บทที่ 1080 ขีดจำกัด
บทที่ 1080 ขีดจำกัด
นับตั้งแต่คืนนั้น ข่าวที่ผู้นำของตระกูลอินกลับมาพร้อมความขุ่นเคืองกระจายไปทั่วทั้งทวีปทักษิณาอย่างช้า ๆ ประหนึ่งโยนก้อนหินลงสระน้ำ ก่อให้เกิดคลื่นนับร้อยนับพันกระจายออกไป อีกทั้งยังเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่
สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไรนะหรือ?
หมายความว่าคำขอของอินเหมียวเมี่ยวนั้นไม่ได้รับการยินยอม กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่าจะอยู่ในโลกภายนอก แต่ถ้าตระกูลอินคิดจะฆ่าเฉินซี พวกเขาก็ต้องผ่านตระกูลเหลียงไปเสียก่อน!
ผู้คนนับไม่ถ้วนอุทานด้วยความตกใจ และยากที่จะจินตนการถึงเหตุผล ว่าเหตุใดตระกูลเหลียงถึงไม่ลังเลที่จะล่วงเกินตระกูลอิน เพียงเพื่อปกป้องชายหนุ่มที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับตระกูลเหลียง
มีเพียงตระกูลหลัวและตระกูลกู่เท่านั้นที่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลัง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตระกูลเหลียงไม่ได้เปิดเผยข้อมูลใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเฉินซี พวกเขาจึงไม่เคลื่อนไหว เพราะยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหลัวหรือตระกูลกู่ ทั้งสองต่างมีความคิดเห็นเหมือนกัน ท้ายที่สุด แม้เฉินซีจะไม่ใช่ศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ แต่มีความสัมพันธ์บางอย่างกับเขาเทพพยากรณ์เป็นแน่ และความลับดังกล่าวก็ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ มิฉะนั้นจะมีการแสดงใดให้ดูเมื่อตระกูลอินค้นพบ?
แน่นอน พวกเขาตั้งใจที่จะชมการแสดง และตั้งตารอคอยที่ตระกูลอินจะตามล่าเฉินซีอย่างถึงแก่น ทั้งยังสามารถทดสอบทัศนคติของเขาเทพพยากรณ์ที่มีต่อเฉินซีได้ในเวลาเดียวกัน
การที่ความมุ่งหมายตั้งใจของผู้ยิ่งใหญ่ในทวีปทักษิณา ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อความอยากรู้อยากเห็นและการถกเถียงของผู้คนที่มีต่อเฉินซีได้
มันเป็นเพราะเหตุการณ์นี้เอง ที่ทำให้ชื่อเสียงของเฉินซีเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์
และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ร่องรอยของเฉินซีก็หายไปจากดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ สิ่งนี้ทำให้หลายคนคิดว่า เฉินซีกำลังซ่อนตัวเมื่อต้องเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของตระกูลอิน
ทว่าตัวเฉินซีกลับไม่ทราบข่าวลือเหล่านี้ เพราะตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาได้ปิดด่านบ่มเพาะอยู่ภายในโลกแห่งดารา ในขณะที่กำลังรวบรวมพลังของกฎอย่างขะมักเขม้น
เวลาผ่านไปไวดุจสายน้ำ หนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา
แต่ในโลกแห่งดารา เฉินซีได้ปิดด่านบ่มเพาะเป็นเวลาห้าเดือนแล้ว
ยามนี้ เขาเข้าใจกฎแห่งวายุและอัสนี ทำให้พลังฝีมือพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถควบแน่นกฎอื่น ๆ อย่างกฎแห่งดารา กฎแห่งปารมิตา กฎแห่งการลืมเลือน และอื่น ๆ ได้
ทว่าแม้ไม่อาจควบแน่นมันได้ แต่ชายหนุ่มรู้สึกได้ราง ๆ ว่า นี่คือขีดจำกัดของกฎที่เซียนสวรรค์จะสามารถเข้าใจได้ หากต้องการเข้าใจและควบแน่นกฎให้มากขึ้น ขอบเขตการบ่มเพาะของเขาก็ต้องยกระดับขึ้นไปอีก
ไม่ใช่แค่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูง และไม่ใช่แค่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบ แต่เป็นขอบเขตเซียนลึกลับ!
นี่เป็นความรู้สึกที่น่าสนใจมาก
เบญจธาตุ หยิน หยาง วายุ และอัสนี พวกมันเป็นกฎแห่งมหาเต๋าทั้งเก้าประเภท ซึ่งเป็นตัวแทนของเลขเก้าที่เป็นจำนวนที่มากที่สุด และอย่างที่เคยกล่าวไป เลขเก้าจะกลับคืนสู่เลขหนึ่งเสมอ ในอีกแง่หนึ่ง กฎแห่งมหาเต๋าทั้งเก้าประเภทที่เฉินซีเข้าใจนั้น ได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว
เว้นแต่ว่าเขาจะสามารถทะลวงพลังของกฎแห่งเต๋าสวรรค์ในโลก และฝ่าฟันพันธนาการของฟ้าดินได้ บางทีชายหนุ่มอาจจะสามารถเข้าใจกฎแห่งมหาเต๋าอันไร้ขีดจำกัดได้!
แต่จำไว้ว่า กฎที่เหล่าเซียนเข้าใจ ล้วนมาจากเต๋าแห่งสวรรค์ ดังนั้นเมื่อฝ่าฝืนกฎของเต๋าแห่งสวรรค์ ก็หมายความว่าเขาจะละทิ้งเต๋าแห่งสวรรค์เช่นกัน
นี่คือความหมายของขีดจำกัด มันเป็นขีดจำกัดที่ไม่สามารถเอาชนะได้
ในทางกลับกัน ขอบเขตเซียนลึกลับเป็นระดับที่สูงกว่า และสอดคล้องกับคำพูดที่ว่าเลขเก้ากลับคืนสู่เลขหนึ่ง เพราะมันเป็นการเริ่มต้นใหม่
สรุปแล้ว แม้ว่าเฉินซีจะเข้าใจความลึกซึ้งของมหาเต๋าในขอบเขตเซียนสวรรค์มากขึ้น เขาก็จะสามารถควบแน่นกฎแห่งมหาเต๋าได้เพียงเก้าประเภทเท่านั้น เพราะนี่คือขีดจำกัดที่เป็นกฎเหล็กภายใต้เต๋าแห่งสวรรค์ของภพเซียน
ซึ่งอันที่จริง การควบแน่นกฎแห่งวายุกับกฎแห่งอัสนีก็ไม่ได้ใช้เวลามากนัก และในช่วงห้าเดือนนี้ในโลกแห่งดารา เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการบ่มเพาะพลังของตนเอง
เนื่องจากความช่วยเหลือของต้นอ่อนเงาทมิฬ เขาจึงพยายามหลอมรวมพลังการบ่มเพาะของขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลางได้อย่างเต็มที่ จนมันมาถึงสถานะที่อิ่มตัวและสมบูรณ์แบบแล้ว
ดังนั้นเขาจึงอยู่ไม่ไกลจากขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูง
และนี่คือความสำเร็จที่เฉินซีได้รับในช่วงห้าเดือนนี้ แน่นอนว่าหากเป็นในโลกภายนอก เวลานั้นผ่านไปเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น
สำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ ความสำเร็จดังกล่าวสามารถอธิบายได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ แต่สำหรับเฉินซี มันถือว่าธรรมดามาก และรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
เนื่องจากการปิดด่านบ่มเพาะนี้เกินเวลาที่วางไว้ เดิมทีเขาตั้งใจจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูง แต่ก็ยังขาดขั้นตอนสุดท้าย
“ไม่เป็นไร ถึงเวลาแล้วที่จะขัดเกลาพลังฝีมือของข้า เมื่อเทียบกับการต่อสู้กับอินหว่านซวินในวันนั้น พลังฝีมือในปัจจุบันของข้าน่าจะแข็งแกร่งกว่ามาก ข้าสงสัยว่าเหลียงปิงจะจัดหาคู่ต่อสู้แบบไหนให้กับข้า…”
เฉินซีตื่นขึ้นจากการทำสมาธิและครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ออกจากโลกแห่งดารา
…
เมื่อเฉินซีเดินออกจากห้องลับ เขาเห็นเหลียงปิงเดินเข้ามาอย่างร่าเริงและมีชีวิตชีวาจากระยะไกล เมื่อรวมกับรูปร่างเพรียวบางของนาง และหน้าตางดงามจนไม่มีใครเทียบได้ หญิงสาวจึงมากไปด้วยเสน่ห์ที่เย้ายวนจนเกินพรรณนา
“โอ้ เจ้าบ่มเพาะเสร็จแล้วหรือ? นี่ข้าคงมาได้ถูกเวลากระมัง?” เหลียงปิงสังเกตเห็นเฉินซีเช่นกัน และอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“อันที่จริงข้าตั้งใจจะไปหาเจ้าอยู่พอดี” เฉินซียิ้ม
“เพื่อขัดเกลาพลังฝีมือของเจ้าสินะ?” เหลียงปิงมองเฉินซีตั้งแต่หัวจรดเท้า นางสังเกตเห็นว่าการบ่มเพาะของเฉินซีเปลี่ยนไปเล็กน้อยจริง ๆ หลังจากผ่านไปเพียงแค่หนึ่งเดือน พลังชีวิตในร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น มันถูกยับยั้งและลึกดุจก้นบึ้ง หากนางไม่พินิจอย่างระมัดระวัง ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเหล่านี้
เฉินซีพยักหน้า
“งั้นตามข้ามา” เหลียงปิงไม่ใช่คนชักช้า นางจึงพาเฉินซีไปที่สนามประลองทันที
ในระหว่างทาง เฉินซีเอ่ยถาม “เจ้ามาหาข้าทำไมหรือ?”
“กระสวยแสงเงินของข้าได้รับการขัดเกลาสำเร็จแล้ว และพลังของมันอาจเพิ่มขึ้นถึงห้าส่วน!”
เหลียงปิงไม่สามารถยับยั้งความสุขในใจของนางได้ ดวงตาเปล่งประกายด้วยแสงระยิบระยับอันน่าหลงใหลราวกับทะเลสาบ
เฉินซีกล่าวกับตัวเองในใจ ‘พลังเพิ่มขึ้นเพียงห้าส่วนเองหรือ? มันน่าจะเพิ่มได้ถึงหกส่วน… ’
เฉินซีครุ่นคิดสั้น ๆ และเข้าใจในที่สุด เป็นไปได้ว่า ฝีมือของผู้หลอมศัสตราที่ช่วยเหลียงปิงนั้นอ่อนด้อยเล็กน้อย
แต่ถ้าเหลียงปิงรู้ความคิดของเฉินซีเข้า นางคงต้องหัวเราะอย่างขมขื่นและรู้สึกจุกอกจนพูดไม่ออกอย่างแน่นอน เพราะผู้หลอมศัสตราที่ช่วยขัดเกลากระสวยแสงเงิน คือเหลียงเทียนเหิง บิดาของนางเอง
…
สนามฝึกยุทธ์ของตระกูลเหลียงนั้นกว้างใหญ่มาก และถูกปกคลุมด้วยเหล็กอมตะโกลาหลที่แข็งแกร่งยิ่ง อีกทั้งบริเวณโดยรอบยังถูกปกคลุมด้วยชั้นของผนึกที่สามารถต้านทานการโจมตีของเซียนทองคำอย่างเต็มกำลังได้
ในขณะนี้ มีคนมากมายกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในสนามฝึกยุทธ์ พวกเขากำลังบ่มเพาะศาสตร์เซียนและฝึกฝนตนเอง ดูคึกคักเป็นพิเศษ
“โอ้ นั่นคุณหนูใหญ่”
“คุณหนูใหญ่มาแล้ว!”
“คุณหนูใหญ่”
เมื่อเหลียงปิงมาถึงที่นี่พร้อมกับเฉินซี นางก็ได้รับการต้อนรับเล็ก ๆ น้อย ๆ ในทันที พวกเขามองเหลียงปิงด้วยสายตาเคารพ และจ้องมองเฉินซีด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“จงไปแจ้งเหลียงคุนให้มาพบข้าที่สนามประลองหมายเลขหนึ่ง” เหลียงปิงคุ้นเคยกับพฤติกรรมเหล่านี้มานานแล้ว ดังนั้นนางจึงเรียกศิษย์เข้ามาหนึ่งคน และสั่งการ ก่อนจะนำเฉินซีฝ่าฝูงชนเพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามประลอง
“ชายหนุ่มคนนั้นคือเฉินซีใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว เป็นเขาเอง ข้าได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่า คุณหนูใหญ่ได้จัดเตรียมผู้เยี่ยมยุทธ์ในตระกูลเพื่อต่อสู้กับเขา ดูเหมือนจะเป็นความจริง”
“เจ้าว่าอะไรนะ? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? ไยเจ้าถึงไม่กล่าวก่อนหน้านี้ เร็วเข้า รีบไปสนามประลองหมายเลขหนึ่งกันเถอะ”
“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ พี่ใหญ่เหลียงคุนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับต้น ๆ ในตระกูลของเรา มีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง และอยู่ในอันดับที่ร้อยสามสิบห้าในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป เฉินซีก็ไม่ได้ด้อยกว่าเขามากนัก อีกทั้งยังก่อให้เกิดการถกเถียงมากมายในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ อันดับปัจจุบันของเขาน่าจะอยู่ที่หนึ่งร้อยห้าสิบสี่แล้ว ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างเขากับพี่ใหญ่เหลียงคุนจะต้องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
ในสนามประลอง ศิษย์ของตระกูลเหลียงส่วนใหญ่ล้วนเคยได้ยินชื่อเสียงของเฉินซี ท้ายที่สุดนอกจากอินเหมียวเมี่ยว ชื่อเสียงของเฉินซีก็เลื่องลือไปทั่วทวีปทักษิณา
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกสิ่งที่เขาทำในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาของทุกคนหลังมื้ออาหาร เมื่อได้ยินว่าเฉินซีอาจต่อสู้กับเหลียงคุน พวกเขาจะหักห้ามใจตัวเองได้อย่างไร? ทุกคนจึงตื่นตัวพร้อมกันทันที ด้วยความตั้งใจที่จะรับชมการต่อสู้ของทั้งสอง
ณ สนามประลองหมายเลขหนึ่ง
เมื่อเฉินซีและเหลียงปิงมาถึงที่นี่ พวกเขาเห็นบริเวณโดยรอบของสนามประลองนั้นเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งหมดเงยหน้าขึ้น พร้อมจ้องมองด้วยสีหน้าที่คาดหวังและอยากรู้อยากเห็น
ผ่านไปไม่นานนัก ชายหนุ่มในชุดดำที่มีใบหน้าซีดเซียวและดวงตาเรียวยาวก็เดินเข้ามา การมาถึงของชายคนหนึ่ง ทำให้ศิษย์ของตระกูลเหลียงหลายคนที่อยู่รอบ ๆ รู้สึกตื่นเต้น
เห็นได้ชัดว่าเขาคือเหลียงคุน และจากปฏิกิริยาของทุกคน เขาก็มีชื่อเสียงมากในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลเหลียง
“คุณหนูใหญ่” เหลียงคุนเดินเข้ามา และพยักหน้าให้เหลียงปิง
“นี่คือเฉินซี เป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าในวันนี้ จงใช้ความสามารถทั้งหมดที่เจ้ามี เพื่อต่อสู้กับเขาอย่างเต็มที่” เหลียงปิงแนะนำด้วยความเรียบง่ายอย่างยิ่ง
“เฉินซี ข้ารู้จักเจ้า แม้ว่านี่คือโลกแห่งความเป็นจริง แต่ข้าจะสู้สุดกำลังแน่นอน” เหลียงคุนหันกลับมามองไปที่เฉินซีด้วยสีหน้าสงบและจริงจัง
“เช่นนั้นก็ประเสริฐมาก โปรดชี้แนะข้าด้วย” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าไม่คู่ควรที่จะชี้แนะเจ้า มันเป็นเพียงการประลองเท่านั้น” ขณะที่พูด เขาก็เหินขึ้นไปบนสนามประลอง จากนั้นก็ยืนตัวตรงดุจหอก ร่างกายแผ่กลิ่นอายดุร้ายและเต็มไปด้วยจิตสังหารอันหนาแน่นจนเกือบจะเป็นจับต้องได้ มันกระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ ทำให้ฝูงชนเดาะลิ้นด้วยความชื่นชม
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีก็ไม่ลังเลที่จะเดินขึ้นไปบนสนามประลองทันที และเผชิญหน้ากับเหลียงคุน ก่อนจะยกมือขึ้นและพูดว่า “โปรดชี้แนะด้วย”
เคร้ง!
เหลียงคุนชักดาบสีขาวราวหิมะออกมา จากนั้นก็ยกมันขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ
ในช่วงเวลาต่อมา กลิ่นอายอันน่าประทับใจก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ดาบในมือส่งเสียงพึมพำราวกับคลื่นลมพายุ อบอวลไปด้วยกลิ่นอายที่ดุดัน และเกรี้ยวกราด
สีหน้าของเฉินซียังคงสงบและสำรวม ในขณะที่เขาคิดในใจ ‘ความแข็งแกร่งของเหลียงคุนอาจเหนือกว่าอินหว่านซวินเล็กน้อย’
ปัง!
ในชั่วพริบตาต่อมา เหลียงคุนฟันดาบลงมา กระบวนท่าดาบเป็นดั่งพายุหิมะที่โหมกระหน่ำ อีกทั้งยังมีกลิ่นอายอันทรงพลังที่น่าสะพรึงกลัวและรุนแรง มันส่งเสียงโครมครามขณะทะลุผ่านท้องฟ้าเข้ามา
ฉากที่อยู่เบื้องหน้า ไม่ต่างจากพายุหิมะพัดถล่มภูเขา หรือกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก มันทรงพลังและรุนแรง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีก็หยิบยันต์ศัสตราออกมา จากนั้นก็ยกมันขึ้นเพื่อตั้งท่าป้องกันในแนวนอน ด้วยการตวัดเบา ๆ ก็สามารถปัดป้องกระบวนท่าของเหลียงคุนได้ การเคลื่อนไหวของเฉินซีผ่อนคลายอย่างมาก ราวกับเป็นเรื่องง่ายดาย
ดวงตาเรียวยาวของเหลียงคุนหรี่ลง ในขณะที่มีแสงเย็นวาบอยู่ภายใน การจู่โจมของเขาทำให้ตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า พลังฝีมือของเฉินซีนั้นแข็งแกร่งตามที่ข่าวลือกล่าวไว้จริง ๆ ไม่สามารถประเมินต่ำไปได้เลย
ยามนี้ เขาเริ่มให้ความสนใจกับคู่ต่อสู้คนนี้อย่างจริงจัง