บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 1055 สนามประลองฝึกยุทธ์

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1055 สนามประลองฝึกยุทธ์

บทที่ 1055 สนามประลองฝึกยุทธ์

เหลียงปิงวางป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์ไว้ที่กลางฝ่ามือ ก่อนจะแย้มยิ้มบาง ๆ “ตั้งสมาธิอย่างลึกซึ้งและเพ่งญาณมหาเทวะอมตะของเจ้าเข้าไป ไม่ต้องตกใจเมื่อไปถึงดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น”

นางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขณะถือป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์ไว้ในมือ พริบตาต่อมา เสียงหึ่ง ๆ ของความผันผวนก็ดังขึ้น ก่อนที่นางจะตกอยู่ในสภาวะแปลกประหลาด เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง และเข้าสู่ป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์

เฉินซีตกตะลึงและคิดกับตัวเอง ไม่แปลกใจเลยที่นางเลือกห้องลับแห่งนี้ สถานะที่ที่แทบปราศจากการรับรู้ใด ๆ และมันอันตรายมากจริง ๆ

เฉินซีไม่ลังเลที่จะเพ่งญาณมหาเทวะอมตะเข้าไปในป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์อย่างระมัดระวัง เช่นเดียวกับที่เหลียงปิงกำชับไว้

ทันใดนั้น เขารู้สึกว่าดวงวิญญาณพลันสั่นไหว รู้สึกราวกับถูกดูดเข้าไปในหลุมดำอันไร้ขอบเขต ทัศนวิสัยกลายเป็นสีดำ และเขาก็สูญเสียการรับรู้ทั้งหมด

โอม!

มีแสงสว่างวาบขึ้น

ร่างของเฉินซีปรากฏขึ้นใต้ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งและไร้เมฆ ในขณะที่สายลมพัดเอื่อย ๆ ภูมิประเทศทอดยาวสูงต่ำออกไปไกล ขณะที่ดอกไม้ป่าบานสะพรั่งในบริเวณใกล้เคียง ทำให้ทิวทัศน์นั้นงดงามยิ่ง

“อืม?”

เฉินซีตกตะลึงกับภาพตรงหน้า จากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เขาได้กลิ่นหอมของดอกไม้ กลิ่นสดชื่นของพืชพรรณ และกลิ่นไอดินในอากาศ ทำให้เขาอดที่จะหยิบก้อนขึ้นมาจากพื้นไม่ได้ จากนั้นเขาชั่งน้ำหนักในมือ ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่ามันไม่ต่างจากก้อนหินจริง ๆ

“หรือว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง?”

เฉินซีตกใจมาก เพราะเขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของกฎที่หลั่งไหลในฟ้าดิน!

“ที่นี่คือดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ในยุคบรรพกาล ทุกสิ่งที่นี่ล้วนมีอยู่จริง และมีเพียงเราเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ในรูปแบบของจิตวิญญาณ” เสียงของเหลียงปิงที่เหมือนกับน้ำพุเย็นเฉียบดังก้องอยู่ในหูของเขา จากนั้นเฉินซีก็หันไปเห็นเหลียงปิงกำลังก้าวเท้าเข้ามา นางยิ้มขณะที่ชำเลืองมองก้อนหินในมือของเฉินซี ราวกับรู้ว่าเขาจะทำเช่นนี้

เฉินซีโยนก้อนหินออกไปอย่างไม่ใส่ใจ และถอนหายใจแผ่วเบา “ที่นี่น่าอัศจรรย์จริง ๆ”

“มีสถานที่ที่อัศจรรย์ยิ่งกว่านี้อีก มาเถิด นี่เป็นเพียงบริเวณรอบนอกของดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้เท่านั้น” เหลียงปิงปัดกระสวยแสงเงินออกมาด้วยการสะบัดมือ มันกลายเป็นแสงสีเงินเจิดจ้าพร่างพราว จากนั้นก็สาดแสงดาวเย็นเยียบปกคลุมตัวนางและเฉินซี

ชู่ว!

พริบตาต่อมา ร่างของพวกเขาก็พุ่งทะยานผ่านท้องฟ้า

“ที่นี่สามารถใช้สมบัติอมตะได้ด้วยหรือ?” เฉินซีถามด้วยความประหลาดใจ

“สมบัติอมตะทั้งหมดที่มีระดับวิญญาณทมิฬเป็นอย่างน้อย สามารถนำมาที่นี่ได้” เหลียงปิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม นางเข้าใจความรู้สึกของเฉินซีเป็นอย่างดี เพราะยามมาที่นี่ครั้งแรก ท่าทางของนางดูแย่ยิ่งกว่าเฉินซีเสียอีก

ในระหว่างทาง เฉินซีตั้งคำถามอยู่บ่อยครั้ง และเขาพอเข้าใจทุกอย่างคร่าว ๆ จากเหลียงปิง

อันที่จริง เขาไม่จำเป็นต้องสนใจเลยว่า พวกเขาจะอยู่ในรูปของวิญญาณหรือไม่ ขอแค่สถานที่นี้มีอยู่จริงก็พอ ทว่าข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ มีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ได้รับการจัดอันดับในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า และครอบครองป้ายคำสั่งวิญญาณยุทธ์ในมือเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าสู่ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ตามที่เหลียงปิงกล่าวไว้ ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ยังถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งถูกแบ่งให้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ได้รับการจัดอันดับในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า และอีกส่วนหนึ่งสำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป

ทั้งสองส่วนนี้ เรียกว่าดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ระดับล่างและระดับสูง

ยิ่งไปกว่านั้น ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ระดับล่างยังถูกแบ่งตามทวีปสี่พันเก้าร้อยแห่งของภพเซียน ผู้เยี่ยมยุทธ์ในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปของทุกทวีปจะสามารถอยู่ภายในอาณาเขตของดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ที่เป็นทวีปของตนเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น หลังจากเหลียงปิงและเฉินซีมาถึงดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ พวกเขาสามารถพบกับผู้เยี่ยมยุทธ์ในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปแห่งทวีปทักษิณาได้เท่านั้น และไม่สามารถพบผู้เยี่ยมยุทธ์จากทวีปอื่น ๆ เหมือนที่พวกเขาทำได้ในโลกภายนอก

ในทางกลับกัน ผู้ที่สามารถเข้าสู่ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ระดับสูง ย่อมเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ได้รับการจัดอันดับในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าในเวลานั้น และไม่มีข้อจำกัดระหว่างอาณาเขต ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถขัดเกลาตนเองได้อย่างอิสระ

หลังจากที่รู้เรื่องทั้งหมดนี้แล้ว เฉินซีก็ถามคำถามที่สำคัญที่สุด “ผู้คนสามารถตายที่นี่ได้หรือไม่?”

เหลียงปิงไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย และตอบอย่างสบาย ๆ “พวกเขาตายได้ แต่พวกเขาจะไม่ตายจริง ๆ มันทำให้ดวงวิญญาณบาดเจ็บแทน แต่การบาดเจ็บสาหัสอาจส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะในโลกภายนอก”

เฉินซียิ้ม “เช่นนั้นก็ไม่เลวเลย”

เหลียงปิงกลับเตือนเขาอย่างจริงจังแทน “แต่เจ้าก็ยังต้องระวังตัว ไม่เคยมีผู้เยี่ยมยุทธ์ในประวัติศาสตร์ของดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ที่เสียชีวิตจากปราณหักเห หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสในดวงวิญญาณ”

ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ก็ได้ยินคลื่นเสียงอึกทึกครึกโครมดังมาแว่ว ๆ

หลังจากนั้น เฉินซีก็เห็นแท่นขนาดมหึมาจำนวนมากลอยอยู่ในระยะไกล พวกมันเป็นสีดำสนิทเหมือนผืนดินที่ลอยอยู่กลางอากาศ ลอยสูงขึ้นไปทีละชั้น จนเต็มไปทั้งฟ้าดิน

แท่นสีดำสนิทแต่ละอันครอบคลุมพื้นที่กว่าสองพันห้าร้อยลี้ และสามารถมองเห็นร่างมากมายทะยานวูบวาบอยู่บนนั้น ซึ่งเมื่อมองจากระยะไกล ก็ดูเหมือนแมลงตัวเล็ก ๆ จำนวนมากกำลังโบยบินเหนือแท่นเหล่านี้

“นั่นคือสนามประลองฝึกยุทธ์ พวกมันมีทั้งหมดเจ็ดระดับ สอดคล้องกับขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง ขั้นสมบูรณ์แบบไปตามลำดับ และขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูง สนามประลองทั้งเจ็ดถูกแบ่งตามความแตกต่างในการบ่มเพาะของแต่ละคน และยิ่งขึ้นไปสูงเท่าใด ความแข็งแกร่งของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีความสามารถในการเข้าร่วมก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น”

เหลียงปิงชี้ไปยังระยะไกลและอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา “มีผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหมดหนึ่งหมื่นคนที่ได้รับการจัดอันดับในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปของทวีปทักษิณา และนั่นแสดงว่ามีผู้เยี่ยมยุทธ์เพียงหนึ่งหมื่นคนเท่านั้นที่สามารถมาถึงที่นี่ได้ เว้นแต่จะมีการต่อสู้ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเกิดขึ้น มิฉะนั้น จำนวนผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ที่นี่จะมีเพียงไม่กี่พันคน เพราะถึงอย่างไร ที่นี่ไม่ใช่โลกภายนอก และพวกเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ไปตลอดได้”

“สนามประลองฝึกยุทธ์หรือ?” เฉินซีตกตะลึงและถามด้วยความประหลาดใจ

“ถูกต้อง สนามประลองฝึกยุทธ์ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ในการจัดอันดับได้ประลองยุทธ์กันเอง และขัดเกลาพลังฝีมือ เพื่อกระตุ้นศักยภาพและส่งผลต่ออันดับของพวกเขา”

เฉินซีแสดงท่าทีสนใจและกล่าวว่า “เช่นนั้นก็วิเศษจริง ๆ ฝึกฝนในโลกภายนอก แล้วค่อยขัดเกลาพลังฝีมือของตนเองที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่ายตรงข้ามต่างก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ในเทียบอันดับ ทั้งสองฝ่ายย่อมได้รับผลประโยชน์อย่างมากจากการประลองยุทธ์เหล่านี้ และแม้จะพ่ายแพ้ แต่ก็เป็นประสบการณ์ยอดเยี่ยมที่จะนำไปปรับปรุง และกลับมาแก้มือใหม่อีกครั้งในภายหลัง”

ซึ่งในขณะที่กล่าวเช่นนี้ แม้แต่เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น น้ำเสียงเผยให้เห็นถึงความคาดหวังเล็กน้อย

เพราะความแข็งแกร่งของผู้เยี่ยมยุทธ์จะสะท้อนให้เห็นได้จากสิ่งใดได้อีก

ย่อมเป็นการต่อสู้อย่างแน่นอน!

เพราะหากปราศจากการต่อสู้ ก็คงจะไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์ และนี่เป็นกฎเหล็กที่ทุกคนต่างทราบดี

เหลียงปิงชำเลืองมองเฉินซีด้วยรอยยิ้ม “มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปดูเอง”

ขณะที่กล่าว ทั้งคู่ก็บินตรงไปยังสนามประลองที่ลอยอยู่กลางอากาศแล้ว

หากมองลงมา สนามประลองที่ลอยอยู่กลางอากาศนั่นมีรูปทรงสามเหลี่ยม

สำหรับสนามประลองระดับต่ำสุดนั้นมีจำนวนมากที่สุด และพวกมันเป็นตัวแทนของเวทีสำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นที่จะต่อสู้กัน หลังจากนั้น เมื่อระดับสูงขึ้นไป จำนวนสนามประลองก็จะค่อย ๆ ลดลง

ซึ่งที่ระดับสูงสุด จะเหลือสนามประลองเพียงแห่งเดียว มันโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ใต้ท้องฟ้าอย่างภาคภูมิ สำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนที่ยืนอยู่ในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปของทวีปทักษิณา มันเป็นเวทีสำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ได้รับการจัดอันดับให้แข่งขันกันเอง

ทว่าในยามนี้ เวทีบ่มเพาะที่ระดับสูงสุดว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่ระดับบนสุด แม้แต่ระดับที่หกและห้าก็มีตัวเลขบวกประมาณสิบตัวกะพริบอยู่

ระดับที่มีผู้คนมากที่สุดคือระดับต่ำสุด ระดับแรก

ในขณะนี้ สนามประลองมากมายในระดับแรกล้วนถูกครอบครองอย่างสมบูรณ์ และในขณะนี้ก็มีผู้เยี่ยมยุทธ์คู่หนึ่งกำลังต่อสู้กันอยู่ ทั้งยังมีผู้ชมอยู่ในบริเวณโดยรอบของสนามประลองอย่างหนาแน่น

“คุณหนูเหลียงปิง เจ้ามาแล้ว”

“ยินดีที่ได้พบ แม่นางเหลียงปิง”

“ที่แท้ก็คุณหนูใหญ่ของตระกูลเหลียงแห่งเมืองจตุรเทพ หรือว่านางตั้งใจที่ไต่อันดับให้สูงขึ้นในวันนี้?”

เมื่อเฉินซีและเหลียงปิง มาถึงที่นี่ หลายคนก็สังเกตเห็นพวกเขาทันที ทุกคนกล่าวทักทายเหลียงปิง พร้อมกับแสดงความเคารพ

ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ ล้วนมาจากเมืองต่าง ๆ ของทวีปทักษิณา และไม่ใช่ทุกคนที่มาจากเมืองจตุรเทพ แต่ทันทีที่เหลียงปิงปรากฏตัว ก็มีคนเข้ามาทักทายทันที แสดงให้เห็นว่า ในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ชื่อเสียงของนางยิ่งใหญ่เพียงใด

เมื่อลองคิดดูแล้ว ปัจจุบันนางอยู่ในอันดับที่แปดของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป และเป็นทายาทของตระกูลเหลียงที่มีชื่อเสียงในด้านเต๋าแห่งยันต์อักขระ จึงไม่แปลกที่นางจะเป็นที่รู้จักของผู้คน

เฉินซีถอนหายใจยาวเหยียด แม้ชื่อเสียงจะไร้รูปร่างมิอาจจับต้อง แต่เมื่อมาถึงจุดสูงสุด มันจะส่งผลต่อทัศนคติของผู้อื่นโดยปริยาย

เช่นเดียวกับช่วงเวลานี้ เมื่อเผชิญหน้ากับเหลียงปิง อัจฉริยะรุ่นเยาว์เหล่านี้ที่มาจากเมืองต่าง ๆ ของทวีปทักษิณา ซึ่งบางทีอาจไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับเหลียงปิงเลยแม้แต่น้อย และอาจเป็นครั้งแรกที่ได้พบนางด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้ยินชื่อของนาง พวกเขาต่างเผยท่าทีนอบน้อมออกมาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนี่ก็คือผลของชื่อเสียงและเกียรติยศ

แต่เหลียงปิงกลับเพียงพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นพาเฉินซีเดินจากไปด้วยท่าทางเย็นชาและทะนงตัว เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายของราชินีอย่างเต็มที่

“สหายคนนั้นคือใครกัน?”

“ข้าก็ไม่รู้ บางทีเขาอาจเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่ตระกูลเหลียงเพิ่งคัดเลือกมา”

ในเวลาเดียวกัน ฝูงชนล้วนสังเกตเห็นการมีอยู่ของเฉินซี และเมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีเดินเคียงข้างกับเหลียงปิงจริง ๆ อีกทั้งยังไม่ได้เดินตามหลังนางเหมือนผู้ติดตาม พวกเขาต่างก็แสดงความประหลาดใจและสนทนากันอย่างมีชีวิตชีวา

ท่ามกลางการสนทนาที่มีชีวิตชีวานี้ เหลียงปิงพาเฉินซีไปยังสนามประลองแห่งหนึ่ง บนสนามประลองกำลังมีการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาว

“กฎของสนามประลองนั้นเรียบง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวหรือต่อสู้แบบกลุ่ม ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ครองสนามประลอง” เหลียงปิงอธิบาย “และหากพยายามฝ่าฝืนกฎ คนผู้นั้นจะถูกขับออกจากดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้โดยกฎแห่งฟ้าดิน สิ่งนี้ช่วยลดความเสี่ยงที่จะคนสร้างปัญหา หรือแก้แค้นศัตรู”

เฉินซีพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ เพราะกฎนี้ยุติธรรมจริง ๆ เราสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าคู่ต่อสู้จะเรียกกำลังเสริมและแก้แค้นอย่างไร้ศักดิ์ศรี

ถ้ามีใครต้องการแก้แค้น มันก็ง่ายมาก เพียงแค่กระโดดขึ้นไปบนสนามประลองและต่อสู้อย่างยุติธรรม แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายเต็มใจที่จะต่อสู้หรือไม่

“มาเถอะ กลับสู่โลกภายนอกกันก่อน ข้าจะช่วยเจ้าวางแผนการบ่มเพาะและจัดหาของใช้ให้กับเจ้า ณ ช่วงปีนี้ เจ้าจงบ่มเพาะอย่างสบายใจ และขัดเกลาพลังฝีมือในสนามประลองเหล่านี้ พยายามผลักดันตนเองให้ขึ้นสู่ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ในระดับสูงโดยเร็วที่สุด เพื่อจะที่เป็นหนึ่งในพันอันดับแรก”

หลังจากที่นางอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับกฎของสนามฝึกแล้ว เหลียงปิงก็ตั้งใจพาเฉินซีจากไป

แต่ในขณะนั้นเอง เสียงร้องอันไพเราะก็ดังขึ้น “เหลียงปิง ในที่สุดเจ้าก็มา รู้หรือไม่ว่าข้ารอเจ้านานเพียงใด!?”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท