลุ่มคนที่คิดหาเรื่อง และโวยวายว่าพวกเขากำลังวางแผนที่จะจับกุมตัวข้าอย่างไรดี…”

“หรือตัวข้าดูเหมือนคนอ่อนแอ จะรังแกอย่างไรก็ได้?”

เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และสงบสติอารมณ์ที่กำลังปะทุภายในใจของเขา “ข้าแค่ต้องการความเงียบสงบ ดังนั้นอย่ารบกวนข้าจะเป็นการดีที่สุด”

เขาต้องการความเงียบสงบและไม่อยากสร้างปัญหาในตอนนี้ เพราะมีลางสังหรณ์ว่า หลังจากทุบตีสั่งสอนไอ้พวกสารเลวเหล่านี้แล้ว อาจเกิดเหตุร้ายที่ไม่คาดฝันขึ้น

แต่ทันทีที่พูดจบ สีหน้าของชายหนุ่มและหญิงสาวเหล่านั้นพลันมืดลง และไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม พวกเขาไม่เข้าใจว่า ทำไมชายที่ดูธรรมดาตั้งแต่หัวจรดเท้า ถึงกล้ากล่าวเช่นนี้

“ไอ้หนู เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ? ข้าท้าให้เจ้ากล่าวอีกครั้ง!” จ้าวเฉิงขมวดคิ้ว และใบหน้าของเขามืดมนเล็กน้อย

“ห๊ะ! ดูเหมือนไอ้เด็กนี่จะไม่รู้กฎของเมืองรัศมีเมฆา ถึงกล้ากล่าวเช่นนั้นกับพวกเรา ดู ๆ ไปเขาดูเหมือนตัวโง่งมไม่รู้ความ”

“ช่างเถอะ ให้โอกาสเขาสักครั้ง ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด การถือสากับคนโง่เขลารังแต่จะทำให้เราแย่ลง”

คนอื่น ๆ ต่างกอดอกและร่วมเย้ยหยันเช่นกัน

ข้ารับใช้หญิงของภัตตาคารเซียนหลงระเริงรอบ ๆ ต่างหน้าซีด และสายตาที่ผู้คนมองมาที่เฉินซีก็มีความรู้สึกซับซ้อนเล็กน้อย ดูเหมือนพวกเขาจะยินดีในความโชคร้ายของเฉินซี แต่ก็สงสารในเวลาเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่คือความงุนงงและประหลาดใจ

พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริง และรู้สึกว่าเฉินซีเป็นคนโง่เขลา ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเหล่าชายหนุ่มหญิงสาวตรงหน้าล้วนเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของขุมพลังอันยิ่งใหญ่ในเมืองรัศมีเมฆา ยิ่งกว่านั้น สี่คนในนั้นยังเป็นคนที่ได้รับการจัดอันดับในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป!

แต่เขากลับยังไม่รีบจากไป เอาแต่นั่งเหมือนคนโง่แทน นี่จึงไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย!

“ไอ้หนู หรือว่าเจ้าต้องการให้บิดาผู้นี้เชิญเจ้าออกไป?” เมื่อเห็นเฉินซียังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน และไม่แยแสใครทั้งสิ้น คิ้วของจ้าวเฉิงก็ขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น คำพูดของเขาเริ่มเจือความโกรธเกรี้ยวและคุกคาม

“เจ้าจะมาเสียเวลาอะไรกับคนผู้นี้? แค่โยนมันไปที่ถนนก็พอแล้ว” หวงเทียนหู่ผู้ที่มีอารมณ์รุนแรงที่สุดก้าวไปข้างหน้า ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นชา

จ้าวเฉิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองไปที่หวงเทียนหู่ ก่อนจะกล่าวว่า “เทียนหู่นี่คือภัตตาคารเซียนหลงระเริง ดังนั้นอย่าได้รุนแรงนัก”

“ไม่ต้องห่วง ข้าเพียงจะโยนเจ้าเด็กนี้ออกไปเท่านั้น” หวงเทียนหู่แสยะยิ้ม ก่อนจะก้าวไปยืนหน้าโต๊ะของเฉินซีอย่างรวดเร็ว เขากางฝ่ามือออกเหมือนที่ตักขยะ มันพลุ่งพล่านด้วยปราณเซียนพิสุทธิ์อันเย็นยะเยือก และคว้าไปที่ไหล่ของเฉินซี

“ไอ้เด็กอวดดี บิดาผู้นี้จะสั่งสอนเจ้า ถึงผลของการไม่เห็นคุณค่าในความเมตตาของผู้อื่นในวันนี้!” ฝ่ามือของเขาคว้าลงมาด้วยพลังอันดุร้าย แม้จะกล่าวว่าไม่ทำร้ายเฉินซี แต่ภายใต้พลังฝ่ามือนี้ หากเป็นคนอื่นจะต้องประสบกับความเจ็บปวดที่ไหล่ราวกับกระดูกแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปแล้ว!

“ไสหัวไปซะ!” จู่ ๆ เฉินซีก็ยกมือขึ้น เปลวไฟลุกโชนอยู่ในดวงตา ชายหนุ่มเหยียดมือออกไปดุจโซ่เหล็กที่พาดผ่านแม่น้ำ แล้วคว้าข้อมือขวาของหวงเทียนหู่เอาไว้ ก่อนที่จะเหวี่ยงเบา ๆ ทำให้ร่างกำยำของหวงเทียนหู่ถูกโยนออกไปนอกหน้าต่างทันที!

“อ๊าก!!!” ใบหน้าของหวงเทียนหู่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม และพลิกตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งเข้าหาเฉินซีอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เฉินซีเพียงดีดนิ้วใส่หวงเทียนหู่ ก่อให้เกิดพลังสายหนึ่งแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว มันตรงเข้าไปปิดผนึกเลือดลมในร่างกาย ทำให้หวงเทียนหู่กลายเป็นหุ่นเชิดไม้แข็งทื่อ

ต่อมา เสียงโครมครามก็ดังขึ้น หวงเทียนหู่ล้มกองลงบนถนนด้านนอกโดยที่ใบหน้าของเขานาบไปกับพื้น และหมดสติไป ร่างกายถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็ง ซึ่งเกิดจากกระแสพลังของกฎแห่งวารีที่แฝงอยู่ในการโจมตีของเฉินซี และผนึกเลือดลมในร่างกายของเจ้าตัวไว้

บนชั้นสองของภัตตาคาร ภาพของหวงเทียนหู่ที่หมดสติกองอยู่กับพื้นถนน ทำให้สีหน้าของจ้าวเฉิงและคนอื่น ๆ เคร่งขรึมทันควัน

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”

ในบรรดาพวกเขาทั้งหมด หวงเทียนหู่มีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลาง และควบแน่นพลังแห่งกฎสองประเภทแล้ว นอกจากนี้ อันดับของเขาในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปยังต่ำกว่าจ้าวเฉิงและเหริ่นเยว่เอ๋อร์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่ชายที่มีการแต่งตัวและการบ่มเพาะแสนธรรมดาผู้นี้ กลับบดขยี้หวงเทียนหู่ได้ในพริบตา ราวกับฉากฝันร้ายตื่นหนึ่ง

“เจ้าเป็นใครกัน? ถ้ายังไม่เปิดเผยตัวตนก็อย่าหาว่าพวกเราล่วงเกิน!” จ้าวเฉิงกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ สีหน้ามืดมนเป็นอย่างยิ่ง เพราะรู้ดีว่าคนที่สามารถเอาชนะหวงเทียนหู่ได้ จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

คนอื่น ๆ ต่างแสดงสีหน้าไม่เป็นมิตรเช่นกัน

“ไสหัวไปซะ!” เมื่อได้ลงมือแล้ว เฉินซีตระหนักว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะยุติเรื่องนี้ได้อย่างสันติ ดังนั้นในพริบตาต่อมา เขาจึงลุกยืนขึ้น สายตาที่เหมือนสายฟ้าฟาดกวาดผ่านจ้าวเฉิงและคนอื่น ๆ อย่างเย็นชา

“ไสหัวไปซะ?”

เมื่อสองคำนี้ลอดเข้าหู จ้าวเฉิงและคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกเหมือนถูกตบเข้าที่ใบหน้า ในเมืองรัศมีเมฆา จะมีใครอาจหาญกล่าวเช่นนี้กับพวกเขาบ้าง?

“ฆ่ามัน!”

“สั่งสอนมันซะ!”

จ้าวเฉิงและคนอื่น ๆ สบตากันแวบหนึ่ง พวกเขาตะโกนเรียกสหายของตน และโถมเข้าโจมตีอย่างดุเดือด

‘อย่างที่คิดไว้ ครั้งนี้ข้าไม่สามารถหลีกหนีแมลงวันน่ารำคาญเหล่านี้ได้จริง ๆ… ’

เฉินซีหัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง ความรู้สึกแย่ ๆ ในใจที่สั่งสมมาตลอดทั้งวันเปลี่ยนเป็นจิตต่อสู้พลุ่งพล่านออกมาจากร่าง ทันใดนั้น เฉินซีคล้ายเปลี่ยนเป็นคนละคน ราวกับกระบี่สังหารไร้เทียมทาน อาบย้อมไปด้วยเลือดของผู้คนนับไม่ถ้วนและถูกปลดออกจากฝัก!

ปัง!

เขาก้าวไปข้างหน้า ก่อให้เกิดสนามพลังที่ดูเหมือนจิตสังหารอันรุนแรงและกว้างใหญ่เหมือนมหาสมุทร มันแผ่ออกไปยังบริเวณโดยรอบ

จ้าวเฉิงและคนอื่น ๆ เป็นคนกลุ่มแรกที่ปะทะกับสนามพลังอันรุนแรงนี้ ความรู้สึกถูกโจมตีด้วยกลุ่มภูเขาจำนวนมหาศาล ทำให้ร่างกายสั่นสะท้าน ฝีเท้าชะงักอยู่กับที่

ปัง! ปัง! ปัง!

คลื่นเสียงอู้อี้ดังก้อง กลุ่มของจ้าวเฉิงปลิวว่อนดุจว่าวที่ป่านขาด แต่ละคนกระอักโลหิตและนอนกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ในขณะเดียวกัน โต๊ะ เก้าอี้ และของใช้ต่าง ๆ ก็ถูกร่างของพวกเขากระแทกจนพังเสียหาย

บางคนที่มีการบ่มเพาะอ่อนแอ ก็นอนกองอยู่บนพื้นหายใจโรยริน โลหิตทะลักออกจากทวารทั้งเจ็ด และสลบไป

เคล็ดนพก้าวพิฆาตโกลาหล!

นี่คือศาสตร์เต๋าระดับสูงสุดที่มาจากสัจธรรมสวรรค์ ซึ่งเฉินซีได้ผสานมันเข้ากับกฎของธาตุทั้งห้า ควบคู่ไปกับปราณเซียนพิสุทธิ์อันแข็งแกร่งอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะกวาดล้างผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ได้ทั้งหมด!

แม้แต่สยงหมิง เซียนลึกลับผู้อาศัยสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬก็ยังถูกเฉินซีสังหาร นับประสาอะไรกับชายหนุ่มและหญิงสาวเหล่านี้ที่มีการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตเซียนสวรรค์เท่านั้น

คนเหล่านี้ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย เพียงเพราะคิดหาเรื่องเฉินซีที่อดทนและเก็บตัวมาตลอด ดังนั้นพวกเขาจึงสมควรถูกทุบตีแล้ว

ปัง!

เฉินซีก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว ทำให้เกิดลมแรงหวีดหวิว พลังของกฎอันน่าสะพรึงกลัวแฝงด้วยจิตสังหารก็พัดโหมออกไปราวกับพายุไร้รูปร่าง

ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง!

จ้าวเฉิงและคนอื่น ๆ รู้สึกว่าจิตใจถูกกระแสพลังทำให้ปั่นป่วน ดาวสีทองเคลื่อนคล้อยพร่างพราวในดวงตา ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะกระอักเลือดออกมา ทุกคนมีสีหน้าซีดเผือดราวกับเห็นภูตผี และตกใจสุดขีด

“ชายคนนี้เป็นใครกันแน่? เพียงแค่ก้าวเดินสองก้าว ก็สามารถเอาชนะพวกเราทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย พลังช่างมิอาจหยั่งถึงอย่างแท้จริง หรือเขาจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับ?”

“สหาย ไม่… ไม่สิ ผู้อาวุโส…” จ้าวเฉิงรีบร้องด้วยสีหน้าหวาดกลัว เขารู้ดีว่าครั้งนี้ได้สะดุดหางมังกรหลับเข้าแล้ว ดังนั้นจึงตั้งใจแก้ไขสถานการณ์เป็นการด่วน

“นะ… นายท่าน ได้โปรดระงับโทสะของท่านด้วย” ข้ารับใช้หญิงที่อยู่ใกล้เคียงของภัตตาคารเซียนหลงระเริงรู้สึกหวาดกลัวจนใบหน้าสวยงามซีดเซียว เมื่อพวกนางเห็นว่าเฉินซีไม่คิดปล่อยชายหนุ่มหญิงสาวที่มีชื่อเสียงของเมืองรัศมีเมฆาไป พวกนางก็รีบตะโกนเสียงดัง เพื่อร้องขอความเมตตาให้จ้าวเฉิงและคนอื่น ๆ

ทำอย่างไรได้ หากจ้าวเฉิงและคนอื่น ๆ ต้องประสบคราวเคราะห์ในภัตตาคารแห่งนี้ พวกนางคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงเหตุร้ายได้เช่นกัน

เฉินซีหยุดเดิน กวาดสายตาผ่านชายหนุ่มหญิงสาวเหล่านั้นอย่างไม่แยแส แล้วเคลื่อนสายตาจับจ้องไปยังเหล่าข้ารับใช้ รอยยิ้มเย้ยหยันผุดขึ้นที่มุมปาก “ถ้าเป็นข้าที่พ่ายแพ้ พวกเจ้าทุกคนจะอ้อนวอนขอความเมตตาแทนข้าหรือไม่?”

ทุกคนต่างตกตะลึง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะคำพูดของเฉินซี ทำให้พวกเขากล่าวสิ่งใดไม่ออก

“พวกเขาไม่รู้จักตัวตนของคุณชาย จึงกระทำโดยพลการ ดังนั้นข้าหวังว่านายน้อยจะปล่อยพวกเขาไป” ร่างงดงามเดินเข้ามาจากทางเข้าชั้นสอง นางคือหญิงสาวที่งดงาม ผิวขาวราวกับหิมะ และรูปร่างร้อนแรงเย้ายวนใจ ทุกการเคลื่อนไหวของนางให้ความรู้สึกเร่งรีบ แข็งกร้าว และไม่อาจควบคุม

ทันทีที่นางเดินเข้าไปในชั้นสอง และความยุ่งเหยิงตรงหน้า จ้าวเฉิงกับคนอื่น ๆ นอนกองอยู่บนพื้น เสื้อผ้าเปื้อนเลือด คิ้วงามเลิกขึ้นอย่างอดไม่ได้

“ศิษย์พี่หรานจิง!”

“ศิษย์พี่หรานจิง ท่านมาได้ถูกเวลาพอดี คนผู้นี้หยิ่งผยองเอาแต่ใจ เขาทุบตีพวกเรา ได้โปรดทวงความยุติธรรมให้กับพวกเราด้วย!” เมื่อจ้าวเฉิงเห็นหรานจิงปรากฏตัว ท่าทางของเขาคล้ายพบผู้ช่วยชีวิต จึงร้องออกมาเสียงดัง

“ใช่แล้ว คนผู้นี้กระทำเกินไป และไม่ไว้หน้าคนของนิกายรัศมีเมฆาเลย เขาช่างน่ารังเกียจเสียจริง!” คนอื่นก็ร้องออกมาเช่นกัน

“ศิษย์น้องจ้าวเฉิง นี่เจ้าเชิญข้ามาดูการแสดงอันน่าขยะแขยงของพวกเจ้าหรือ?” ตรงกันข้ามกับความคาดหวังของจ้าวเฉิง หรานจิง เขาขมวดคิ้วเรียวงามเข้าหากัน และหันไปก่นด่าโดยไม่ปิดบังความโกรธแม้แต่น้อย “เจ้าขยะไร้ค่า! เจ้าถูกทุบตีแต่ยังไม่คิดทุ่มเทบ่มเพาะให้แข็งแกร่งขึ้น เอาแต่ร้องคร่ำครวญและกล่าวโทษผู้อื่น เจ้ารู้จักละอายใจบ้างหรือไม่? บัดซบ! พวกเจ้าทุกคนไสหัวไปซะ! ออกไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!”

ใบหน้าของจ้าวเฉิงและคนอื่น ๆ กลายเป็นเคร่งขรึมและไม่น่าดูจนถึงขีดสุด

“ศิษย์พี่หรานจิง ครั้งนี้ที่ข้าเชิญท่านมา ก็เพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีการจับกุมชายคน…” จ้าวเฉิงรีบอธิบาย

อย่างไรก็ตาม เขากลับถูกขัดจังหวะด้วยการโบกมือของหรานจิง “อันใดกัน? เจ้าคิดว่าตนเองปีกกล้าขาแข็ง ไม่ต้องเคารพข้าอีกต่อไปแล้วสินะ?”

กลุ่มของจ้าวเฉิงแสดงสีหน้าสลดใจจากการถูกตำหนิ พวกเขาลุกขึ้นจากพื้นด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด และจากไปทันที

เฉินซีชำเลืองมองหรานจิงด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นส่ายศีรษะและตั้งใจจะจากไปเช่นกัน

“ช้าก่อน!” จู่ ๆ หรานจิง ก็ทะยานไปขวางทางเฉินซีไว้

เฉินซีขมวดคิ้ว “เจ้าต้องการสิ่งใดอีก?”

ดวงตางดงามของหรานจิงจ้องมองเฉินซี ริมฝีปากสีแดงของนางเปิดออกเบา ๆ “เฉินซี?”

เฉินซีตกตะลึง ก่อนจะตระหนักได้ว่าหญิงสาวคนนี้กำลังตรวจสอบตัวตนของเขา ดังนั้นจึงกล่าวทันทีโดยไม่เปลี่ยนน้ำเสียงหรือสีหน้า “แม่นาง เกรงว่าเจ้าจะจำคนผิดแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอื่นใด โปรดหลีกทางด้วย”

หรานจิงไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว นางเอาแต่จ้องเฉินซี และกล่าวออกมาราวกับตกอยู่ในภวังค์ “การบ่มเพาะในขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น แต่สามารถเอาชนะศิษย์น้องของข้าและเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของเมืองรัศมีเมฆาได้ รูปร่างหน้าตาก็ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ใช่คนจากเมืองรัศมีเมฆา ถ้าเจ้าไม่ใช่เฉินซีแล้วเจ้าจะเป็นใครได้อีก”

เฉินซีขมวดคิ้ว ความรู้สึกระแวดระวังเกิดขึ้นในใจของเขาทันที “ถ้าข้าเป็นเฉินซี ข้าคงฆ่าเจ้าไปนานแล้ว”

เขากล่าว และก้าวเดินด้วยความตั้งใจที่จะจากไป

คราวนี้ หรานจิงไม่ได้เอ่ยรั้ง แต่กลับเดินตามเขาแทน นางกล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงใส “ถ้าเจ้ายังไม่ยอมรับ งั้นข้าจะตะโกนนามเจ้าแทน”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท