”เขาไม่ใช่คนโหดร้าย” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วขัดบุตรแห่งราชานรก ขณะมองร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ตรงหน้า ”เขาออกจะสง่างาม”
บุตรแห่งราชานรกคาบจุกนมไว้ในปากพร้อมกับหัวเราะราวกับถากถาง ”เขาดูสง่างามมากทีเดียวตอนที่ลงมือฆ่าใครสักคน”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …อับจนคำพูดที่จะโต้กลับ
”เอ่อ เรื่องที่เจ้ากังวลคงไม่เกิดขึ้นหรอก ข้าไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจ อีกอย่าง ข้าก็ไม่เคยชอบใครเท่าเขามาก่อน ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี แต่หัวใจของข้าก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง พวกเรามาถึงจวนจูเก่อแล้ว เจ้าเคาะประตูสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าให้เด็กชายเป็นคนเคาะประตูน่าจะเหมาะสมที่สุด อย่างไรตอนที่พวกเขาเข้าไปในสุสานโบราณแห่งนั้น ก็ไม่ได้มีเด็กตามเข้าไปด้วย
บุุตรแห่งราชานรกยิ้มอย่างชั่วร้าย แล้วเดินไปที่ประตูพร้อมกับขวานที่อยู่บนบ่า
ทีแรกเขาตั้งใจว่าจะแสดงออกอย่างสุภาพและอ่อนโยน เพราะท่าทางเช่นนั้นคือภาพลักษณ์อันสมบูรณ์แบบที่สุดที่เขาควรต้องรักษาไว้เมื่ออยู่ต่อหน้ามนุษย์
ช่างเป็นเด็กที่หน้าตางดงามและมีมารยาทดียิ่งนัก
ใครจะไปคิดว่าการต่อสู้กับปีศาจพวกนั้นจะง่ายเหมือนปอกกล้วยจนเขาลืมควบคุมพละกำลังของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงทิ้งรอยบุบขนาดใหญ่เอาไว้บนประตูเหล็กตอนที่เขาเคาะมัน
โครม!
ลูกศิษย์ทุกคนของตระกูลจูเก่อรีบวิ่งมาที่ประตูหน้า แน่นอนว่ารวมถึงฮูหยินจูเก่อด้วย
วันนี้เป็นวันที่เต็มไปด้วยความไม่สบายใจและความกังวลสำหรับประชาชนในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย
ฮูหยินจูเก่อมีเรื่องที่ซุกซ่อนอยู่ในใจมากกว่าใครทุกคน นางถึงขั้นคิดที่จะออกไปนอกเมืองเพื่อตามหาจูเก่ออวิ๋นเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อนางได้ยินคำแนะนำจากหนีเฟิ่งในระหว่างการประชุมวันนี้ นางก็ล้มเลิกความคิดนั้น
เพราะนางรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการฆ่าคนที่รอดมาจากสุสานโบราณแห่งนั้น
แต่ทำไมล่ะ
ฮูหยินจูเก่อพิจารณาถึงจุดประสงค์ในการทำเช่นนี้ของหนีเฟิ่ง แต่ยิ่งนางคิดถึงมันมากเท่าใด นางก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น
นางไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ของตระกูลจูเก่อเข้าร่วมการต่อสู้ เพราะนางไม่อยากให้บุตรชายของนางได้รับการต้อนรับด้วยความสิ้นหวังแทนที่จะเป็นการทักทายอันอบอุ่นเมื่อเขากลับบ้าน
แต่ท้ายที่สุดแผนการนั้นคงไม่สามารถใช้การได้อีก เวลานี้หนีเฟิ่งดูยากจะหยั่งถึง และนั่นทำให้ฮูหยินจูเก่อรู้สึกกลัว
ถ้าตระกูลจูเก่อเอาแต่ทำตัวผิดปกติ หนีเฟิ่งจะต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้น นางจะปกป้องตระกูลจูเก่อได้อย่างไร
ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้อยู่ จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากทางนอกจวน สิ่งแรกที่นางทำคือการสงบจิตใจ นางจะได้ไม่เผยพิรุธใดๆ ออกมา
”มีเรื่องอะไรหรือ” ฮูหยินจูเก่อมองเด็กตัวเล็กที่คาบจุกนมอยู่ตรงหน้า จากนั้นจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่เมื่อนางเคลื่อนสายตามองออกไป ร่างของนางก็ถึงกับสั่นสะท้าน นางกำผ้าเช็ดหน้าสีขาวในมือ แล้วเอ่ยว่า ”ดูเหมือนพวกเราจะมีแขก เจ้ามัวแต่ยืนอยู่ทำไม ผู้เฒ่าหลิว เชิญแขกเข้ามาข้างในสิ”
”ขอรับฮูหยิน” ผู้เฒ่าหลิวไม่ได้เห็นใบหน้าของแขกที่ว่านั้นอย่างชัดเจนนัก เขาก้มหน้าแล้วเชิญพวกเขาเดินผ่านประตูหน้าเข้ามา
ฮูหยินจูเก่อยังคงสงบเยือกเย็นตลอดทาง
ทันทีที่พวกเขาเข้ามาถึงห้องหนังสือ และประตูไม้ปิดลง ฮูหยินจูเก่อก็จับมือของจูเก่ออวิ๋นแน่นด้วยดวงตาแดงก่ำ ดูเหมือนนางจะจำบุตรชายสุดที่รักได้นานแล้ว
จูเก่ออวิ๋นรู้สึกได้ถึงรสชาติอันขมปร่าในลำคอ ”ท่านแม่ ข้าปลอดภัยดีขอรับ ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บระหว่างทางเพราะพี่เว่ยกับพี่เจวี๋ยช่วยเอาไว้ขอรับ”
”ตอนนี้คนทั้งเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกำลังไล่ล่าคนที่รอดชีวิตจากสุสานโบราณแห่งนั้นอยู่” ฮูหยินจูเก่อหายใจเข้าลึกๆ ”ข้ากลัวว่าเจ้าจะถูกจับไปแล้วเสียอีก แต่ดูเจ้าปลอมตัวเข้าสิ เจ้าน่าจะหลบพวกเขาได้ดี”
จูเก่ออวิ๋นยิ้ม แล้วลูบศีรษะตัวเอง ”ทั้งหมดเป็นความคิดของพี่เว่ย เขายังบอกอีกด้วยว่าท่านแม่เป็นคนเดียวในเมืองที่จะเข้าใจ”
ฮูหยินจูเก่อหันหน้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวย จากนั้นจึงคุกเข่าลงกับพื้น ”ตระกูลจูเก่อจะไม่มีวันลืมความเมตตาของท่าน แม่นางเว่ย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกไม่ถึงว่าฮูหยินจูเก่อจะแสดงความนอบน้อมต่อนางถึงเพียงนี้ นางรีบยื่นมือออกไปห้ามนางไว้ แล้วยิ้มออกมา ”ฮูหยิน ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรอก ข้าเองก็มีจุดประสงค์ของตัวเองถึงได้เข้าไปในสุสาน อีกอย่าง ข้าจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากท่านเหมือนกัน”
”แม่นางหรือ” จูเก่ออวิ๋นชะงัก ”ท่านแม่ ท่านหมายความว่าพี่เว่ย เขา เดี๋ยวสิ นาง นาง…”
”เด็กโง่ มาถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังมองไม่ออกอีกหรือ” ฮูหยินจูเก่อส่ายหน้าพร้อมหัวเราะน้อยๆ ”ช่างหัวช้าเสียจริงเจ้าไม่สังเกตหรือว่าตลอดทางที่ผ่านมาพี่เจวี๋ยของเจ้าเป็นห่วงแม่นางเว่ยมากเพียงใด”
จูเก่ออวิ๋นอ้าปากค้าง ”ข้าคิดว่าพวกเขาเป็นพวกต้วนซิ่วขอรับ”
ฮูหยินจูเก่อไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้หลังจากได้ยินคำตอบของบุตรชายดี
ตรงกันข้ามกับผู้เฒ่าหลี่ที่เพิ่งรู้ตัวตนของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาดูตกใจยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ”น้องเว่ยเป็นผู้หญิงหรือ”
”ใช่” เฮ่อเหลียนเวยเวยจัดชุดของตัวเอง นางรู้ว่าผู้เฒ่าหลี่ตกใจเรื่องอะไร แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป นางหันกลับไปสบตากับฮูหยินจูเก่อแทน ”ข้าต้องไปที่ตระกูลหนีเพื่อตามหาของบางอย่าง หวังว่าฮูหยินจูเก่อจะสามารถช่วยข้าได้”
”เจ้าต้องการไปที่ตระกูลหนีในเวลานี้หรือ” ฮูหยินจูเก่อมีสีหน้ากังวล ”เวลานี้ที่ตระกูลหนีอันตรายเกินไป”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ”ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วง จะมีคนดึงความสนใจของหนีเฟิ่งให้เรา ในไม่ช้าประตูทางทิศใต้จะถูกโจมตี ดังนั้นนางจะต้องเพ่งความสนใจทั้งหมดของนางให้กับเรื่องนั้นแน่”
”แต่ข้าไม่เคยเห็นหนีเฟิ่งออกจากตระกูลหนีมาก่อน ต่อให้มีคนโจมตีเมือง แต่นางก็น่าจะปล่อยให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเป็นคนรับมือกับเรื่องนั้น” ฮูหยินจูเก่อวิเคราะห์
เฮ่อเหลียนเวยเวยเก็บพระสารีริกธาตุ ก่อนที่สายตาของนางจะไปหยุดลงที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”ครั้งนี้นางจะต้องไปที่นั่นแน่ เพราะนางอยากเจอใครบางคนจากใจจริง” นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายคนนี้บอกให้ชิงหลงและกิเลนอัคคีประจำการณ์อยู่ที่ประตูทางทิศใต้ มันเป็นเพียงกับดักเท่านั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองมาที่นางด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง แม้อันที่จริงเขาจะรู้สึกพอใจอยู่เล็กน้อยก็ตาม เขาดึงนางเข้ามากอด แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า ”เจ้าหึงหรือ อย่าหึงไปเลย ทันทีที่นางได้เห็นข้า ชีวิตของนางก็จะจบลงเช่นกัน”
บุตรแห่งราชานรกแนะนำต่อว่า ”ที่จริงเจ้าใช้แค่ความงามของตัวเองเป็นเหยื่อล่อก็ยังได้ แค่นอนนิ่งๆ แล้วปล่อยให้คุณหนูหนีหาเศษหาเลยจากเจ้าสักนิด จากนั้นนางย่อมไม่มีกะจิตกะใจไปคิดถึงกระจกวิเศษอันนั้นอีกเป็นแน่”
”ปีศาจน้อย เจ้าควรหุบปากไปซะก่อนที่ข้าจะฆ่าเจ้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกบุตรแห่งราชานรกขึ้น แล้วโยนเขาออกไปนอกประตูเหมือนกับโยนแมลงวันตัวหนึ่ง
บุตรแห่งราชานรกไม่ใส่ใจ และดึงตัวเองออกมาจากผนังอีกครั้ง จากนั้นจึงพูดกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทั้งที่ยังมีขวานอยู่บนบ่าว่า ”หนีเฟิ่งจะต้องให้จิ่งอู๋ซวงไปที่ประตูทางทิศใต้ด้วยตัวเองเพื่อรับมือกับเจ้าอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นชิงหลงหรือกิเลนอัคคีก็อาจจะยื้อเขาไว้ได้ไม่นานนัก ดังนั้นจึงต้องมีใครสักคนไปอยู่ที่ประตูทางทิศใต้แห่งนั้นด้วย”
”เราก็ยังมีเจ้าอยู่มิใช่หรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาอย่างเฉยชา
บุตรแห่งราชานรกขมวดคิ้ว ”ยมโลกไม่สามารถแทรกแซงเรื่องในโลกมนุษย์ได้ นี่เป็นกฎ”
”เจ้าไม่อยากช่วยรักแท้ของเจ้าหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเยาะยิ้ม
บุตรแห่งราชานรกกัดจุกนมอย่างแรงเมื่อเขาได้ยินประโยคนั้น ”เจ้าเริ่มวางแผนการชีวิตให้ข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
”มีเพียงราชานรกเท่านั้นที่จะสามารถจุดเปลวไฟนรกได้” มีแสงวาบขึ้นในดวงตาลึกล้ำของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”วิญญาณดวงนั้นเป็นของยมโลก แต่เกิดจากภพภูมิทั้งหก คนที่สร้างความวุ่นวายให้กับวิญญาณร้ายในยมโลกก็คือเจ้ามิใช่หรือ”
บุตรแห่งราชานรกดึงจุกนมหลอกออกจากปาก ดวงตาของเขาหรี่ลงมากกว่าเดิม ”เจ้าใช้เทวจิตหรือ เจ้ายังมีมันอยู่กับตัวด้วยหรือ ทั้งโลกคิดว่าเจ้าสูญเสียเทวจิตไปตั้งนานแล้วเสียอีก! ทำไมเจ้าถึงยังมีมันอยู่ทั้งที่เจ้าตกลงมาจากสวรรค์แล้วล่ะ”