บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 1041 ตั๊กแตนตำข้าวกับนกขมิ้น

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1041 ตั๊กแตนตำข้าวกับนกขมิ้น

บทที่ 1041 ตั๊กแตนตำข้าวกับนกขมิ้น

รูปร่างของยันต์อักขระโบราณที่เสียหายเปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์ ในฐานะปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ เสวียนอวิ๋นกวาดตามองเพียงชั่วครู่ ก็จดจำได้ทันทีว่า ยันต์อักขระโบราณรูปร่างกลมเหมือนพระจันทร์เต็มดวงและมีสีขาวหิมะดุจหยกเนื้อดีนี้ คือยันต์อักขระโบราณที่เขาศึกษามันอย่างขมขื่นเป็นเวลาหลายร้อยปี แต่กลับไม่พบสิ่งใด

และได้ค้นพบว่า อักขระยันต์ได้บดบังผิวยันต์อักขระโบราณไว้อย่างสมบูรณ์

อักขระยันต์ที่มีความหนาแน่นราวกับดวงดาวในจักรวาลไม่ได้เสียหายอีกต่อไป มันงดงามไร้ที่ติราวกับงานศิลปะที่แกะสลักด้วยหัตถ์ของพระเจ้า และเต็มไปด้วยกลิ่นอายลึกลับสุดจะพรรณนา

กลิ่นอายนี้เหมือนมีมนต์วิเศษ จิตใจของเสวียนอวิ๋นถูกดึงดูดและจมดิ่งอยู่ภายในนั้น

สีหน้าของชายชราค่อย ๆ เปลี่ยนจากความประหลาดใจแกมยินดีเป็นงุนงงสับสน และเปลี่ยนเป็นความตกใจ เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วกล่าวพึมพำ “อัศจรรย์ ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก หากข้าสามารถเข้าใจงานเขียนเทพอสูรได้อย่างถ่องแท้ ก็คงสามารถยกระดับความเข้าใจในเต๋าแห่งยันต์อักขระได้สูงขึ้น… ”

เมื่อกล่าวจบ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก

อู๋หยวนและอู๋ซวินที่มักจะให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของเสวียนอวิ๋นเสมอ เมื่อได้ยินเสวียนอวิ๋นกล่าวเช่นนั้น พวกเขาก็เข้าใจได้ทันทีว่า เฉินซีได้ซ่อมแซมยันต์อักขระโบราณที่เสียหายสำเร็จแล้ว!

ทั้งคู่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เมื่อนึกถึงฉากที่พวกเขาปลอบประโลมเฉินซีอย่างขมขื่น ทว่านี่ก็เป็นเรื่องเหนือการคาดเดาอย่างยิ่ง ใครจะไปคาดคิดว่ายันต์อักขระโบราณที่สำนักศึกษาจตุรเทพที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้ กลับถูกซ่อมแซมโดยชายหนุ่มที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น?

แต่อย่างไรทั้งคู่ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก

การซ่อมแซมยันต์อักขระโบราณได้ ย่อมหมายความว่าเฉินซีจะได้รับความช่วยเหลือจากสำนักศึกษาจตุรเทพ และช่วยให้พวกเขาสามารถจัดการกับปัญหาที่ยากเข็ญในภายภาคหน้าได้เช่นกัน

“ผู้อาวุโสเสวียนอวิ๋น คุณชายเฉินซีทำสำเร็จหรือไม่” อู๋หยวนเอ่ยถาม

เสวียนอวิ๋นพยักหน้าและสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ในขณะที่มองเฉินซีด้วยความชื่นชมอย่างมาก “คุณชายเฉินซีนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ ด้วย ยันต์อักขระโบราณนี้ สำนักศึกษาจตุรเทพและข้าจะไม่เฉยเมยต่อสิ่งที่คุณชายเฉินซีพบเจออย่างแน่นอน พวกเจ้ารอสักครู่ ข้าจะไปติดต่อผู้เยี่ยมยุทธ์ของสำนึกศึกษาก่อน!”

ชายชรากล่าวพลางก้าวยาว ๆ จากไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นราวกับได้รับสมบัติล้ำค่า

เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก เห็นได้ชัดว่าเสวียนอวิ๋นไม่ได้มองความลึกล้ำของยันต์อักขระโบราณได้อย่างแท้จริง ดังนั้นเสวียนอวิ๋นจึงไม่ทันสังเกตว่า สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในยันต์อักขระโบราณชิ้นนี้ ตกอยู่ในมือของเฉินซีแล้ว

เฉินซีไม่ได้คิดปกปิดเรื่องนี้ เพราะกุญแจสำคัญของการสืบทอดเคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลกได้สลักฝังอยู่ในจิตใจ ไม่อาจส่งต่อให้ผู้อื่นได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ จึงไม่สามารถถ่ายทอดมรดกนี้ให้ผู้อื่นได้เช่นกัน

“ไม่เป็นไร ข้าจะนับว่าเป็นหนี้บุญคุณ และจะชดใช้คืนอย่างแน่นอน’’ เฉินซีครุ่นคิด ก่อนตัดสินใจได้ในที่สุด

เสวียนอวิ๋นกลับมาหลังจากนั้นไม่นาน ริมฝีปากแย้มยิ้มสดใสจนถึงใบหู “เรียบร้อยแล้ว ไม่เกินหนึ่งวัน ผู้เยี่ยมยุทธ์ของสำนักศึกษาจตุรเทพจะมารวมตัวกับเรา ดังนั้นไปกันเถอะ”

“คุณชายเฉินซีสามารถไปกับเราได้หรือ!? วิเศษยิ่ง!” อู๋ซวินที่อยู่ใกล้เคียงรู้สึกยินดีและกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนี้ ระหว่างทางข้าจะสามารถปรึกษาคุณชายเฉินซีเกี่ยวกับเต๋าแห่งยันต์อักขระได้ นี่เป็นความสุขที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิตข้าเลย”

อู๋ซวินเป็นชายหนุ่มที่คลั่งไคล้ในเต๋าแห่งยันต์อักขระ หลังจากที่ได้เห็นการแสดงอันน่าอัศจรรย์ของเฉินซี เขาก็เทิดทูนชายหนุ่มเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ในเต๋าแห่งยันต์อักขระ ดังนั้นการได้ร่วมเดินทางกับเฉินซี จึงมีความหมายสำหรับตน

อู๋หยวนแค่นหัวเราะ และแสดงสีหน้าพึงพอใจเมื่อเห็นบุตรชายของตนมีความสุข หากบุตรชายสามารถเป็นสหายกับเฉินซีได้ ย่อมไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว

ในฐานะพ่อค้ามากประสบการณ์ เขารู้ว่าศักยภาพของเฉินซีนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด

แม้ตอนนี้ เฉินซีจะอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง แต่หลังจากเข้าสู่ภพเซียนไม่นาน กลับสามารถสังหารเซียนลึกลับได้ นอกจากนี้ ความเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งยันต์อักขระก็เป็นสิ่งที่แม้แต่ปรมาจารย์ของสำนักศึกษาจตุรเทพยังด้อยกว่า ทั้งยังอายุน้อยมาก…

ตราบเท่าที่ชายหนุ่มมีเวลาขัดเกลา เขาจะเปล่งประกาย และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในภพเซียนอย่างแน่นอน!

อย่างไรก็ตาม เฉินซีกลับไม่รู้ความคิดของอู๋หยวนและอู๋ซวิน ในใจรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้ยินว่าตนสามารถออกจากทวีปสันติบูรพาได้ในที่สุด ถึงเวลาที่เขาจะได้หยุดพักแล้ว และไม่จ้องเผชิญโชคร้ายเหมือนหลายวันที่ผ่านมา…

พวกเขาไม่ชักช้าให้เสียเวลาอีกต่อไป เสวียนอวิ๋นเตรียมรถม้าสัมฤทธิ์ออกมา จากนั้นจึงพาเฉินซีและอู๋ซวินเข้าไป และออกจากศาลาเซียนคลื่นทองคำ หลังจากกล่าวลาอู๋หยวน

ในขณะเดียวกัน ที่ชั้นสามของภัตตาคารตรงข้ามกับศาลาเซียนคลื่นทองคำ

ซุนหงและชายหนุ่มทั้งสองกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ขณะที่สีหน้าของพวกเขาหม่นหมองเล็กน้อย

ทั้งสามรออยู่ที่นี่เป็นเวลาห้าวัน แต่ดูเหมือนเป้าหมายจะหายเข้ากลีบเมฆไปเสียแล้ว หลังจากเฉินซีเข้าไปในศาลาเซียนคลื่นทองคำ และไม่ก้าวออกมาอีกเลย

ระหว่างนี้ พวกเขาไปที่ศาลาเซียนคลื่นทองคำเพื่อตรวจสอบอยู่หลายครั้ง น่าเสียดาย ที่ไม่ได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์ใด ๆ

“ท่านซุนหง หรือว่าเป้าหมายจะลอบหนีไปแล้ว?” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ฮึ่ม! เจ้าไม่ได้สังเกตหรือว่า จางจื่อฉุนจากนิกายรัศมีเมฆาส่งคนไปเฝ้าศาลาเซียนคลื่นทองคำในช่วงหลายวันมานี้?” ซุนหงแค่นเสียงเย็น “ในฐานะผู้เยี่ยมยุทธ์ของเมืองรัศมีเมฆา หากจางจื่อฉุนไม่สามารถจับตาดูผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นได้ แล้วจะมีหน้ามาดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสในนิกายรัศมีเมฆาต่อไปได้อยู่อีกหรือ?”

“หากเป็นเช่นนั้น เป็นไปได้ไหมว่าศาลาเซียนคลื่นทองคำให้ความช่วยเหลือเด็กคนนั้น?” ชายหนุ่มอีกคนกล่าว

ดวงตาของซุนหงเป็นประกาย ในขณะที่ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง

เขาไม่สามารถด่วนสรุปได้ แม้กองกำลังของศาลาเซียนคลื่นทองคำจะกระจายอยู่ทั่วภพเซียน แต่ถึงอย่างไร นี่คือเมืองรัศมีเมฆา ซึ่งเป็นดินแดนของทวีปสันติบูรพา

หากศาลาเซียนคลื่นทองคำฉลาดพอ ย่อมไม่เสี่ยงล่วงเกินตำหนักราชันเซียน เพื่อปกป้องคนร้ายแน่นอน

แต่ตอนนี้ ศาลาเซียนคลื่นทองคำอาจโง่เขลาจริง ๆ หรืออาจมีบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่น?

“อืม?” ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ซุนหงพลันสังเกตเห็นรถม้าสัมฤทธิ์กำลังเคลื่อนตัวออกจากศาลาเซียนคลื่นทองคำ และมีผู้ดูแลอู๋หยวนออกมาส่งเป็นการส่วนตัว…

“นั่นดูเหมือนรถม้าสมบัติของผู้อาวุโสจากสำนักศึกษาจตุรเทพ ข้าได้ยินมาว่า เขาได้รับอู๋ซวินบุตรชายของผู้ดูแลอู๋หยวนมาเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเมื่อไม่กี่วันก่อน” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าว “เรื่องนี้กำลังถูกพูดถึงในเมืองรัศมีเมฆา ถึงอย่างไรสำนักศึกษาจตุรเทพก็เป็นหนึ่งในกองกำลังชั้นยอดของภพเซียน และเมื่อเข้าสู่สำนักศึกษาได้สำเร็จ บุตรชายของอู๋หยวนก็ไม่ต่างจากมัจฉากระโดดผ่านประตูมังกร ดังนั้นความสำเร็จของเขาในภายภาคหน้าจะต้องไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน”

ชายหนุ่มอีกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงอิจฉาเล็กน้อย “ใช่แล้ว สำนักศึกษาจตุรเทพเป็นสรวงสวรรค์สำหรับเต๋าแห่งยันต์อักขระในภพเซียน และมีอิทธิพลแผ่ขยายไปทั้งสี่พันเก้าร้อยทวีปของภพเซียน ผู้ที่สามารถเข้าศึกษาได้ ย่อมเป็นไม่ใช่คนธรรมดา”

“เจ้ายังจำหยกเทวะวิญญาณครามที่เจ้าเด็กนั่นขายในวันนั้นได้หรือไม่” ซุนหงเอ่ยถามทันที

ชายหนุ่มทั้งสองตกตะลึง จากนั้นพยักหน้า พวกเขาย่อมจำได้ เพราะมันเป็นหนึ่งในห้าขุมทรัพย์อมตะอันล้ำค่า และเป็นวัตถุดิบเซียนหายากที่ใช้ในการขัดเกลาสมบัติอมตะระดับวีรบุรุษ ดังนั้นพวกเขาจะลืมมันได้อย่างไร

“แล้วถ้าเจ้าเด็กนั่นมอบหยกเทวะวิญญาณครามให้แก่ผู้อาวุโสจากสำนักศึกษาจตุรเทพล่ะ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะได้รับความคุ้มครองจากผู้อาวุโสคนนั้น?” ดวงตาของซุนหงเป็นประกาย

ชายหนุ่มทั้งสองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบมองกันและกัน ซึ่งทั้งคู่ก็รู้สึกว่ามันเป็นไปได้!

“ไปกันเถอะ เราจะตามพวกเขาไป แม้จะทำให้ผู้อาวุโสท่านนั้นขุ่นเคือง แต่เราก็ไม่สามารถปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นหลุดรอดไปจากใต้จมูกของเราได้!” ซุนหงตัดสินใจทันที

หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มของซุนหงก็ออกจากภัตตาคาร เมื่อระบุทิศทางของรถม้าสมบัติได้ ทั้งสามก็พุ่งทะลุผ่านฝูงชนหายไป

“ซุนหงค่อนข้างฉลาดทีเดียว” ในเวลาเดียวกัน จางจื่อฉุนก็ลุกขึ้นยืนบนชั้นสี่ของภัตตาคารทันที พลางกล่าวอย่างไม่เร่งรีบ “มาเถอะ เราจะตามพวกเขาไปด้วยตั๊กแตนตำข้าวสะกดรอยตามจักจั่น โดยที่ไม่รู้ว่านกขมิ้นอยู่ข้างหลัง วันนี้เราจะสวมบทเป็นนกขมิ้น”

“ท่านอาจารย์ จะเกิดอะไรขึ้นหากเราขัดแย้งกับคนของตำหนักราชันเซียน?” จ้าวเฉิงอดถามไม่ได้

“หากเป็นเช่นนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเราเอง ในอาณาเขตของนิกายรัศมีเมฆา ควรจะเป็นเราที่จับกุมอาชญากรที่เป็นที่ต้องการ และได้รับรางวัลจากราชันเซียนลิ่นฮ่าว ใช่หรือไม่?” จางจื่อฉุนกล่าวอย่างเป็นกันเอง และดูเหมือนจะมั่นใจในความสำเร็จของตนอย่างเต็มที่

“ขอบคุณขอรับ ท่านอาจารย์” จ้าวเฉิงป้องหมัดและขอบคุณ เขารู้ดีว่าท่านอาจารย์ทำทั้งหมดนี้ ก็เพื่อช่วยเขาระบายความแค้น

“โอ้ เจ้าทำใจให้สบายและเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะหลังจากจับเด็กคนนี้ได้ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มอันดับของเจ้าในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป ด้วยวิธีนี้เจ้าจะไม่ทำให้ความตั้งใจของข้าผู้คอยสั่งสอนผิดหวังนะ” จางจื่อฉุนส่ายศีรษะและไม่กล่าวอะไรอีก ก่อนที่เขาจะออกจากร้านอาหารพร้อมกับจ้าวเฉิง

ห่างออกไปแปดสิบลี้ ที่นอกประตูทางเข้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองรัศมีเมฆา ป่าอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยกิ่งก้านและใบเขียวขจี คอยให้ความร่มเงาแก่พื้นดิน

แต่ในยามนี้ ผืนป่ากลับเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต

บนพื้นมีทั้งสิ้นสามศพ เป็นชายหนุ่มสองคนและชายวัยกลางคนหนึ่งคน ที่น่าตกใจคือ พวกเขาคือซุนหงและผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองคน

เมื่อจางจื่อฉุนมาถึงที่นี่พร้อมกับจ้าวเฉิง แล้วได้เห็นฉากนี้เข้า รูม่านตาของเขาหดลงอย่างช่วยไม่ได้ ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง แทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง

“นั่น… นั่นคือคนของตำหนักราชันเซียน! ในช่วงเวลาสั้น ๆ พวกเขาตายอยู่ที่นี่ ผู้ใด… ผู้ใดกล้าทำเช่นนี้” ใบหน้าของจ้าวเฉิงซีดลง ในขณะที่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

สีหน้าของจางจื่อฉุนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน และดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ เขาโพล่งออกมาทันที “ไปเร็ว!”

เพียงชั่วพริบตา ชายร่างกำยำได้นำกลุ่มคนสวมชุดสีดำ เข้าล้อมอย่างรวดเร็ว และปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของจางจื่อฉุนกับจ้าวเฉิงอย่างสมบูรณ์

“ผู้ดูแลอู๋!?” จางจื่อฉุนตกตะลึง เมื่อเห็นการปรากฏตัวของบุคคลที่เป็นผู้นำ เดิมทีเขาคิดว่าเป็นผู้อาวุโสจากสำนักศึกษาจตุรเทพสังหารกลุ่มของซุนหง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาคิดผิด

ผู้โจมตีคือผู้ดูแลศาลาเซียนคลื่นทองคำ อู๋หยวน!

“เพราะอะไรกัน?!” หัวใจของจางจื่อฉุนร่วงลงสู่ก้นบึ้งทันที เพราะการที่อู๋หยวนกล้าเปิดเผยโฉมหน้าของตน แสดงให้เห็นว่าอู๋หยวนไม่คิดปล่อยจางจื่อฉุนหรือจ้าวเฉิงไป!

“เพื่ออนาคตของบุตรชายข้า” ยามนี้ อู๋หยวนดูเหมือนจะเย็นชาและไม่แยแส จากนั้นกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เมืองรัศมีเมฆานั้นเล็กเกินไป ทวีปสันติบูรพาก็เล็กเกินไปเช่นกัน อนาคตของบุตรชายข้า ไม่ควรถูกจำกัดไว้ที่นี่ ไม่อย่างนั้นเขาจะเป็นเหมือนกบในบ่อน้ำ ได้แต่แหงนหน้ามองท้องฟ้า ดังนั้นก่อนที่เขาจะจากไป ข้าในฐานะบิดา ก็ควรขจัดปัญหาในอนาคตให้เขา”

“แต่เป้าหมายของเราไม่ใช่บุตรชายของเจ้า!” จางจื่อฉุนขมวดคิ้ว เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มหนัก ความไม่สบายใจในอกเพิ่มอย่างรวดเร็ว

สีหน้าของอู๋หยวนกลายเย็นชามากขึ้น “เป้าหมายของเจ้าอาจส่งผลต่ออนาคตของบุตรชายข้า แม้จะเป็นเพียงความเป็นไปได้ แต่เท่านี้ก็เพียงพอที่จะกระทำทั้งหมดนี้แล้ว ยังไม่นับหนี้บุญคุณมหาศาลที่ยังไม่ได้ตอบแทน… ”

ทันทีที่กล่าวจบ อู๋หยวนก็โบกมือ

การต่อสู้ปะทุขึ้นทันที!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท