”แน่นอน เพราะข้าซ่อนมันเอาไว้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกริมฝีปากบางของตัวเองขึ้น เขาไม่ได้ทำอะไร แต่ขนนกสีดำของเขากลับเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความชั่วร้าย
สิ่งเดียวที่บุตรแห่งราชานรกมองเห็นมีแต่อันตรายที่สามารถกลืนกินโลกใบนี้ได้ทั้งใบ เขาใช้แขนกอดขาของเฮ่อเหลียนเวยเวยไว้ แต่ด้วยความสูงของเขาจึงทำให้เขาคว้าได้เพียงต้นขาของนางเท่านั้น จากนั้นจึงกระซิบกับนางอีกครั้งว่า ”ฟังข้าให้ดี อย่าเปลี่ยนใจเด็ดขาด ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจ ไม่ใช่แค่มนุษย์ที่จะต้องทนกับความยากลำบากนี้ แต่ผู้คนจากภพภูมิทั้งหกย่อมไม่อาจหลีกหนีมันได้เช่นกัน ชายคนนี้ยังมีเทวจิตอยู่กับตัวทั้งที่ทั่วร่างของเขากลับเต็มไปด้วยพลังปีศาจ! บัดซบ เขาเล่นละครเก่งชะมัดยาด!”
”ทำไมเจ้าถึงเอาแต่คิดว่าข้าจะเปลี่ยนใจล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยอุ้มเขาขึ้น แล้วกัดหูเขา ”ข้าดูเชื่อใจไม่ได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
บุตรแห่งราชานรกทำหน้าเครียด ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคนว่า ”เปล่าเลย เจ้าเชื่อใจได้ ปัญหาส่วนใหญ่เป็นเพราะข้าไม่เชื่อในนิสัยของราชาปีศาจต่างหาก ใครจะไปรู้ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยทำอะไรลงไปบ้าง อีกทั้งตอนนี้เขาก็ยังมีเทวจิตอยู่กับตัวด้วย เจ้ารู้หรือเปล่าว่าทั้งหมดที่ว่ามานี้หมายความว่าอย่างไร มันหมายความว่าเขาสามารถไปยังภพภูมิทั้งหกได้ทุกเมื่อ ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อครู่นี้เขาบอกว่าต่อให้จะไม่มีความทรงจำของเจ้า แต่เขาก็สามารถทำลายดอกบัวทองคำที่อยู่หน้าพระอรหันต์ได้ ข้าคิดว่าเขาเพียงแค่พูดวางท่าไปอย่างนั้น แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าเขาพูดความจริง ถ้าเขายังมีเทวจิตอยู่เช่นนี้ เขาย่อมสามารถสังหารทุกสิ่งในพุทธศาสนาได้อย่างไม่มีปัญหา”
”แต่เพื่อยับยั้งไม่ให้เส้นทางแห่งการเกิดใหม่ถูกบิดเบือน ข้าจำเป็นต้องนำความทรงจำของตัวเองกลับมามิใช่หรือ” ไม่อย่างนั้นองค์ชายอาจจะก่อสงครามโดยไม่พูดอะไรสักคำเลยก็เป็นได้
บุตรแห่งราชานรกเห็นด้วย แล้วพูดเสียงเบาว่า ”หนทางเดียวที่จะสามารถยับยั้งไม่ให้เส้นทางแห่งการเกิดใหม่ถูกบิดเบือนได้ก็คือการพาหงส์เพลิงแห่งธรรมะกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง”
”ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ามุ่งหน้าไปที่ประตูทางทิศใต้ก่อนก็แล้วกัน ข้าจะจัดการเรื่องในเมืองเอง” เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเด็กชายออกไป
ฮูหยินจูเก่อไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่เมื่อเห็นเด็กชายตัวน้อยที่ยังมีจุกนมอยู่ในปากบอกว่าเขาจะเป็นคนโจมตีเมือง นางก็รู้สึกยากจะทำใจให้เชื่อได้
เขายังเด็กอยู่เลยมิใช่หรือ เขาจะสามารถทำเช่นนั้นได้จริงๆ หรือ
”แม่นางเว่ย ข้าส่งคนของเราสักสองสามคนร่วมทางไปกับนายน้อยท่านนี้ดีหรือไม่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ”ไม่จำเป็น ศิษย์ของตระกูลจูเก่อไม่ควรเข้าร่วมการโจมตีในเวลานี้ สถานการณ์ภายนอกตึงเครียดเกินไป และพวกเขาจะถูกสังเกตเห็นทันทีที่ออกไปข้างนอกนั่น แต่พวกเขาจะอยู่แต่ในจวนก็ไม่ได้เหมือนกัน ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนกำลังคุ้มกันเมืองนี้อยู่ ดังนั้นถ้าลูกศิษย์ของตระกูลจูเก่อยังเอาแต่อยู่ในจวน สุดท้ายทุกคนคงได้ค้นพบเรื่องนี้เข้าเหมือนกัน ฮูหยินจูเก่อ พวกเราจำเป็นต้องให้ท่านช่วยออกคำสั่งให้ลูกศิษย์ทุกคนออกจากจวนไปคุ้มกันเมือง และถ้าจำเป็นก็ให้พวกเขาแสร้งทำเป็นจับกุมผู้รอดชีวิตจากสุสานหลวงเอาไว้ด้วย ตระกูลจูเก่อควรปฏิบัติตามผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ”
”ไม่มีปัญหา ข้าจะจัดการให้เจ้าเดี๋ยวนี้” ฮูหยินจูเก่อมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาชื่นชม แม้กระทั่งเรื่องนี้นางก็คิดเอาไว้แล้ว ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาสามารถกลับมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย ผู้หญิงคนนี้ฉลาดกว่าที่นางคิดเอาไว้เสียอีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันไปมองพวกจูเก่ออวิ๋น ”หนีเฟิ่งจะต้องส่งใครสักคนมาตรวจสอบเรื่องที่ตระกูลจูเก่อมีคนมาเยี่ยมเยือนอย่างกะทันหันแน่ พวกเจ้าควรพยายามถ่วงเวลาพวกเขาไว้ให้ได้มากที่สุด ถึงพวกเขาจะรู้เรื่องนี้เข้าก็อย่าได้แตกตื่น ทำตัวให้เป็นปกติเข้าไว้ แต่อย่าบอกพวกเขาเด็ดขาดว่าข้ามีพระสรีระ ให้หนีเฟิ่งเข้าใจว่าข้าตายไปแล้ว ตอนนี้นางก็น่าจะคิดเช่นนั้นอยู่ ดังนั้นเจ้าจะปลอดภัยหากไม่พูดถึงมัน”
ไม่มีใครคัดค้าน ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกต่างพยักหน้าตกลง หลังจากใช้เวลาร่วมกันมาได้ระยะหนึ่ง ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนก็รู้ว่าทุกสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยทำล้วนแต่มีเหตุผลอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
หลังจากนางจัดการทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อย เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงหันไปสบตากับฮูหยินจูเก่ออีกครั้ง ”ฮูหยิน ข้ากับสหายต้องเปลี่ยนชุด ข้ารับใช้ของท่านแต่งกายเช่นใดพวกข้าก็จะแต่งเช่นนั้น”
เมื่อฮูหยินจูเก่อได้ยินที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูด นางก็หันไปสั่งกับข้ารับใช้สองคนของตัวเอง แล้วบอกให้พวกเขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก
ทีแรกผู้เฒ่าหลี่คิดจะถามอะไร แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ถามเมื่อเห็นว่าคนคนนั้นดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องนี้
แต่จูเก่ออวิ๋นกลับไม่สามารถทนเงียบอยู่ได้ ”พี่เว่ย ไม่สิ ข้าหมายถึงแม่นางเว่ย ท่านบอกพวกเราได้หรือไม่ขอรับว่าท่านเป็นใครกันแน่ ทำไมท่านถึงได้มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ มันเป็นเพราะพระสรีระหรือ ทำไมท่านถึงได้รู้เรื่องของพระชายาดีถึงเพียงนี้ ทำไมครั้งแรกตอนที่ท่านมาถึงเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ท่านถึงยืนกรานว่าหนีเฟิ่งเป็นตัวปลอมล่ะขอรับ แล้วท่านเดาได้อย่างไรว่าจะเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น”
”มันไม่ใช่การคาดเดา” เฮ่อเหลียนเวยเวยสวมเสื้อคลุมตัวนอก ก่อนคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางพับเสื้อขึ้นพร้อมกับเอ่ยว่า ”เพราะข้าเป็นพระชายาน่ะสิ ข้าก็เลยรู้ว่านางเป็นตัวปลอม”
เพล้ง!
คำพูดเพียงไม่กี่คำนั้นทำเอาถ้วยชาในมือของผู้เฒ่าหลี่ร่วงลงพื้นจนเกิดเสียงดังลั่น
เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อยทั้งที่โดนน้ำร้อนกระเด็นไปทั่วหน้า เขารู้สึกเพียงว่ามุมมองทั้งสาม และประสาทสัมผัสทั้งหกของเขาหายไปจนหมดสิ้น
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ นิ่งเป็นหุ่นกระบอก แม้กระทั่งลมหายใจของพวกเขาก็ดูเหมือนจะช้าลง
ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ”พี่เว่ย ข้า ข้าได้ยินไม่ชัด เมื่อครู่นี้ท่านพูดว่าอะไรนะขอรับ”
ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็แต่งตัวเสร็จ นางมองไปที่จูเก่ออวิ๋น น้ำเสียงของนางติดจะขำ ”ทำไมหรือ นี่คือท่าทางของเจ้าตอนที่ได้เจอผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ตัวเองชื่นชมที่สุดหรือ”
”ท่าน ท่านเป็นพระชายาจริงๆ หรือขอรับ?! ทำไมก่อนหน้านี้ท่านไม่บอกข้าล่ะ! ข้าหมายความว่า..” จูเก่ออวิ๋นตกใจจนเขาเริ่มพูดจาไม่รู้เรื่อง แม้เขาจะไม่สามารถหยุดทึ้งผมตัวเองได้ แต่ดวงตาของเขาก็สว่างไสวยิ่งกว่าครั้งใด
ผู้เฒ่าหลี่รอคอยคำยืนยันสุดท้ายจากนางมาโดยตลอด
ไม่ต้องพูดถึงบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่อยู่ข้างๆ นิ้วของพวกเขาสั่นด้วยความตื่นเต้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยกดคอเสื้อของตัวเองลง แล้วตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า ”อ๋อ ก็ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยถาม ข้าก็เลยไม่ได้บอก”
จูเก่ออวิ๋นน้ำตาไหลพราก นางหมายความว่าถ้าเขาไม่ถาม นางก็จะไม่บอกเขาหรือ นางควรบอกเรื่องนี้กับเขาตามตรงสิ!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่เขาชื่นชมที่สุดอยู่กับเขามาตลอด!
ก่อนออกเดินทาง เขาถึงกับให้สัจจะสาบานอย่างจริงจังว่าเขาจะปกป้องนางอีกด้วย
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ก็คิดเหมือนจูเก่ออวิ๋น ถ้าพวกเขารู้ว่านางเป็นพระชายา พวกเขา… พวกเขาคง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองสีหน้าของทุกคน แล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง ”ต่อให้ข้าพูดเช่นนั้นออกไป แต่ก็คงไม่มีใครเชื่ออยู่ดี อย่าลืมว่าข้าเพิ่งได้พลังวิญญาณของตัวเองกลับคืนมา ตอนที่ข้าเข้ามาในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ข้าไม่มีพลังวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นมันจึงไม่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด อีกอย่างหนึ่ง ทุกคนก็ดูมั่นใจยิ่งนักว่าหนีเฟิ่งเป็นพระชายาที่มาเกิดใหม่ ไม่ว่าข้าจะพูดอะไรก็คงไร้ผล ทุกคำพูดของข้าคงเป็นเพียงแค่คำโกหก ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจที่จะไม่พูดถึงมัน”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายชะงักไป พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธได้หากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นมาก่อน
พวกเขาจะเชื่อคำพูดของนางหรือเปล่า
คำตอบคือไม่
เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความเชื่อที่ว่าหนีเฟิ่งคือพระชายาได้หยั่งรากลึกลงไปในหัวใจของผู้คนทั่วทั้งเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พวกเขามองข้ามตำแหน่งที่แท้จริงของพระชายาที่พระภิกษุชื่อดังท่านนั้นเคยทำนายเอาไว้
เมื่อห้าร้อยปีก่อน พระชายาเคยมาเกิดใหม่ในตระกูลหนี ดังนั้นครั้งนี้มันก็ควรที่จะเป็นเช่นนั้น
พวกเขาเชื่ออย่างนั้นมานานหลายปี
ในเวลานี้ ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต่างก็ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของตัวเองออกมาเป็นคำพูดได้
ผู้เฒ่าหลี่นั่งปักหลักอยู่กับพื้น เขายังคงมีสีหน้าสับสน
ความเสียดายอันไม่เคยมีมาก่อนแล่นเข้ามาในใจของเขา
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสิ่งที่ตัวเองพูดเพื่อให้หนีเฟิ่งพ้นผิดตอนอยู่ในสุสานหลวงขึ้นมาได้
นางเป็นผู้มีพระคุณของเขา แต่เขากลับเข้าใจนางผิด ช่างเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงยิ่งนัก!