บทที่ 1019 ผู้ที่เคารพเพียงหนึ่งเดียว
“เด็กคนนั้นดูชั่วร้ายอยู่บ้าง ไม่น่าเชื่อว่ากำลังดูดซับไอสังหารอยู่”
จ้าวเซวียนหยวนทอดสายตามองหานเย่ ร้องจุ๊ๆ ออกมา
เจียงอี้นับนิ้วทำนาย เอ่ยว่า “โลกแห่งนี้ถูกมารร้ายเข้าครอบงำ สรรพสิ่งหลายร้อยล้านชีวิตถูกสิงร่าง แรงกรรมล้นฟ้า เด็กคนนี้เข้าล้างบางก็นับว่าผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์แล้ว”
จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เขามาจากมรรคาสวรรค์ มีตบะระดับเสรี ทว่ามีไอสังหารเทียบเท่าอริยะมหามรรค เลิศล้ำนัก”
“เข้าไปดูดีหรือไม่”
“ไปเถอะ!”
เจดีย์โบราณใหญ่ยักษ์เริ่มมุ่งหน้าไปในทิศทางที่หานเย่อยู่
ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงโลกที่ล่มสลาย
ท่ามกลางทะเลโลหิต หานเย่ที่นั่งสมาธิอยู่กลางอากาศพลันลืมตาขึ้น สองเนตรเรืองแสงสีเลือด ทำให้ปราณโลหิตที่ไหวระริกอยู่รอบกายหยุดนิ่ง
หานเย่มองเจดีย์โบราณ ขมวดคิ้วนิดๆ
เสียงกลั้วหัวเราะของจ้าวเซวียนหยวนแว่วมา “ไอ้หนู เหตุใดเจ้าถึงดูดซับไอสังหารได้”
เจียงอี้เริ่มทำนายถึงที่มาของหานเย่ การทำนายครั้งนี้ทำให้สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนทันที
เขาถ่ายทอดเสียงหาจ้าวเซวียนหยวนทันที หลังจากจ้าวเซวียนหยวนได้ยินก็ตะลึงงันไปเช่นกัน
เต้าจื้อจุนเองก็ลืมตาขึ้น สายตามองไปที่ร่างหานเย่
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญแปลกหน้าและลึกลับทั้งสี่ หานเย่เพียงแค่นเสียงเอ่ย “แล้วมันกงการใดของพวกเจ้า หรืออยากจะมาหาเรื่องข้า!”
จ้าวเซวียนหยวนนึกสนุกแล้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดุมากนักหรือ!”
หานเย่เรียกธนูปฐมเทพทลายโลกาขึ้นมา มือขวากุมคันธนูไว้ กลิ่นอายดุดันน่าหวาดหวั่นเข้าครอบคลุมโลกล่มสลาย
พอพวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่มองเห็นธนูปฐมเทพทลายโลกา ทั้งหมดต่างก็ขมวดคิ้ว
เป็นธนูที่ทรงพลังอย่างยิ่ง!
ทันทีที่ธนูคันนี้ปรากฏขึ้น พวกเขารู้สึกใจสั่นขึ้นมาเล็กน้อย
มีอาวุธวิเศษน้อยนักที่จะทำให้พวกเขารู้สึกกระวนกระวายได้แต่แรกเห็น
เจียงอี้ถ่ายทอดเสียงหาจ้าวเซวียนหยวน “เจ้าว่าจะใช่สมบัติวิเศษที่ท่านเจ้าสำนักมอบให้เขาหรือไม่ ในมรรคาสวรรค์ไม่มีทางปรากฏสมบัติวิเศษระดับนี้ ต้องเป็นยอดสมบัติฟ้าบุพกาลแน่นอน!”
จ้าวเซวียนหยวนรู้สึกว่ามีเหตุผล แววตาที่มองหานเย่อ่อนโยนลง
เชื้อสายของหานเจวี๋ยมีมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ใช่เชื้อสายทุกคนที่จะมีเกียรติพอให้พวกเขาไว้หน้า แต่ถึงขั้นที่ได้รับยอดสมบัติจากหานเจวี๋ย เช่นนั้นย่อมต่างออกไปแล้ว
เต้าจื้อจุนเอ่ยว่า “เข้าร่วมกับพวกเราเถอะ”
เสียงของเขาดังกังวานยิ่ง ก้องสะเทือนอยู่ในหูหานเย่ราวกับกระดิ่งเงิน สะท้อนอยู่เนิ่นนาน
เมื่อหานเย่ได้ฟังแขนขวาพลันเหยียดตรง มือซ้ายน้าวสายธนู น้าวดึงอย่างสุดกำลัง ไร้ซึ่งลูกธนูทว่าแรงกดดันน่าหวาดหวั่นพลันปะทุออกมา ทำให้โลกที่ล่มสลายไปแล้วสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
พวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่มีสีหน้าตกตะลึง เป็นธนูที่น่ากลัวจริงๆ!
“จะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง ไสหัวไป!”
สีหน้าหานเย่เรียบเฉย ตะคอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา
จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยเยาะ “อาศัยเพียงธนูคันเดียวก็คิดว่าจะสังหารพวกเราสี่คนได้แล้วอย่างนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นใคร”
ดวงตาหานเย่ปรากฏเจตนาสังหาร เหล่าตานตกใจรีบตะโกนขึ้นว่า “หยุดมือ ล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น! อย่าทะเลาะกันเลย!”
หานเย่ได้ยินแล้วผงะไป คนกันเองหรือ
เหล่าตานถลึงตาใส่จ้าวเซวียนหยวนคราหนึ่ง มองไปที่หานเย่แล้วกล่าวว่า “พวกเขาสามคนล้วนมาจากสำนักซ่อนเร้น เป็นศิษย์สืบทอดของอริยะสวรรค์เกรียงไกร”
หานเย่ขมวดคิ้ว
เขารู้จักสำนักซ่อนเร้น แต่เขาไม่เคยนับว่าตัวคือคนตระกูลหานเลย
ตลอดเส้นทางชีวิตของเขาพึ่งพาตัวเองทั้งสิ้น บุพการีชราวัยสิ้นชีพไปนานแล้ว เข้าสู่สังสารวัฏ
หลังจากเขาแข็งแกร่งขึ้นมา ตระกูลหานถึงได้มาหาเขา เรื่องนี้ทำให้เขาดูแคลนตระกูลหานยิ่งนัก
ส่วนอริยะสวรรค์เกรียงไกร อยู่ไกลเกินเอื้อมเหลือเกิน น้อยนักที่เขาจะนึกถึง
“ฮึ่ม สำนักซ่อนเร้นแล้วอย่างไรเล่า ข้าให้โอกาสพวกเจ้าไปแล้ว แต่พวกเจ้าดึงดันจะตอแยเอง!”
หานเย่พลันคลายมือซ้ายออก สายธนูดีดผึง ลูกศรปราณสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกมาอย่างทรงพลัง ฉีกกระชากห้วงมิติฟ้าบุพกาล ดูราวกับกระแสโลหิตที่มุ่งเข้าสังหารพวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่อย่างไร้สิ่งใดจะหยุดยั้งได้
เร็วเหลือเกิน!
เต้าจื้อจุนพลันปรากฏตัวขึ้นหน้าเจดีย์เก่าแก่ในทันใด ยกมือขึ้นสกัดศรปราณจากธนูปฐมเทพทลายโลกา บีบมันจนแหลกด้วยมือเดียว แต่หลังจากศรปราณสลายไปแล้ว กลับกลายเป็นละอองโลหิตนับไม่ถ้วนมุดเข้าสู่ร่างเขา โจมตีพลังเวทและมรรคผลของเขาอย่างบ้าคลั่ง
เต้าจื้อจุนขมวดคิ้ว ใช้พลังยอดมหามรรคกำจัดมันทิ้ง
จ้าวเซวียนหยวนผรุสวาทออกไป “ไอ้เด็กเหลือขอ กำแหงนักหรือ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องสอนความเป็นคนให้เจ้าก่อนแล้ว!”
พอสิ้นเสียงเขาพลันปรากฏตัวขึ้นด้านหลังหานเย่ ตบะของทั้งสองแตกต่างกันลิบลับ หานเย่ไม่มีทางตั้งตัวทัน มือข้างหนึ่งของจ้าวเซวียนหยวนกดลงบนไหล่ของเขา
สีหน้าหานเย่แปรเปลี่ยนมหันต์ คิดหันกลับไปตามสัญชาตญาณ ทันใดนั้นวิญญาณของเขาพลันถูกโจมตีอย่างรุนแรง ตกอยู่ในความสับสนเลื่อนลอย ตัวสั่นเทิ้ม
จ้าวเซวียนหยวนยกมือขึ้น ดึงวิญญาณของเขาออกมาจากกายเนื้อ จากนั้นนำคันฉ่องหยกบานหนึ่งออกมา ผนึกวิญญาณของหานเย่เข้าไปในบานคันฉ่อง
หานเย่ในบานคันฉ่องแสดงอาการตระหนกลนลานออกมา เขามองจ้าวเซวียนหยวนที่อยู่นอกกระจกอย่างโกรธเคือง ก่อนร้องด่า “เจ้าสุนัข! เจ้าคิดจะทำอันใด”
จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยยิ้มๆ “เด็กอย่างเจ้าช่างปากคอเราะร้ายโดยแท้”
หานเย่ร้องด่า “จะฆ่าก็ฆ่าสิ จัดการได้เลย แต่ในสายตาข้าเจ้าก็เป็นเพียงเจ้าสุนัข!”
สีหน้าจ้าวเซวียนหยวนพลันเย็นชา ขณะที่กำลังจะอ้าปากเอ่ย เต้าจื้อจุนพลันปรากฏตัวข้างกายเขา เอ่ยไปว่า “อันที่จริงเป็นพวกเราเข้ามารบกวนเขาก่อน หากเปลี่ยนเป็นตัวเจ้า จู่ๆ อีกฝ่ายก็ประกาศฐานะออกมา เจ้าก็เชื่อได้เลยเช่นนั้นหรือ”
พอจ้าวเซวียนหยวนได้ฟังสีหน้าก็อ่อนลง
เจียงอี้และเหล่าตานก็ตามเข้ามาหา เอ่ยเกลี้ยกล่อมจ้าวเซวียนหยวน
จ้าวเซวียนหยวนได้แต่ยอมรามือ
เต้าจื้อจุนมองหานเย่ที่อยู่ในคันฉ่อง เอ่ยว่า “เจ้าล้างสังหารโลกนี้อย่างเหี้ยมหาญ ต่อให้เป็นโลกที่ถูกมารเข้าครอบงำหนักหนาแล้วก็ตาม ในไม่ช้าก็จะชักนำความเดือดร้อนเข้ามา ด้วยพลังของเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอจะทำตัวจองหองป่าเถื่อนในฟ้าบุพกาลได้”
หานเย่เงียบไป
เหล่าตานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้เฒ่าจะแนะนำเจ้าสักหน่อยแล้วกัน คนผู้นี้คือบุตรแห่งสวรรค์สิบยอดฟ้าแห่งงานชุมนุมฟ้าบุพกาลครั้งก่อน ยามนี้มีศักดิ์เป็นดวงจิตมหามรรค หากมีเขาเป็นที่พึ่ง จะมิใช่โชคสำหรับเจ้าหรอกหรือ”
หานเย่เอ่ยด้วยความโกรธ “ตัวข้าหานเย่ชาตินี้เคารพเพียงสามคนเท่านั้น บิดามารดาจากโลกไปแล้ว ชาตินี้เหลือผู้ที่เคารพเพียงหนึ่งเดียว พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะสยบความทะนงของข้าได้เลย!”
เต้าจื้อจุนยิ้มออกมาแล้ว
พวกจ้าวเซวียนหยวนทั้งสามก็ฟังความออกแล้วเช่นกัน คนผู้นั้นที่หานเย่สื่อถึงคือหานเจวี๋ย ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาก็ไม่อาจรังแกหานเย่ได้อีก มิเช่นนั้นหากหานเจวี๋ยทราบเรื่องเข้า…
ล้วนกล่าวกันว่าสายใยข้ามรุ่นแน่นแฟ้นกว่า พวกเขาก็อดเชื่อไม่ได้…
….
วันเวลาผันผ่านไป
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้นมา แปลว่าครบกำหนดห้าล้านปีแล้ว
หลังจากพิสูจน์ผู้สร้างมรรคา ความก้าวหน้าของตบะของเขาสัมพันธ์กับพัฒนาการของโลกปฐมยุค ยิ่งโลกปฐมยุคแข็งแกร่งมากเท่าไร พลังเวทของเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
ห้าล้านปีมานี้โลกปฐมยุคยังคงมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง มีดวงดาวถือกำเนิดขึ้นเรื่อยๆ กลายสภาพเป็นจักรวาลโลกดารา จากนั้นก็พัฒนาเป็นฟ้าดินขนาดใหญ่
อายุขัยต้นกำเนิดของเขามีมากเท่าใดก็สามารถหล่อเลี้ยงให้กำเนิดฟ้าดินขนาดใหญ่ได้มากเท่านั้น ฟ้าดินที่กำเนิดขึ้นในโลกนี้เป็นตัวตนระดับเดียวกับมรรคาสวรรค์ เพียงพอจะแสดงให้เห็นแล้วว่าโลกปฐมยุคกว้างใหญ่เพียงใด
เทพมารฟ้าบุพกาลเหล่านั้นต่างนั่งแท่นปกครองกันไปตนละแห่ง ด้วยการชักนำจากเจตจำนงของหานเจวี๋ยทำให้เริ่มปรากฏตัวตนที่รับหน้าที่เช่นเดียวกับเทพผู้สร้างโลกขึ้น สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมา เกิดวิวัฒนาการไปสารพัด
สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าของโลกปฐมยุคก็เริ่มโลดแล่นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จำนวนยากจะประเมินได้ แต่หากอยู่ในโลกปฐมยุคอันกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว ยังนับว่าน้อยนิดหรอมแหรม เหล่าสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าล้วนไปมาหาสู่กันน้อยยิ่ง หลักๆ คือหากันไม่พบ
หานเจวี๋ยเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ
มหาเทวาพ้นนิวรณ์สิบคนไม่เพียงพอให้เขาสังหารแล้ว
เขาท้าสู้มหาเทวาพ้นนิวรณ์ทีเดียวหนึ่งร้อยคน!
เอาชนะได้!
หานเจวี๋ยพลันยินดีขึ้นมา โชคดีที่ตนไม่เคยเผยการมีอยู่ของโลกปฐมยุคออกไป หากเป็นเช่นเดียวกับเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลและมหาเทวาพ้นนิวรณ์ที่ล้วนถูกสะกดโลกมหามรรคไว้ ต่อให้พิสูจน์ผู้สร้างมรรคาได้ก็ยากจะก้าวหน้าได้อยู่ดี
หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูจดหมาย อยากเห็นว่าในห้าล้านปีนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงใดขึ้นบ้าง
ไม่นานนัก เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
………………………………………………………………