บทที่ 1044 ดาวดวงใหม่ในเต๋าแห่งดาบ
บทที่ 1044 ดาวดวงใหม่ในเต๋าแห่งดาบ
แสงสว่างสีเงินจางหายไป เผยให้เห็นบุคคลที่ทั้งสง่าและงดงาม
เสื้อสีขาวรัดรูปผูกไว้ที่เอว กางเกงเข้ารูปสีดำตัดเย็บอย่างดี รองเท้าส้นสูงเงางาม เส้นผมสีทองหนาเป็นลอนเล็กน้อย ถูกม้วนเป็นมวยอยู่ด้านหลังศีรษะ เผยให้เห็นรูปลักษณ์งดงามและเย็นชา
ริมฝีปากของนางแดงและชุ่มชื้น ผิวเรียบเนียนขาวใส รูปร่างทรวดทรงเผยให้เห็นเสน่ห์อันน่าตกตะลึง แว่นตากรอบสีดำวางอยู่บนสันจมูกที่โด่งเล็กน้อย ทำให้ทั้งตัวของนางปล่อยกลิ่นอายแข็งแกร่งของราชินีผู้รอบรู้ สูงส่ง และภาคภูมิ
การแต่งกายที่ไม่มีใครเหมือนเช่นนี้
คนผู้นี้คือเหลียงปิงไม่ผิดแน่!
เฉินซีไม่คาดคิดว่าตนจะได้พบนางอีกครั้ง และไม่คิดว่าความช่วยเหลือจากสำนักศึกษาจตุรเทพที่เสวียนอวิ๋นกล่าวถึงจะเป็นเหลียงปิง
นี่… ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้!
เฉินซีถอนหายใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่ใช่แค่เฉินซีที่ประหลาดใจ แม้แต่เสวียนอวิ๋นก็ตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าคนที่มาคือเหลียงปิง เขากล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “คุณหนูใหญ่ ไฉนท่านถึงมาอยู่ที่นี่!?”
เหลียงปิงกวาดสายตามองเสวียนอวิ๋น ก่อนจะมองไปทางเฉินซี รอยยิ้มพลันปรากฏบนมุมปากสีแดงของนาง “แน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะเขา”
“เขา?”
เสวียนอวิ๋นมองไปเฉินซี และยังคงสับสน เรื่องนี้ยากที่จะเข้าใจเล็กน้อย
เฉินซีกลับเดาอะไรบางอย่างได้ราง ๆ เขาจึงก้าวไปข้างหน้า และยื่นมือออกไป “ไม่คิดว่าเราจะได้พบกันอีก”
แน่นอนว่าเขายื่นมือออกไปเพื่อจับมือกับนาง
เป็นมารยาทที่สร้างความประทับใจให้กับเฉินซี ยามได้พบเหลียงปิงครั้งแรก
เหลียงปิงตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปจับมือของเฉินซี “ข้ารีบมาทันทีที่ได้ข่าว ดูเหมือนข้าจะไม่ได้มาสายสินะ”
การจับมือของทั้งสอง ทำให้เสวียนอวิ๋นจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง ราวกับได้เห็นฉากที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่าง
ในขณะเดียวกัน อู๋ซวินที่อยู่ใกล้เคียงก็ตกตะลึงเช่นกัน ประการแรก เป็นเพราะเหลียงปิงนั้นงดงามเกินไป ประกอบกับการแต่งกายเป็นเอกลักษณ์ที่ดูสูงส่งราวกับราชินี เป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจได้อย่างแท้จริง หัวใจของชายหนุ่มเต้นระรัว ภาพตรงหน้างดงามเกินไป ทำให้เขาไม่กล้ามองไปมากกว่านี้
ประการที่สอง เขาก็เหมือนกับเสวียนอวิ๋น ไม่คิดว่าเฉินซีจะดูคุ้นเคยกับหญิงงามคนนี้ ทั้งความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่เลวเลย…
“ที่แท้คุณหนูใหญ่ก็รู้จักกับคุณชายเฉินซีมาก่อน ไม่แปลกใจ ไม่แปลกใจเลย!”
เสวียนอวิ๋นฟื้นจากอาการตกใจ และถอนหายใจเบา ๆ สายตาที่มองเฉินซีเปลี่ยนไป อีกทั้งยังรู้สึกว่าเฉินซีคนนี้กำลังปิดบังอะไรบางอย่าง
อู๋ซวินเห็นด้วยกับความรู้สึกนี้อย่างมาก
เหลียงปิงไม่ได้ให้คำอธิบายใด ๆ และถามเฉินซีว่า “เหตุใดเจ้าถึงเป็นที่ต้องการตัวของราชันเซียนลิ่นฮ่าว?”
เฉินซีจึงเล่าทุกสิ่งที่ตนประสบหลังจากขึ้นสู่ภพเซียนทันที
คิ้วงามของเหลียงปิงเลิกขึ้น “ต้องมีคนขอให้ราชันเซียนลิ่นฮ่าวทำสิ่งนี้อย่างแน่นอน”
เฉินซีไหวไหล่ “ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อยู่ดี”
นี่เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดา เนื่องจากมหาอำนาจที่สามารถทำให้ราชันเซียนทำเช่นนี้ได้ จะต้องยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน และจากการวิเคราะห์ของเฉินซี มีความเป็นไปได้อยู่สองฝ่ายคือ หนึ่ง ตระกูลจั่วชิว และสองคือ กองกำลังที่กวาดล้างนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในภพเซียน
แต่ไม่ว่าจะใคร เฉินซีก็ยังไม่สามารถต้านทานได้ในตอนนี้
เขาทำได้เพียงออกจากทวีปสันติบูรพา และมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เพื่อหาโอกาสตั้งหลักในภพเซียน มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้สถานการณ์ที่เผชิญอยู่ปลอดภัยยิ่งขึ้น
โอม!
ทว่าพริบตาต่อมา คลื่นความผันผวนพลันก่อตัวขึ้นในอากาศ ก่อนที่ร่างผอมสูงจะเดินออกมาจากภายใน ร่างกายที่เต็มไปด้วยกฎแห่งเซียนทองคำอันร้ายกาจอย่างไม่มีใครเทียบได้!
คนผู้นี่คือชายหนุ่มที่มีใบหน้าซีดเซียว นัยน์ตาสีดำสนิท เขาสวมเสื้อผ้าสีดำและสะพายดาบสีดำสนิทไว้บนหลัง กลิ่นอายเย็นเยียบ ไม่แยแส และเปี่ยมด้วยจิตสังหาร ราวกับไม่มีความรู้สึกใด ๆ
เขาก็ระงับกลิ่นอายของตน และยืนอยู่ข้างเหลียงปิงเงียบ ๆ
เฉินซีไม่กล้าเมินเฉยต่ออีกฝ่าย เพราะชายหนุ่มร่างสูงที่ไม่สนใจใครผู้นี้ จะต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ผ่านการต่อสู้และการเข่นฆ่ามานับครั้งไม่ถ้วนอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำ!
“นี่คือเหลียงหลัว ผู้เยี่ยมยุทธ์ในเต๋าแห่งดาบจากตระกูลเหลียงของข้า” การแนะนำของเหลียงปิงนั้นเรียบง่ายมาก แต่เมื่ออู๋ซวินได้ยินเช่นนั้น เขาก็ร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัว “เหลียงหลัว! นั่นไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ในอันดับที่แปดสิบเจ็ดในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าเมื่อสิบปีก่อนหรอกหรือ? หลังจากบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำเมื่อห้าปีก่อน เขาได้ท้าทายวิหคอมตะหยก ว่านเจี้ยนเซิง หนึ่งในหกสุริยันอันเจิดจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะพ่ายแพ้ แต่ก็พ่ายแพ้อย่างมีเกียรติ และเป็นหนึ่งในดาวดวงใหม่ในเต๋าแห่งดาบในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา”
เฉินซีรู้สึกตกตะลึง เขาไม่คิดว่าชายหนุ่มในชุดดำ ผู้มีเส้นผมสีดำและสะพายดาบสีดำสนิทผู้นี้ จะมีอดีตอันน่าตกใจเช่นนี้
สำหรับเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าที่อู๋ซวินกล่าวถึง ย่อมไม่ใช่เทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป ดังนั้นผู้ที่สามารถติดอันดับหนึ่งหมื่นอันดับแรกได้ ย่อมเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ชั้นยอดในภพเซียน
และการที่เหลียงหลัวสามารถอยู่ในอันดับที่แปดสิบเจ็ดของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าได้ตั้งแต่สิบปีก่อน แสดงให้เห็นว่า พรสวรรค์โดยกำเนิดและการบ่มเพาะที่เขามีนั้นน่ากลัวเพียงใด
นอกจากนี้ ทันทีที่บรรลุขอบเขตเซียนทองคำ เขาก็ไปท้าทายหนึ่งในหกสุริยันอันเจิดจ้าผู้ยิ่งใหญ่ วิหคอมตะหยกอย่างว่านเจี้ยนเซิง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีได้เหมือนกัน
และทั้งหมดนี้ ทำให้เฉินเข้าใจเกี่ยวกับการจัดอันดับของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ตอนนี้ เขาอยู่ในอันดับที่หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปของทวีปสันติบูรพาเท่านั้น แต่ภพเซียนมีถึงสี่พันเก้าร้อยทวีป อันดับของเขาจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะติดหนึ่งหมื่นอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า นับประสาอะไรกับหนึ่งร้อยอันดับแรก…
เหลียงหลัวยังคงเฉยเมยต่อเสียงชื่นชมของอู๋ซวินและการจ้องมองอย่างประหลาดใจของเฉินซี ชายหนุ่มทำเพียงยืนอยู่เคียงข้างเหลียงปิงอย่างเฉยเมย ราวกับก้อนน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย และดูเหมือนนอกจากดาบที่สะพายอยู่บนหลัง ก็ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะทำให้เขาสั่นคลอนได้
เมื่อมีเหลียงปิงและเหลียงหลัวมาร่วมทางด้วย เสวียนอวิ๋นก็มีความมั่นใจในการพาเฉินซีออกจากทวีปสันติบูรพามากขึ้น พวกเขาไม่คิดเสียเวลาอีกต่อไป ทั้งหมดขึ้นนั่งบนรถม้าสมบัติสัมฤทธิ์ของเสวียนอวิ๋น แล้วเดินทางต่อไปยังเมืองรัศมีวิญญาณ
ที่น่าสนใจคือ เหลียงปิงและเหลียงหลัวเพิ่งมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติในเมืองรัศมีวิญญาณ และรู้สถานการณ์ภายในเมืองรัศมีวิญญาณ
เป็นดังที่คาดไว้ สถานการณ์ในเมืองรัศมีวิญญาณตึงเครียดเป็นอย่างมาก ทหารองครักษ์จากตำหนักราชันเซียนมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณโดยรอบค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ ที่มีแม้กระทั่งเซียนทองคำคอยเฝ้าคุ้มกันอยู่
เห็นได้ชัดว่า หากเหลียงปิงและเหลียงหลัวไม่มาช่วยพวกเขาในครั้งนี้ อาศัยเพียงพลังของเสวียนอวิ๋นผู้เดียว แม้จะใช้ชื่อของสำนักศึกษาจตุรเทพ ก็ยากเกินจะจินตนาการผลลัพธ์ได้
…
ระหว่างทาง เฉินซีได้รู้จากการสนทนากันว่า สำนักศึกษาจตุรเทพที่ตั้งอยู่ในทวีปทักษิณานั้น แท้จริงแล้วถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตระกูลเหลียง ตระกูลหลัว ตระกูลกู่ และตระกูลอิน ซึ่งก็คือจักรพรรดิตะวันออกไท่เจิน จักรพรรดิแห่งความมืดหยวนสวิน ราชินีวิหคอมตะอินเกอ และบรรพบุรุษอสูรหลัวซาง มันจึงดำรงมาจนถึงทุกวันนี้
ยามนี้ สำนักศึกษาจตุรเทพยังคงถูกควบคุมอย่างแน่นหนาโดยสี่ตระกูลเก่าแก่ ได้แก่ตระกูลเหลียง ตระกูลหลัว ตระกูลกู่ และตระกูลอิน นี่คือเหตุผลที่เหลียงปิงเดินทางมา หลังจากเสวียนอวิ๋นขอความช่วยเหลือจากสำนักศึกษาจตุรเทพ
“เจ้าตั้งใจจะไปที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าหรอกหรือ?” เหลียงปิงตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อได้ยินความต้องการของเฉินซี “เหลือเวลาอีกเพียงปีกว่า ก่อนที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจะเริ่มรับศิษย์รุ่นใหม่ คุณสมบัติขั้นต่ำสำหรับการสมัครคือต้องอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า”
เฉินซีพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้ารู้ แต่ข้ายังมีเวลาอีกตั้งปีไม่ใช่หรือ? ข้าคิดว่าข้าทำได้”
เหลียงปิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจ เพราะนางรู้ว่าเฉินซีเป็นผู้สืบทอดจากเขาเทพพยากรณ์ หากกล้ากล่าวเช่นนี้ ย่อมมีความมั่นใจอย่างมาก
“แล้วเจ้ามีแผนการอะไร?” เหลียงปิงถาม
“แผนการหรือ?” เฉินซีชะงัก จากนั้นส่ายศีรษะ เขามีความคิดที่เรียบง่าย คือการใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อขัดเกลาความแข็งแกร่งให้มากขึ้น ก่อนจะพุ่งเข้าสู่เทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า นอกจากนั้นเขายังไม่ได้คิดจริง ๆ
“ข้ารู้แล้วว่าจะไปที่ไหนดี” เหลียงปิงกล่าว “ไว้เราค่อยมาพูดคุยถึงเรื่องนี้กันหลังจากออกจากทวีปสันติบูรพาเถอะ ข้าเชื่อว่าด้วยพลังฝีมือของเจ้า เจ้าจะสามารถไต่อันดับของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าได้อย่างรวดเร็วที่นั่น”
เฉินซีมองไปที่เหลียงปิงด้วยความประหลาดใจ และไม่กล่าวอะไรอีก
วันต่อมา
ไกลออกไป เมืองรัศมีวิญญาณปรากฏอยู่ในระยะสายตาของพวกเขา
เมืองอันเก่าแก่ ผนังสีเทาเข้มแต่งแต้มด้วยร่องรอยของกาลเวลา แผ่กลิ่นอายเคร่งขรึมและลึกล้ำออกมา
“ไปกันเถอะ” หลังจากจ้องมองเมืองครู่หนึ่ง เฉินซี เสวียนอวิ๋น และอู๋ซวินก็เดินเข้าไปในเมืองรัศมีวิญญาณ โดยมีเหลียงปิงและเหลียงหลัวเดินตามมาด้วย
ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในเมือง ความรู้สึกแรกที่เฉินซีสัมผัสได้ สามารถอธิบายได้ด้วยคำสองคำ… เย็นชาและอาฆาต!
แม้ว่าจะเป็นช่วงเช้าที่ควรจะวุ่นวายที่สุด ถนนกว้างทอดยาวไปทุกทิศทุกทางกลับเย็นยะเยือกและรกร้างว่างเปล่า นอกจากผู้คนที่เดินอยู่บนถนนไม่กี่คนแล้ว ก็มีเพียงกลุ่มทหารองครักษ์จากตำหนักราชันเซียนเท่านั้น ที่กำลังเดินลาดตระเวนอยู่ภายในเมือง
แม้แต่อากาศในฟ้าดินก็หนักอึ้ง และให้ความรู้สึกกดดันราวกับว่าพายุกำลังก่อตัว
“หยุดอยู่ตรงนั้น! จงแสดงตราเซียนของเจ้าซะ! ตำหนักราชันเซียนกำลังพยายามจับกุมคนร้าย ข้าหวังว่าทุกท่านจะให้ความร่วมมือ!” กลุ่มทหารองครักษ์พุ่งเข้ามาอย่างคุกคาม และล้อมกลุ่มของเฉินซีไว้
“ไปกันเถอะ” เหลียงปิงไม่แม้แต่จะเหลือบมองทหารองครักษ์เหล่านี้ นางสั่งเฉินซี แล้วหยิบกระสวยแสงเงิน ซึ่งเป็นสมบัติอมตะระดับจักรวาลออกมา มันแปรเปลี่ยนเป็นแสงดาวเย็นยะเยือกแผ่ขยายออกไปปกคลุมเฉินซี เสวียนอวิ๋นและอู๋ซวินไว้ข้างใน ก่อนที่จะพุ่งไปข้างหน้าด้วยเสียงดังฟิ้ว
“บังอาจ!”
“พวกเจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว!”
“ฆ่าพวกมันซะ อย่าให้พวกมันหนีไปได้!”
ทหารองครักษ์ทุกคนตกตะลึง ก่อนที่พวกเขาจะคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว และพุ่งเข้าใส่หมายจะหยุดยั้งเหลียงปิง
ฟึ่บ!
ทันใดนั้น ประกายดาบสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นฉับพลัน มันสะอาดหมดจดราวกับไม่เคยแปดเปื้อน อีกทั้งยังโปร่งแสงและไร้ที่ติเมื่อตวัดผ่าน
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
คลื่นเสียงอู้อี้ดังก้อง ในขณะที่ศีรษะเปื้อนเลือดจำนวนมากลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ศีรษะหลุดลอยขณะเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ทำให้ร่างไร้ศีรษะยังคงพุ่งไปทางเหลียงปิง พร้อมกับเลือดไหลทะลักออกจากคอที่ขาดสะบั้น เป็นฉากที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง
เป็นเพราะประกายดาบที่รวดเร็ว คมกริบ และไร้ความปรานี…
ยามนี้ เมืองรัศมีวิญญาณอยู่ในการควบคุมขององครักษ์ของตำหนักราชันเซียน และได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาโดยกองกำลังชั้นยอด แม้ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้
อึดใจต่อมา ทั้งเมืองรัศมีวิญญาณก็เหมือนตื่นจากนิทราอันเงียบงัน คลื่นเสียงโห่ร้องอย่างเกรี้ยวกราดดังมาจากทุกทิศ!
“ศัตรูบุก! ศัตรูบุก!”
“พวกมันกำลังมุ่งหน้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ!”
“เร็วเข้า! รีบไปแจ้งใต้เท้าเซียนทองคำเร็วเข้า!”
ทันใดนั้น เสียงเซ็งแซ่ดังก้องสะท้อนไปทั่วท้องฟ้าเหนือเมืองโบราณแห่งนี้ สงครามได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
—————————————