”ชิงหลงกับกิเลน พวกเจ้ามุ่งหน้าไปทางทิศใต้ แล้วพยายามสู้กับเจ้าพวกปีศาจโง่เง่านั่นอย่างสุดความสามารถซะ แสดงให้พวกมันเห็นเหมือนเวลาที่ข้าอยู่ที่นี่” หลังจากพูดจบ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ถอดถุงมือทิ้งลงข้างตัว จากนั้นจึงยิ้มให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย ”ไม่มีใครเคยเอาชนะข้าเรื่องการฆ่าฟันได้ ถ้าดอกไม้เน่าๆ ดอกนั้นคิดจะขโมยสถานะของเจ้าไป เช่นนั้นนางก็ต้องขออนุญาตจากข้าเสียก่อน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตระหนักได้ว่าองค์ชายไม่เคยเรียกหนีเฟิ่งด้วยคำอื่นเลย หืม... เขาเรียกนางว่าดอกไม้เน่าหรือ…
”พวกเราจะมุ่งไปทางเหนือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนสายตาขึ้นมองจูเก่ออวิ๋น แล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ”เอาสิ่งที่ห้อยอยู่บนคอเจ้าออกมาสิ”
จูเก่ออวิ๋นชะงัก ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ”ท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรขอรับ”
”เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว ข้าไม่ชอบลงมือวิวาทกับใคร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้วด้วยท่าทางรังเกียจ ”อีกอย่าง ข้าก็ไม่อยากแตะต้องมนุษย์คนอื่นนอกจากเวยเวย”
จูเก่ออวิ๋นไม่ลังเลอีกต่อไป เขาถอดสร้อยที่อยู่บนคอออก ”มันเป็นต้นโพธิ์ขอรับ เป็นสมบัติตกทอดของตระกูลจูเก่อของเรา…”
”พระสารีริกธาตุ! นั่นมันพระสารีริกธาตุนี่นา!” บุตรแห่งราชานรกรีบวิ่งเข้ามาพร้อมขวานเล่มใหญ่ ดวงตาสีแดงของเขาเป็นประกายวิบวับ ”ราชาปีศาจ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขามีพระสารีริกธาตุอยู่กับตัว”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกริมฝีปากบางขึ้นเล็กน้อย ”ข้าสังเกตเห็นมันก่อนหน้านี้แล้ว แต่ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นพระสารีริกธาตุจนกระทั่งเจ้าบอกว่าร่างจริงของใครบางคนเป็นต้นโพธิ์เน่า”
”จิ่งอู๋ซวงเป็นต้นโพธิ์ต้นเดียวบนเขาซวีหมี เทพและพระอรหันต์นับล้านๆ จะต้องเดินผ่านเขาก่อนกลายเป็นพระพุทธเจ้า เจ้าไม่เห็นต้องเรียกเขาด้วยคำว่าเน่าเลย” บุตรแห่งราชานรกเดาว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคงไม่พอใจที่มีชายคนอื่นทำเพื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยมากกว่าเขา
นิ้วของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปัดผ่านคอของเด็กชาย จากนั้นเขาจึงเอ่ยว่า ”เจ้ามีความเห็นหรือ”
”ไม่ ไม่มี!” บุตรแห่งราชานรกจับคอตัวเอง แล้วส่งสายตามองเฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้าช่วยบอกให้สามีตัวเองใจเย็นๆ หน่อยได้ไหม เอะอะก็คิดจะฆ่ากันเช่นนี้มันดีเสียที่ไหน!
เฮ่อเหลียนเวยเวยค่อยๆ จับมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วกล่าวว่า ”พระสารีริกธาตุสามารถช่วยปกปิดกลิ่นอายของท่านได้ พวกเราจะเข้าเมืองจากประตูทางทิศเหนือในขณะที่ชิงหลงกับกิเลนรักษาการณ์อยู่ที่ประตูทางทิศใต้ ท่านตั้งใจที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขาหรือ”
”ข้าตั้งใจจะฆ่าทุกคนที่วางแผนทำร้ายเจ้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนสายตาลงแล้วยิ้มออกมา ”เจ้าเป็นของข้า แต่ดูเหมือนคนพวกนี้จะมีปัญหาที่จะยอมรับความจริงข้อนี้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขา ”พลังปีศาจของท่านทะลักออกมาอีกแล้วหรือ ทำไมท่านถึงได้ดูกระหายเลือดถึงเพียงนี้ล่ะ”
”ไม่มีอะไรทำให้ข้ากระหายเลือดได้นอกจากเจ้าจะหายไป” ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลายเป็นสีแดงเข้ม ”ข้ามีอะไรจะถามเจ้า”
”อะไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโน้มตัวเข้าไปหานาง แล้วกระซิบข้างหูว่า ”ถ้าวันหนึ่งเจ้าต้องเลือกระหว่างแดนปีศาจกับพระพุทธศาสนา เจ้าจะเลือกอะไร”
”ท่านจำอะไรขึ้นมาได้แล้วหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยเสียงเบาว่า ”ข้าจำได้เพียงแค่ภาพเหตุการณ์ที่ไม่ได้สลักสำคัญอันใด ตอนที่ข้าตามหาเจ้าในสุสานหลวง มีภาพหลายภาพปรากฏขึ้นในสมองของข้า แต่อย่างไรมันก็ไม่สำคัญ เพราะสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียวคือการตัดสินใจของเจ้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยจับมือเขาต่อ พร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า ”ข้าจะเลือกแดนปีศาจ”
”เจ้าโกหก” ดวงตาสีแดงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเรืองแสงวาบราวกับเต็มไปด้วยเลือด
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไป ก่อนที่นางจะยกมือขึ้นไปบีบใบหน้าที่หล่อเหลานั้น ”ข้าจะโกหกทำไม ฟังนะ ข้าไม่สนใจหรอกว่าท่านจะคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ว่าท่านจะไปอยู่ที่ไหน ข้าก็จะตามท่านไป ท่านหน้าตาหล่อเหลาจะตายไป ทำไมถึงต้องกังวลขนาดนี้ล่ะ”
”ข้าไม่ได้กังวล” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเชิดศีรษะขึ้นอย่างอวดดี ก่อนจะดึงนางเข้ามา ”หลังจากเข้าเมืองไปแล้ว เจ้าต้องจดจำการตัดสินใจในเวลานี้ของตัวเองเอาไว้ให้ดี ไม่ว่าเจ้าจะไปไหน เจ้าจะต้องท่องว่าเจ้ารักข้าร้อยครั้ง รู้ไหมว่าเจ้านายดีๆ อย่างข้าน่ะหายากเพียงใด”
”ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือของเขาขึ้น แล้วจูบลงบนหลังมือของเขา ”ทีนี้ท่านก็ปล่อยข้าเข้าไปในเมืองได้อย่างไร้กังวลแล้วใช่หรือเปล่า”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ตอบ เขากลับจูงมือนางแล้วก้าวขายาวของตัวเองออกไปข้างหน้าเป็นการอนุญาตเฮ่อเหลียนเวยเวยไปโดยปริยาย
ทารกที่ตัวโตกว่าเอ่ยด้วยท่าทางดูถูกว่า ”เขาอยากให้นางพูดว่านางรักเขาร้อยครั้งเชียวหรือ นี่เขาต้องการให้นางสวดมนต์หรืออย่างไร เขาต้องการให้ท่านแม่ของพวกเราเอาใจเขาหรือ เขาเป็นเด็กน้อยหรือไร”
”ท่านพ่อคงนึกถึงอะไรขึ้นมาได้ และเขาคงรู้สึกกังวลใจกับมันมาก” เสียงของทารกที่ตัวเล็กกว่าฟังดูอ่อนแอมากกว่าที่เคยขณะพูดเช่นนั้น ”สิ่งที่สามาถทำให้ท่านพ่อกังวลได้คืออะไรกันแน่”
ทารกที่ตัวโตกว่าหรี่ตาคู่โตลง เขารู้ดีกว่าใครว่านอกจากการช่วยท่านแม่แล้ว ก็ไม่มีเรื่องอื่นใดจะสามารถกวนใจท่านพ่อผู้เลือดเย็นของเขาได้…
”ใจเย็นลงหรือยัง” เวลานี้หนีเฟิ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ประมุขภายในห้องประชุมของตระกูลหนี ผมสีดำยาวของนางยาวสยายอยู่ด้านหลังเสื้อคลุมของนาง รอบกายนางล้อมรอบไปด้วยบรรยากาศอันอ่อนโยน
ปราณจากซากศพของนางเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณที่แท้จริงแล้วในเวลานี้
นางอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการดูดกลืนพลัง
จะไม่มีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนใดสังเกตเห็นจุดบกพร่องของนางได้อีกต่อไป
ในขณะนี้ หนีเฟิ่งกำลังเข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบ
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต่างเชื่อในคำพูดของหนีเฟิ่งอย่างสุดหัวใจ มิหนำซ้ำยังไว้วางใจในตัวนางอีกด้วย ”เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าวางใจได้เลย พวกเขาเตรียมทุกอย่างตามที่เจ้าต้องการเอาไว้แล้ว จะไม่มีใครสามารถเข้ามาในเมืองได้ พวกเราตรวจสอบสถานการณ์ภายนอกเมืองแล้วเช่นกัน ข้างนอกนั่นมีปีศาจเต็มไปหมด ดังนั้นย่อมไม่มีใครสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้แน่ แต่ปีศาจพวกนั้นคงไม่สามารถเข้ามาในเมืองได้ง่ายๆ ดังนั้นพวกมันจะต้องวางแผนโจมตีเมืองอย่างสายฟ้าแลบ พร้อมกับสิงร่างของคนที่พวกเรารักเพื่อดึงความสนใจของพวกเราแน่ แต่ตอนนี้ เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของเราก็คือการปกป้องเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเอาไว้”
”ความมั่นใจของท่านผู้อาวุโสทำให้เฟิ่งเอ๋อร์รู้สึกสบายใจยิ่งนักเจ้าค่ะ” หนีเฟิ่งไอออกมาเล็กน้อย แล้วจึงเสริมว่า ”ข้ากลัวก็แต่ว่าวิญญาณร้ายพวกนั้นจะเล่นกับความเมตตาของพวกเราด้วยการใช้ร่างของท่านพ่อของข้า และน้องอวิ๋นมาหลอกลวงทุกคนมากกว่า นั่นต่างหากที่เป็นสิ่งที่ข้ากลัวที่สุดในเวลานี้..”
ระหว่างที่หนีเฟิ่งกำลังพูดอยู่ ศิษย์คนหนึ่งของตระกูลหนีก็รีบวิ่งเข้ามาในห้อง ”คุณหนูใหญ่ พวกข้าบังเอิญเจอผู้ขับไล่วิญญาณร้ายสองคนที่ประตูเมืองขอรับ พวกเขาบอกว่าพวกเขามีความลับที่รอการเปิดเผยอยู่”
”ความลับหรือ” หนีเฟิ่งยิ้มอย่างขมขื่น ”พวกเขาจะต้องเป็นวิญญาณร้ายที่พยายามหาโอกาสเข้ามาก่อความวุ่นวายในเมืองของพวกเราอย่างแน่นอน ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายสองคนที่ว่านี้เป็นใครหรือ ใช่น้องอวิ๋นหรือเปล่า”
ฮูหยินจูเก่อกำมือแน่นทันทีที่ได้ยินชื่อของจูเก่ออวิ๋น
ศิษย์คนนั้นส่ายหน้า ”ไม่ใช่ขอรับ พวกเขาเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอาวุโสสองคนจากเมืองของเราขอรับ พวกเขาต้องการพบผู้อาวุโสจากตระกูลใหญ่”
ทันทีที่ได้ยินคำขอนี้ หนีเฟิ่งก็ถอนหายใจ นางหลุบตาลง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาแต่จับใจว่า ”วิญญาณร้ายพวกนี้ชาญฉลาดยิ่งนัก ทันทีที่พวกมันสามารถติดต่อกับผู้อาวุโสในตระกูลใหญ่ได้ พวกมันย่อมมีโอกาสที่จะสังหารพวกเขา หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ผู้อาวุโสทุกคนจะถูกวิญญาณร้ายควบคุม และเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคงถึงคราวล่มสลายจริงๆ”
”ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเราจะมัวลังเลกันอยู่ทำไม!” หนึ่งในผู้อาวุโสผุดลุกขึ้น แล้วบอกกับศิษย์คนนั้นว่า ”เจ้าพาคนไปจับสองคนนั้นมัดเอาไว้ ใช้เชือกแดงชุบเลือดสุนัข แล้วจากนั้นก็ขังพวกเขาเอาไว้ในคุกใต้ดิน อย่าให้ใครเข้าใกล้พวกเขาได้!”