หงส์เพลิงนั่งไขว่ห้างพลางนวดขมับตัวเอง เสื้อคลุมเปื้อนเลือดของนางลากไปกับพื้น ผมสีดำอันอ่อนนุ่มยาวสยายอยู่ข้างหลัง นางลุกขึ้นยืนท่ามกลางกลิ่นหอมของไม้จันทน์
สามเณรน้อยยืนอยู่ตรงหน้านาง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า ”อรหันต์หงส์เพลิงขอรับ ท่านเป็นคนดุร้ายจริงๆ นะขอรับ” ดังนั้น ท่านควรกระตือรือร้นให้น้อยลงกว่านี้ขอรับ ท่านควรเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้เพราะมันเป็นสิ่งจำเป็นในการหยุดเสียงซุบซิบนินทาและความวุ่นวายนี้ และที่สำคัญที่สุด ถ้าท่านปฏิเสธที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยง มันจะดูเหมือนท่านกำลังเสียมารยาทต่อภพสวรรค์นะขอรับ ถ้าท่านทำให้พระอรหันต์ไม่พอใจ ท่านจะถูกลงโทษและสั่งให้ท่องพระสูตรอีก
ท่านคิดว่าตัวเองเชี่ยวชาญการท่องพระสูตรจริงหรือขอรับ
ทำไมท่านต้องบังคับให้สามเณรน้อยมาฟังท่านทุกครั้งที่ท่องพระสูตรด้วยหรือ
ท่านช่วยคิดถึงหัวจิตหัวใจของพวกเขาให้มากกว่านี้ได้หรือเปล่า
พวกเขาอยู่ระหว่างหนทางสู่การเป็นพระอรหันต์!
พวกเขากำลังจะได้เป็นพระอรหันต์ขอรับ!
พวกเขากำลังจะได้เป็นถึงพระอรหันต์เชียวนะขอรับ!
นี่เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นจึงต้องย้ำให้ชัดสักสามครั้ง!
”ข้าไปร่วมงานเลี้ยงก็ได้” หงส์เพลิงมองสามเณรน้อยที่แสร้งทำเป็นเยือกเย็น แต่ในความเป็นจริงนั้นในใจกลับอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย จากนั้น นางจึงเยาะขึ้นก่อนจะเอ่ยต่อว่า ”ลดโทษกักบริเวณข้าลงสักสองวันสิ”
สามเณรน้อยส่ายหน้า ”พวกข้าทำตามคำสั่งของพระอรหันต์ขอรับ”
”ข้าเกลียดการถูกกักบริเวณ” น้ำเสียงของหงส์เพลิงเต็มไปด้วยความขมขื่น
สามเณรน้อยพึมพำว่าอมิตาพุทธ ก่อนจะอธิบายว่า ”เพราะอย่างนั้นพระอรหันต์ถึงได้สั่งให้พวกข้าจับตาดูท่านอย่างไรล่ะขอรับ ทำไมท่านถึงไม่ยอมเล่าให้พวกข้าฟังล่ะว่าเกิดอะไรขึ้นในแดนปีศาจกันแน่ ทำไมท่านถึงไม่ยอมอธิบายว่าท่านได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร หรือบรรยายลักษณะของคนที่ท่านพบที่นั่นให้พวกข้าฟังแม้แต่นิดเดียว การที่พระอรหันต์สั่งกักบริเวณท่านสามวันเช่นนี้ก็สมเหตุสมผลแล้วมิใช่หรือ แต่ท่านกลับต้องการให้เราลดโทษลงสองวัน ท่านนี่ไม่รู้จักพอจริงๆ พระอรหันต์ตรัสว่า…”
”พระอรหันต์ตรัสว่าอะไรหรือ” หงส์เพลิงยืนขึ้น ก่อนจะใช้นิ้วสางผมยาวของตัวเอง ”เจ้าเองก็มีศักยภาพพอที่จะเป็นพระอรหันต์ได้”
ดวงตาของสามเณรน้อยเบิกกว้างขณะเอ่ยถามอย่างมีความหวังว่า ”จริงหรือขอรับ”
”จริงแท้แน่นอน ถ้าไม่ให้คนพูดมากอย่างเจ้ามาท่องพระสูตรละก็คงเสียของน่าดู” หงส์เพลิงยื่นมือออกไปลูบศีรษะโล้นๆ ของสามเณรน้อยเบาๆ ”เอาล่ะ ข้าจะเข้าร่วมงานเลี้ยง แต่ก่อนอื่น เจ้าต้องนำน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าหยิบมาจากภพสวรรค์มาให้ข้าก่อน”
สามเณรน้อยหน้าตาน่ารักน่าชังพยักหน้าก่อนจะถามขึ้นอีกครั้งว่า ”ท่านจะรดน้ำต้นไม้หรือขอรับ การใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์มารดต้นโพธิ์เพียงต้นเดียวมันจะไม่เป็นการฟุ่มเฟือยเกินไปหรือ ข้าได้ยินมาว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์จากภพสวรรค์ควรใช้รดดอกบัวทองคำนี่ขอรับ ต่อให้ไม่มีน้ำ ต้นโพธิ์ต้นนั้นก็ยังอยู่ได้ ยิ่งกว่านั้น มีคนบอกข้าว่าดอกบัวทองคำเพิ่งได้ร่างมนุษย์มาเมื่อวานนี้นี่เอง นางบำเพ็ญเพียรสำเร็จจนได้กลายเป็นพระอรหันต์ นางจะเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้เช่นกันขอรับ”
”พระพุทธศาสนาคิดจะล่อลวงเทพองค์นั้นด้วยสาวงามหรือ” หงส์เพลิงประสานมือไว้หลังศีรษะ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างไม่แยแสราวกับว่านางไม่สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
สามเณรน้อยเดินตามหลังนางอย่างว่าง่าย ”ไม่จริงหรอกขอรับ ผู้เฒ่าจันทราเคยกล่าวเอาไว้ว่าบนโลกมนุษย์มีสิ่งที่เรียกความรักอยู่ และมันเป็นสิ่งที่วิเศษยิ่งนัก”
”เจ้าควรบอกให้ผู้เฒ่าจันทรารู้นะว่านี่เป็นการนัดบอดในโลกมนุษย์ชัดๆ” หงส์เพลิงรับน้ำศักดิ์สิทธิ์มาจากสามเณรน้อย ก่อนจะกระตุกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย ”ให้ผู้ชายมากินข้าวกับผู้หญิง หากพวกเขามีความสนใจตรงกัน ก็จะถูกส่งตัวไปที่ห้องส่วนตัวทันที เจ้าเข้าใจที่ข้าว่ามาหรือเปล่า”
สามเณรน้อยมีสีหน้าสับสน ”แล้ว… จากนั้นก็…”
”ช่างเถอะ อย่างไรเจ้าก็ยังเด็กเกินไปที่จะเข้าร่วมการนัดบอดนี้อยู่ดี…”
แต่หงส์เพลิงไม่รู้ตัวเลยว่าในขณะที่นางกำลังพูดอยู่นั้น มีคนคนหนึ่งกำลังเฝ้ามองนางอยู่
นางบังเอิญได้ยินสิ่งที่คนอื่นคุยกัน
ดังนั้นย่อมมีใครบางคนแอบฟังนางอยู่เช่นกัน
”ท่านเทพขอรับ…” สามเณรที่เป็นผู้นำทางยิ้มให้เขาอย่างประหม่า เขารู้นิสัยใจคอของอรหันต์หงส์เพลิงผู้นี้ และคำพูดตรงไปตรงมาของนางเป็นอย่างดีมาโดยตลอด แต่นางไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนเท่าใดนัก ดังนั้นนางจึงยังไม่ได้สร้างปัญหาอันใดมาจนถึงตอนนี้
จากนั้น… สามเณรจึงเคลื่อนสายตาขึ้นมองไปยังเทพที่อมยิ้มอยู่ตรงหน้า ก่อนจะอธิบายอย่างหวั่นๆ ว่า ”ท่านเทพขอรับ โปรดอย่าได้เข้าใจผิดเลย”
”เข้าใจผิดหรือ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น เสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์ที่เขาสวมอยู่ราวกับถูกถักทอขึ้นมาจากกลีบดอกไม้หลายพันชั้น ผมยาวของเขายาวสยายและทิ้งตัวลงบนเสื้อคลุมตัวนั้นอย่างสง่างามเหมือนน้ำตก ภาพภาพนี้งดงามราวกับดอกบัวที่บานสะพรั่งอยู่เงียบๆ บนผืนน้ำอันเงียบสงบยามค่ำคืน ”เรื่องอันใดหรือที่เจ้าบอกว่าเป็นความเข้าใจผิด เรื่องที่พระพุทธศาสนาตั้งใจจะมอบสตรีเป็นของขวัญให้กับข้าหรือ พวกเขาตั้งใจจะจับคู่ข้ากับสตรีนางนั้นหรือ”
จู่ๆ สามเณรก็ทำอะไรไม่ถูก เขาไม่เคยอยากได้รู้เห็นเรื่องการจับคู่อะไรนี่เลย!
”ไปกันเถอะ ข้าสงสัยว่าคนในพระพุทธศาสนาที่งานเลี้ยงจะว่าอย่างไร” ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง เขายังมีบรรยากาศกระหายเลือดจากการกลับมาจากขุมนรกของภพภูมิทั้งหกอยู่
สามเณรไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียวขณะมองชายคนนั้นอย่างเงียบๆ จากทางด้านหลัง ประกายแสงจำนวนนับไม่ถ้วนเต้นรำไปรอบกายของชายหนุ่ม ก่อนสุดท้ายจะกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งอันงดงาม ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าทุกอย่างกำลังจะพังทลายลงมาทับร่างของเขา
ไม่มีใครสามารถใช้เทวจิตในดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาได้
”ท่านเทพ ขอร้องล่ะขอรับ” สามเณรก้มศีรษะลงพลางใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก
เขาคิดกับตัวเองว่า จะเกิดอะไรขึ้นตอนที่พวกเขาได้พบกันที่งานเลี้ยง
พวกเขาเป็นตัวแทนของภพสวรรค์และพระพุทธศาสนา แต่ทั้งสองกลับไม่ถูกชะตากันมาแต่ไหนแต่ไร
ถ้าพวกเขาลงมือสู้กันทันทีที่เห็นอีกฝ่ายละก็…
สามเณรกลัวจนไม่กล้านึกถึงภาพนั้น เขาเดินต่ออย่างเงียบๆ แต่ก็อดจะหันกลับไปมองที่ต้นโพธิ์ต้นนั้นไม่ได้
หงส์เพลิงกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ นางได้กลายเป็นพระอรหันต์เพราะนางช่วยเหลือวิญญาณนับหมื่นดวงให้พ้นทุกข์ และสังหารปีศาจไปนับไม่ถ้วน
ด้วยเหตุนี้บรรดาพระอรหันต์รูปอื่นๆ จึงไม่ค่อยเอ่ยปากพูดคุยกับหงส์เพลิงมากนัก อีกทั้งยังไม่มีความกล้าพอที่จะนินทานางต่อหน้าอีกด้วย แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครในพระพุทธศาสนาที่จะกล้าท้าทายนางซึ่งๆ หน้า
หงส์เพลิงอยู่ลำพังมาตั้งแต่นางยังเล็ก ไม่มีสหายเลยแม้แต่คนเดียว ทุกๆ วัน นางจะนั่งคุกเข่าสวดพระสูตรอยู่หน้าพระพุทธองค์ หากไม่ได้ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจ โดยปกติแล้วก็นับว่านางเป็นคนเงียบมากทีเดียว
นอกจากพูดคุยกับสามเณรน้อยแล้ว นางก็จะนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์เพื่ออ่านพระไตรปิฎกและรดน้ำต้นไม้เท่านั้น
แต่ก็อย่างที่ทุกคนว่า น้ำศักด์สิทธิ์ไม่ควรถูกนางใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้
เวลาที่ได้ยินคนพูดเช่นนี้ หงส์เพลิงในวัยเด็กจะเอนตัวพิงต้นโพธิ์แล้วยิ้มออกมา ”ข้าไม่ได้ใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์ไปอย่างเปล่าประโยชน์เสียหน่อย แม้ว่าพวกมันจะสวยงาม แต่ดอกบัวสีทองพวกนั้นก็มีให้เห็นได้ทั่วไป ในขณะที่เจ้าเป็นต้นโพธิ์เพียงต้นเดียวบนภูเขาแห่งนี้”
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้นโพธิ์ต้นนี้ได้รับนามของตนมานามนั้นคือจิ่งอู๋ซวง
จากนั้นเป็นต้นมา หงส์เพลิงก็เริ่มรดน้ำและดูแลต้นโพธิ์ต้นนี้อย่างไม่ลดละ
เวลานี้ แม้หงส์เพลิงจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ต้นโพธิ์ต้นนั้นก็ยังไม่ได้รับญาณทั้งหก ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงการกลายร่างเป็นมนุษย์แต่อย่างใด
”อรหันต์หงส์เพลิง ข้าได้ยินมาจากสมเด็จว่าต้นโพธิ์ต้นนี้จะไม่มีวันกลายร่างเป็นมนุษย์ได้นี่ขอรับ” สามเณรน้อยหอบโถน้ำไว้ในอ้อมแขนพลางพูดต่อ ”ต่อให้ท่านจะใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์รดมันเพียงใด แต่มันก็เป็นได้แค่พืชขอรับ”
หงส์เพลิงยิ้มพร้อมกับยืดตัวขึ้น ”การจะบอกว่าเขาไม่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้นั้นก็ใช่ว่าจะถูกต้องไปเสียทีเดียว เขาช่วยเหลือให้คนอื่นๆ ได้เป็นพระอรหันต์มาโดยตลอด ดังนั้นเขาจะต้องได้รับผลบุญจากการกระทำนี้แน่”
”เดี๋ยวก่อนนะขอรับ อรหันต์หงส์เพลิงตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเองหรือ” สามเณรน้อยใช้ดวงตากลมโตจ้องมองหงส์เพลิง ท่าทางของเขาดูเหมือนกับลูกสัตว์ตัวเล็กน่ารักไม่มีผิด
หงส์เพลิงเลิกคิ้วขณะตอบว่า ”อู๋ซวงของข้าก็จะกลายร่างเป็นมนุษย์ได้อย่างแน่นอน จากนั้นก็จะได้กลายเป็นพระอรหันต์ อย่างไรน้ำศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ก็เป็นของข้า ต่อให้ข้าจะใช้มันอย่างไรก็ไม่มีใครว่าหรอก ใครที่อยากได้น้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ต้องไปสู้กับภพสวรรค์ ถ้าชนะถึงจะได้น้ำศักดิ์สิทธิ์กลับมา”
”ท่านแข็งแกร่งเกินไปต่างหากล่ะขอรับ ใช่ว่าทุกคนจะชื่นชอบการต่อสู้เสียเมื่อไหร่” สามเณรน้อยวิ่งเหยาะๆ ตามหลังหงส์เพลิงพร้อมกับถือพระไตรปิฎกไปด้วย ”อรหันต์หงส์เพลิงขอรับ ได้โปรดจำเอาไว้ด้วยนะขอรับว่าตอนที่ท่านอยู่ในงานเลี้ยง ท่านจะต้องสงบปากสงบคำเอาไว้ แล้วอย่าไปสู้กับเทพองค์นั้นเข้าล่ะขอรับ พวกเราเป็นคนของพระพุทธศาสนา ดังนั้นพวกเราจึงไม่ควรใช้ความรุนแรง ยิ่งกว่านั้น ท่านเทพก็ยังมาที่นี่เพื่อ…”
”เขามาที่นี่เพราะถูกจับคู่ ข้ารู้ดี ข้าจะยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างก็แล้วกัน แต่ข้าให้สัญญาไม่ได้ว่าข้าจะไม่สู้กลับหากเขาต้องการลงมือกับข้าก่อน” จากนั้น หงส์เพลิงจึงก้าวขาเดินขึ้นสู่ทะเลเมฆอันไร้ที่สิ้นสุด