บทที่ 1077 สุนัขเฒ่าอิน
บทที่ 1077 สุนัขเฒ่าอิน
ยามนี้ รูปลักษณ์ของเหลียงปิงดูเหมือนสาวน้อยที่มึนงง ริมฝีปากสีแดงสุดเย้ายวนของนางย่นเล็กน้อย ใบหน้างดงามและเย็นชาอย่างไร้ที่เปรียบ ก็มีร่องรอยของความเดือดดาล แทบไม่เหลือกลิ่นอายของราชินีที่เกรงขามเหมือนเช่นเคย
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะขยี้จมูกเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขานึกไม่ออกจริง ๆ ว่าทำไมนางถึงตื่นเต้น เพียงเพราะเขามีวิธีหลอมสร้างยันต์ศัสตราเท่านั้น
ราวกับว่านางอ่านความคิดของเขาออก เหลียงปิงจึงกลอกตาและกล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “อย่าได้อวดดีนัก”
เมื่อนางกล่าวถึงเรื่องนี้ นางก็ไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้อีกต่อไป “กระสวยแสงเงินของข้าจะแข็งแกร่งขึ้นได้จริงหรือ?”
เฉินซีพยักหน้า “‘เป็นไปได้อย่างแน่นอน”
หลังจากได้รับคำตอบที่ชัดเจน ดวงตาของเหลียงปิงก็ส่องประกายทันที และเต็มไปด้วยระลอกคลื่นอารมณ์ ขณะที่นางจ้องมองเฉินซีด้วยความคาดหวัง
“แต่ด้วยการบ่มเพาะในปัจจุบันของข้า ยังไม่อาจขัดเกลาสมบัติอมตะระดับจักรวาลได้” เฉินซียักไหล่และกล่าวในทำนองที่ช่วยไม่ได้
เหลียงปิงตกตะลึงและผิดหวังเล็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะขบเม้มริมฝีปากสีแดงชุ่มชื้นของตน และถอนหายใจแผ่วเบา “อย่างนั้นเหรอ? ดูเหมือนข้าจะใจร้อนเกินไปสินะ”
“แต่…” ก่อนที่เฉินซีจะกล่าวจบ เหลียงปิงก็จ้องเขม็งมาที่เขาและกล่าวว่า “หากเจ้ามีอะไรจะกล่าว ก็จงกล่าวออกมาตรง ๆ อย่าได้กล่าวอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เช่นนี้ มันทำให้อารมณ์ของข้าแปรปรวน เจ้าช่างใจร้ายเสียจริง”
น้ำเสียงของนางแหบพร่า เมื่อรวมกับรูปโฉมอันงดงามและเย้ายวนอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ พร้อมกับรูปร่างสง่างามและร้อนแรง นางก็เปล่งเสน่ห์อันน่าตกตะลึงออกมา
เฉินซีตกตะลึงกับฉากนี้เช่นกัน เพราะในระยะที่ใกล้ชิดเช่นนี้ นางช่างงดงามหาที่เปรียบมิได้ แม้แต่ลมหายใจยังหอมกรุ่น หากเป็นผู้ชายธรรมดาทั่วไป คงมิอาจนิ่งเฉยเมื่อเผชิญกับฉากที่ตื่นเต้นและเย้ายวนใจเช่นนี้
เหลียงปิงดูเหมือนจะสังเกตเห็นว่ามันไม่เหมาะสมเช่นกัน นางกระแอมไอออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติ แม้จะรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง “ให้ตายเถอะ! ข้าเสียความสำรวมไปแล้วจริง ๆ! ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของกระสวยแสงเงิน!”
เฉินซีก็ได้สติกลับคืนมาเช่นกัน และรู้สึกว่าบรรยากาศอึดอัดเล็กน้อย จึงกล่าวทันทีว่า “แม้ข้าจะไม่สามารถขัดเกลา แต่เจ้าก็ทำได้”
เหลียงปิงรู้สึกประหลาดใจ และชี้ตัวเอง “ข้าน่ะหรือ?”
เฉินซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะสอนวิธีการขัดเกลาให้แก่เจ้า เช่นนั้นยังไม่พออีกหรือ?”
หัวใจของเหลียงปิงสั่นสะท้าน และจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า “นั่นเหมาะสมหรือ?”
แม้ว่านางจะต้องการขัดเกลาความแข็งแกร่งของกระสวยแสงเงินเป็นการด่วน แต่ก็ทราบดีว่ามันเป็นความลับของเขาเทพพยากรณ์ ไม่ต้องกล่าวถึงตระกูลเหลียง แม้แต่ตระกูลกู่ ตระกูลหลัว และตระกูลอินก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับมรดกดังกล่าว
บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นเพียงบริวารเต๋าที่คอยรับใช้เคียงข้างปรมาจารย์ของเขาเทพพยากรณ์ ไม่ใช่แม้แต่ศิษย์เอก ดังนั้นพวกเขาจะรับมรดกเช่นนี้ได้อย่างไร?
เฉินซีคาดเดาความกังวลในใจของเหลียงปิงได้ในทันที “ไม่ต้องห่วง ข้าแค่ชี้แนะเจ้าในการขัดเกลาอุปกรณ์เท่านั้น ไม่ได้ทำให้เคล็ดวิชาใด ๆ ต้องรั่วไหลอย่างแน่นอน”
เหลียงปิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในขณะที่ร่างกายของนางรู้สึกผ่อนคลาย หากกล่าวตามจริงแล้ว ต่อให้เฉินซีถ่ายทอดวิธีการหลอมสร้างยันต์ศัสตราให้กับนาง นางคงจะไม่กล้ารับไว้ เพราะตระหนักดีว่าตระกูลเหลียงไม่คู่ควรกับมรดกของเขาเทพพยากรณ์
การกระทำของเฉินซีไม่ถือว่าเป็นการถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้กับคนที่อยู่นอกนิกาย และยังช่วยแก้ปัญหากระสวยแสงเงินได้ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว
ต่อจากนั้น เฉินซีก็ไม่รีรอที่จะหยิบแผ่นหยกเปล่าขึ้นมา และบันทึกวิธีการขัดเกลากระสวยแสงเงินภายในนั้น จากนั้นส่งมันให้เหลียงปิง
เหลียงปิงแสดงท่าทางราวกับได้รับสมบัติล้ำค่า และพูดคุยกับเฉินซีอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะรีบร้อนจากไป ดูกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ราวกับไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการขัดเกลากระสวยแสงเงินอีกแล้ว
เฉินซีหัวเราะเบา ๆ แต่ก็เข้าใจความรู้สึกของเหลียงปิง
จากนั้นก็เข้าสู่โลกแห่งดาราทันที และเริ่มบำเพ็ญสมาธิ พร้อม ๆ กับควบแน่นพลังของกฎ
ณ ปัจจุบัน เฉินซีเพิ่งบรรลุสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลาง และไม่อาจทะลวงผ่านการบ่มเพาะอีกครั้งได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ดังนั้น เขาจึงมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การควบแน่นพลังของกฎ
นอกจากธาตุทั้งห้า หยินและหยางแล้ว เขายังเข้าใจมหาเต๋าแห่งวายุ มหาเต๋าแห่งสายฟ้า มหาเต๋าแห่งดารา มหาเต๋าแห่งนิรันดร์ มหาเต๋าแห่งการรังสรรค์ มหาเต๋าแห่งปารมิตา มหาเต๋าแห่งการลืมเลือน มหาเต๋าแห่งการทำลายล้างและอื่น ๆ อีกมากมาย ยิ่งกว่านั้น พวกมันทั้งหมดได้บรรลุถึงระดับสมบูรณ์แบบแล้ว
หากเป็นคนทั่วไป พวกเขาต้องเข้าใจมหาเต๋าและต้องบรรลุระดับสมบูรณ์แบบเสียก่อน จึงจะสามารถควบแน่นกฎได้ และกระบวนการนี้ก็ยากเย็นแสนเข็ญ ท้ายที่สุด ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถมีความเข้าใจระดับสูงเช่นนี้ได้
ในทางกลับกัน สำหรับเฉินซี การควบแน่นกฎเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น และไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด
ตอนนี้เขาตั้งใจที่จะควบแน่นกฎแห่งวายุและอัสนี!
…
ณ ห้องโถงใหญ่ของตระกูลเหลียงที่สว่างไสวด้วยโคมไฟ
เหลียงเทียนเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลเหลียงกำลังนั่งบนเก้าอี้ของผู้นำตระกูล และเขากำลังจิบชาด้วยท่วงท่าผ่อนคลายยิ่ง
“เรียกท่านผู้นำ อินเตอจ้าวจะมาถึงในอีกราวหนึ่งก้านธูป” ในขณะเดียวกัน ชายชราในชุดคลุมสีดำก็เดินเข้ามา และโค้งคำนับเหลียงเทียนเหิง “ตามข้อมูลที่มาจากตระกูลอิน ครั้งนี้อินเตอจ้าวมาคนเดียว ไม่ได้พาผู้ติดตามมาด้วย”
“หึ.. ตั้งแต่ไอ้สุนัขเฒ่าอินขึ้นนั่งตำแหน่งผู้นำตระกูลอิน ก็ขวัญกล้าเทียมฟ้าเชียว” เหลียงเทียนเหิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่เขาจะโบกมือ “เจ้าไปได้แล้ว”
ชายชราพยักหน้ากล่าวอย่างอดไม่ได้ “ท่านผู้นำ ไม่ว่าอย่างไรเราจะปกป้องเฉินซีคนนั้นจริง ๆ หรือ?”
เหลียงเทียนเหิงเหลือบมองชายชรา และกล่าวอย่างสบาย ๆ “ทำไมหรือ? หรือมีสิ่งใดผิดปกติ?”
ชายชราครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งก่อนจะเอ่ย “ตระกูลเหลียง ตระกูลกู่ ตระกูลหลัว และตระกูลอินต่างก็เป็นสี่ตระกูลใหญ่ในเต๋าแห่งยันต์อักขระ ซึ่งดำรงอยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาล นอกจากนี้บรรพบุรุษของเราเคยต่อสู้เคียงข้างกัน ในขณะที่ติดตามและบ่มเพาะเคียงข้างปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ ทำให้เรามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน”
เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “แม้ว่าศิษย์รุ่นเยาว์ของทั้งสี่ตระกูลจะแข่งขันกัน และตั้งตนเป็นศัตรูกัน แต่มันเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น”
“ครั้งนี้ เฉินซีทำให้ตระกูลอินได้ขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก และมุ่งมั่นที่จะกำจัดเขาทุกวิถีทาง หากเราขัดขวางพวกเขา เราจะกลายเป็นศัตรูกับตระกูลอินอย่างสมบูรณ์ และนั่นเป็นภัยมากกว่าเป็นประโยชน์ต่อตระกูลเหลียงของเรา”
เหลียงเทียนเหิงฟังทั้งหมดนี้อย่างเงียบ ๆ จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะไร้ซึ่งความกังวล “ต่อให้เราเป็นศัตรูกันแล้วจะทำไม? หรือเจ้าคิดว่าข้าจะกลัวไอ้สุนัขเฒ่าอินเตอจ้าว?”
ชายชราชุดดำหัวเราะอย่างขมขื่น “ท่านผู้นำ ท่านรู้ดีว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าทนไม่ได้ที่จะเห็นของตระกูลเหลียงของเราเสียผลประโยชน์”
เหลียงเทียนเหิงตกอยู่ในภวังค์เมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นก็กล่าวว่า “คนส่วนใหญ่ในตระกูลเหลียงของเราคิดเช่นนี้ด้วยหรือไม่”
ชายชราพยักหน้า
“พวกเขานี่มัน…” เหลียงเทียนเหิงส่ายศีรษะเมื่อได้ยินสิ่งนี้
หลังจากนั้น ใบหน้าอันอบอุ่นและหล่อเหลาก็เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง โบกมือและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นจงบอกพวกเขาว่า แม้ตระกูลเหลียงของเราจะถูกทำลายล้าง เราจะต้องปกป้องเฉินซีด้วยทุกสิ่งที่มี! ถ้าใครกล้าบ่นก็บอกให้มาพบข้า!”
น้ำเสียงของเขาแน่วแน่และเด็ดขาด แสดงอำนาจที่เหนือกว่ามาก
ชายชราตกใจ และในที่สุดก็เข้าใจว่าผู้นำตระกูลตั้งใจจะปกป้องเฉินซี ซึ่งอาจมีความลับบางอย่างอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ไม่กล้าถามอะไรอีกและจากไปอย่างเร่งรีบ
ไม่นานหลังจากที่ชายชราในชุดดำจากไป ร่างของเหลียงปิงก็ปรากฏขึ้นที่หน้าห้องโถง แม้นางยังไปไม่ถึงห้องโถง แต่เสียงอันเย็นยะเยือกก็ดังก้องไปก่อนตัวแล้ว และมันเต็มไปด้วยร่องรอยของความสุข “ท่านพ่อ ข้าพบวิธีขัดเกลาความแข็งแกร่งของกระสวยแสงเงินแล้ว และท่านพ่อต้องช่วยข้า!”
“โอ้? เจ้าไปได้มันมาจากที่ไหนกัน ข้าจำได้ว่าเจ้าค้นพบวิธีการมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่มีวิธีใดประสบความสำเร็จแม้แต่วิธีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น มีหลายครั้งที่กระสวยแสงเงินเกือบถูกทำลาย” รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเหลียงเทียนเหิง ขณะกล่าวหยอกล้อ
ใบหน้าของเหลียงปิงพลันกลายเป็นสีแดงก่ำ ทำเสียงฮึดฮัด ก่อนที่ความมั่นใจจะปรากฏบนใบหน้างาม “ครั้งนี้จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน!”
เหลียงเทียนเหิงหัวเราะลั่น “เจ้ากล่าวเช่นนี้มาไม่รู้กี่ครั้ง จนหูของข้าด้านชาแล้ว”
เขากล่าวพลางยกถ้วยชาขึ้นจิบช้า ๆ “เจ้ามาได้ถูกเวลาพอดี อินเตอจ้าว ผู้นำตระกูลอินจะมาในอีกหนึ่งก้านธูป เจ้าควรจะอยู่ฟังด้วยเช่นกันว่าไอ้สุนัขเฒ่าตัวนี้มีสิ่งใดมาเสนอ ในฐานะทายาทของตระกูลเหลียง ไม่เพียงแต่เจ้าจะต้องมีความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขาม แต่ยังต้องรู้จักเดิมพันและตัดสินใจเลือกเมื่อเผชิญกับผลประโยชน์”
เหลียงปิงจะมีอารมณ์ที่จะฟังเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร? นางจึงรู้สึกโกรธเล็กน้อย เมื่อบิดาดูไม่เชื่อในคำพูดของนางเลย “ที่ข้าพูดคราวนี้เป็นเรื่องจริง!”
เหลียงเทียนเหิงตกตะลึงเล็กน้อย และจิบชาอีกครั้ง ก่อนที่จะยิ้ม “เอาล่ะ เอาล่ะ เอาล่ะ บอกข้ามาว่าครั้งนี้เจ้าไปได้มาจากนิกายเก่าแก่ที่ใด?”
“ท่านพ่อดูด้วยตัวเองเถอะ!” เหลียงปิงรู้สึกขุ่นเคือง เมื่อเห็นบิดายังคงเย้าแหย่ไม่เลิกรา นางจึงโยนแผ่นหยกออกไป
“ยัยหนู เจ้านี่ไม่เคารพต่อบิดาของเจ้าเลยสินะ เพียงเพื่อสมบัติ…” เหลียงเทียนเหิงยกมือขึ้นรับมันและมองผ่านมันอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าเสียงของเขาก็หยุดชะงัก และสีหน้าจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ
“โอ้!” ท่าทางหยอกเย้าหายไปอย่างสมบูรณ์ คิ้วขมวดแน่น และจ้องเขม็งไปที่แผ่นหยกในมืออย่างลึกซึ้ง
“เจ้าได้สิ่งนี้มาจากไหน” หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเหลียงเทียนเหิงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เหลียงปิงปิดปากเงียบสนิท และประสานมือไว้ที่อก ริมฝีปากสีแดงเรื่อยกขึ้นเล็กน้อย ราวกับกำลังกล่าวว่า ‘ข้ารู้ว่าท่านจะเป็นแบบนี้’
เหลียงเทียนเหิงหัวเราะอย่างขมขื่น “ยัยหนู เจ้ายังโกรธบิดาอยู่หรือ? รีบบอกข้าเร็วเข้าว่าเจ้าไปได้สิ่งนี้มาจากที่ใด? หากข้าคาดเดาไม่ผิด สิ่งนี้มันอาจช่วยขัดเกลาความแข็งแกร่งของกระสวยแสงเงินของเจ้าได้จริง ๆ” เมื่อกล่าวจบ สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้น
ในที่สุดความโกรธในใจของเหลียงปิงก็ลดลง และยอมบอกสิ่งที่เหลียงเทียนเหิงอยากรู้แต่โดยดี “เฉินซีเป็นคนให้ข้ามา”
เพล้ง!
มือของเหลียงเทียนเหิงสั่นสะท้าน ทำให้ถ้วยชาตกลงพื้นและแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับเรื่องนี้ ถ้วยชาจะนับเป็นอะไรได้ “นี่คงไม่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาหลอมสร้างยันต์ศัสตราของเขาเทพพยากรณ์ใช่หรือไม่?” เสียงของเขาไม่ได้เต็มไปด้วยความตกใจอย่างแท้จริง
“ไม่ใช่ ข้าไม่มีความกล้าที่จะใช้เคล็ดวิชาเช่นนั้น นี่เป็นวิธีการขัดเกลาที่เฉินซีมอบให้กระสวยแสงเงินของข้า” เหลียงปิงอธิบายทันที เพราะนางรู้ว่าบิดากำลังเข้าใจผิด
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เหลียงเทียนเหิงพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ดีแล้ว เราไม่สามารถใช้หรือฝึกเคล็ดวิชาของเขาเทพพยากรณ์ได้จริง ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของภพเซียน เนื่องจากผู้คนละโมบในสมบัติของเขาเทพพยากรณ์ มหาอำนาจมากมายจึงต้อง…”
เหลียงเทียนเหิงไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น แต่เหลียงปิงทราบถึงผลที่ตามมาเป็นอย่างดี นางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ารู้”
“ปิงเอ๋อร์ ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก ดีมาก! ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!!” เหลียงเทียนเหิงมองเหลียงปิงเป็นเวลานาน ก่อนจะเริ่มหัวเราะ และเสียงหัวเราะก็ยิ่งดังขึ้น จนทั้งห้องโถงสั่นสะเทือน
เหลียงปิงตกตะลึงเล็กน้อยและไม่สามารถเดาได้ว่าบิดากำลังคิดอะไรอยู่
“พี่เทียนเหิง ที่เจ้าหัวเราะดังสนั่นเช่นนี้ เป็นเพราะมีเรื่องมงคลอันใดเกิดขึ้นหรือ?”
เสียงทุ้มต่ำและนุ่มนวลดุจสตรีพลันดังขึ้นจากนอกห้องโถง ทุก ๆ ถ้อยคำล้วนชัดเจน ทั้งยังมีจังหวะอันเป็นเอกลักษณ์ ราวกับสัจธรรมของเต๋ากำลังดังก้องไปทั่วห้องโถง