บทที่ 1023 ตามหาเทพมาร
แม้จะไม่ได้พบหน้ากันมานานยิ่ง ทว่าหานอวิ๋นจิ่นและหานชิงเอ๋อร์คุ้นเคยกันยิ่งนัก ถึงแม้หานชิงเอ๋อร์จะมีท่าทีเป็นมิตรสนิทสนมแต่หานอวิ๋นจิ่นก็ยังคงอดคิดไม่ได้ เกรงว่าจะมีเรื่องใด
สองพี่น้องตบะห่างชั้นกันยิ่งจึงไปมาหาสู่กันน้อยนัก
หานชิงเอ๋อร์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อยากสอบถามว่าตระกูลหานยังมีบุตรแห่งสวรรค์คุณสมบัติทัดเทียมกับหานเหยาบ้างหรือไม่ พี่รองของเจ้าต้องการรับศิษย์ เขาไม่มีทายาทจึงทำได้เพียงมาคัดเลือกเอาจากลูกหลานเจ้า”
พอหานอวิ๋นจิ่นได้ยินสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน เผยสีหน้าปรีดา
ดีร้ายอย่างไรเขาก็เป็นอริยะมรรคาสวรรค์ เคยออกท่องฟ้าบุพกาลมาก่อน ย่อมทราบถึงชื่อเสียงของหานฮวงดี ยามนี้หานฮวงนับว่าเป็นผู้ทรงพลังชั้นยอดในฟ้าบุพกาล ครอบครองหมื่นยุคสมัยได้ในฝ่ามือเดียว พลังวิเศษของเขายากจะจินตนาการได้
หานอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “ตระกูลหานของข้ามีบุตรแห่งสวรรค์มากมายดั่งเมฆา แต่ละรุ่นก็เลิศล้ำขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อพี่รองต้องการ ข้าย่อมคัดเลือกคนที่แข็งแกร่งที่สุดมาให้”
หานชิงเอ๋อร์พลันยิ้มหน้าบาน ป้องปากยิ้มเอ่ยไปว่า “น้องห้าเอ๋ย เจ้าอย่าทำให้พี่หญิงสามผิดหวังเล่า ข้ารับประกันกับพี่รองเอาไว้แล้วนะ”
หานอวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เริ่มถ่ายทอดเสียงสั่งการลงไปทันที
หลังจัดการเรียบร้อยแล้ว หานอวิ๋นจิ่นเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เหตุใดจู่ๆ พี่รองก็อยากรับศิษย์เล่า”
หานชิงเอ๋อร์ยักไหล่ สื่อว่าตนก็ไม่รู้เหมือนกัน
เจียงเจวี๋ยซื่อจึงเอ่ยขึ้นว่า “หลังจากโลกมหามรรคอวิชชาและโลกมหามรรคพ้นนิวรณ์ปรากฏขึ้น เหล่าผู้ทรงพลังล้วนคิดหาทางเพื่อบุกเบิกโลกของตนขึ้น ศิษย์น้องฮวงเองก็ไม่เว้น ต้องการให้มีคนคอยชี้นำดูแลสรรพสิ่งในโลกของเขา เช่นนี้ก็ลดความยุ่งยากลงไปได้มาก”
หานอวิ๋นจิ่นเริ่มใคร่ครวญดู เขาก็ได้ยินข่าวเรื่องโลกมหามรรคมาด้วยเช่นกัน แต่ในมุมมองของเขาโลกมหามรรคก็คือโลกขนาดใหญ่ใบหนึ่งเท่านั้น เขาก็สามารถบุกเบิกฟ้าดินได้เช่นกัน แต่ไม่ได้ส่งผลตบะของเขาเท่าไร แค่จัดการเรื่องราวในตระกูลหานก็เหนื่อยมากพอแล้ว เขาย่อมคร้านจะไปบุกเบิกฟ้าดินอีก
หานชิงเอ๋อร์แค่นเสียง “พี่รองบ้าไปแล้ว ได้ครองตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคกลายเป็นเทวทัณฑ์ มีอาณาเขตฟ้าบุพกาลเขตหนึ่งเป็นของตัวเองแล้ว ทอดสายตามองไปทั่วฟ้าบุพกาล ตัวตนที่สามารถประชันกับเขานับแล้วมีไม่ถึงห้านิ้วด้วยซ้ำก็ยังเอาแต่ยุ่งง่วนอยู่กับการปิดด่านฝึกบำเพ็ญ อีกแสนล้านปีข้างหน้าบางทีชนรุ่นหลังอาจจะลืมเลือนเขาไปหมดแล้ว ก็เหมือนกับท่านพ่อ ในโลกยุคนี้ยังมีใครหน้าไหนจดจำอริยะสวรรค์เกรียงไกรได้อีกเล่า”
เจียงเจวี๋ยซื่อยิ้มออกมา ไม่ได้คัดค้านและไม่ได้เห็นด้วย ยิ่งยืนอยู่สูงเท่าไรก็ยิ่งทราบถึงเบื้องลึกในฟ้าบุพกาล
หานอวิ๋นจิ่นอดถามไม่ได้ “ท่านพ่อสบายดีหรือไม่”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ผู้เฒ่าอย่างเขาเอาแต่ปิดด่านอยู่ตลอด มีเพียงน้องหลิงเอ๋อร์ที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาตลอด” หานชิงเอ๋อร์เอ่ยตอบ
พอเอ่ยถึงหานหลิง หานอวิ๋นจิ่นก็ตกอยู่ในห้วงความคิด
ไม่นานนัก อริยะคนหนึ่งของตระกูลหานก็พาบุตรแห่งสวรรค์ที่บุคลิกองอาจไม่ธรรมดาคนหนึ่งเข้ามา
เจียงเจวี๋ยซื่อพินิจดูบุตรแห่งสวรรค์คนนี้ ดวงตาฉายแววผิดหวังเล็กน้อย
เขาก็อยากเลือกบุตรแห่งสวรรค์สักคนไปปักหลักในโลกของตนเช่นกัน!
….
ห้าล้านปีผ่านไป เผ่าพันธุ์ต่างๆ ในโลกมนุษย์ผลัดเปลี่ยนเวียนไป มรรคาสวรรค์วิวัฒนาการไปตามกาลเวลา ผลัดเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ฟ้าบุพกาลแตกต่างไปจากอดีต
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น สัมผัสได้ถึงพลังเวทของตน
โลกปฐมยุคพัฒนาไปอย่างมั่นคง มีฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ปราณปฐมยุคยิ่งเนืองแน่นไม่ขาดสาย ปกคลุมอยู่ภายในโลก พลังวิญญาณและตบะที่แฝงอยู่ในโลกทิ้งห่างจากฟ้าบุพกาลไปไกลแล้ว
หานเจวี๋ยเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบก่อน ท้าสู้มหาเทวาพ้นนิวรณ์หนึ่งร้อยคน
เอาชนะได้สบายๆ!
เขาเพิ่มมหาเทวาพ้นนิวรณ์ขึ้นเป็นสองร้อยคน!
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หานเจวี๋ยครองความเป็นต่ออย่างมั่นคง
เขาพอใจมาก ถึงอย่างไรก็ผู้สร้างมรรคา ทุกครั้งที่เพิ่มจำนวนเข้ามาหนึ่งคนก็จะได้ผลลัพธ์ที่เหนือชั้นยิ่งขึ้น
ตัวเขาในปัจจุบันนี้หากตัดเจ้านวฟ้าบุพกาลออกไปแล้ว เขาก็ไม่เกรงกลัวผู้ใดอีกเช่นกัน
หานเจวี๋ยนึกขึ้นได้ว่าเมื่อหลายหมื่นปีก่อนเทพมหาทัณฑ์ส่งคำขอเข้าฝันตน แต่เขากำลังฝึกบำเพ็ญอยู่จึงเมินเฉยไป
เขาเริ่มเข้าฝันเทพมหาทัณฑ์
แดนความฝันยังคงเป็นห้วงอวกาศฟ้าบุพกาล
พอเทพมหาทัณฑ์เห็นหานเจวี๋ยก็ทำความเคารพทันที
หานเจวี๋ยถามด้วยรอยยิ้ม “ระยะนี้ฟ้าบุพกาลสงบมั่นคง ดวงจิตมหามรรคเพิ่มขึ้นมากโข ผู้ปกครองดินแดนต่างๆ และเจ้ากลุ่มอำนาจต่างๆ ยอมรับเชื่อฟังตามที่เจ้าสั่งแล้ว มีเรื่องใดที่ต้องมาเข้าฝันข้าอีกหรือ”
เทพมหาทัณฑ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ต้องขอบคุณนายท่านมาก ข้าได้หานฮวงมาก็เหมือนได้เสาหลักค้ำจุนฟ้าดิน ฟ้าบุพกาลในปัจจุบันนี้สงบสุขอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่ระยะนี้กลับมีเรื่องประหลาดมากมายปรากฏขึ้นในฟ้าบุพกาล ยกตัวอย่างเช่นมหามรรคกำเนิดจิตวิญญาณ กฎเกณฑ์สูงสุดเกิดความผันผวน
“นับแต่โบราณมาถึงปัจจุบันนี้ ถึงแม้จะมีมหามรรคกำเนิดจิตวิญญาณบ้าง แต่ก็ไม่ได้ปรากฏขึ้นถี่เหมือนในหลายล้านปีมานี้ อีกอย่างทุกครั้งที่กฎเกณฑ์สูงสุดสั่นไหวจะมีเผ่าพันธุ์หนึ่งถือกำเนิดขึ้นในมุมหนึ่งของฟ้าบุพกาล เผ่าพันธุ์เหล่านี้มีคุณสมบัติไม่ด้อยไปกว่าเทพมารฟ้าบุพกาลเลย ซ้ำแต่ละเผ่ายังมีพรสวรรค์ต่างกันไปด้วย รักสันโดษแต่ชอบการต่อสู้ ข้ากังวลว่าอาจจะกลายเป็นเหตุให้เกิดความไม่สงบขึ้น”
หานเจวี๋ยถาม “ในเมื่อกังวลแล้วเหตุใดถึงไม่กำจัดทิ้งเล่า”
เทพมหาทัณฑ์กล่าวว่า “ข้าคิดจะลงมือจริงๆ ขอรับ แต่ถูกอำนาจลึกลับบางอย่างขัดขวางไว้ จำเป็นต้องหยุดมือ ข้าสงสัยว่าจะใช่ฝีมือของผู้ครองฟ้าบุพกาลหรือไม่ แต่ผู้ครองฟ้าบุพกาลท่านนั้นหลังสิ้นสุดงานชุมนุมฟ้าบุพกาลก็ได้แต่งตั้งให้ข้าเป็นผู้นำดวงจิตมหามรรคอย่างแท้จริงแล้ว ต่อให้ต้องการปกป้องเผ่าพันธุ์เหล่านั้นเหตุใดถึงไม่แจ้งเตือนข้ามาตามตรงเลยเล่า”
เขาพูดๆ อยู่ก็เงียบไป ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงจ้องมองหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยตอบว่า “เจ้าเดาถูกแล้ว น่าจะมิใช่ผู้ครองฟ้าบุพกาล”
เทพมหาทัณฑ์หน้าเปลี่ยนสี
หานเจวี๋ยเอ่ยต่อไปว่า “เหตุการณ์สำคัญครั้งต่อไปของฟ้าบุพกาลก็คือเทพมารอนธการ เขาจะกระตุ้นให้เกิดมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ ตัวตนเหนือชั้นเหล่านั้นล้วนเฝ้ารอให้เทพมารอนธการปรากฏสู่โลกา สิ่งที่เจ้าต้องทำคือตามหาเทพมารอนธการให้พบ ช่วยให้เขาเติบใหญ่เกรียงไกร เตรียมพร้อมสำหรับมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ที่จะมาถึง”
เทพมหาทัณฑ์ถามด้วยความแปลกใจ “เทพมารอนธการหรือขอรับ นั่นไม่ใช่แค่ตำนานหรอกหรือ อีกอย่างเทพมารอนธการก็เป็นภัยต่อฟ้าบุพกาลมิใช่หรือขอรับ”
“จะเริ่มต้นงานใหญ่ย่อมต้องทำลายของเดิมทิ้ง เจ้าเพียงต้องหาเขาให้พบแต่ห้ามสังหารเขา” หานเจวี๋ยส่ายหน้าเอ่ยสั่ง
เทพมหาทัณฑ์ตกอยู่ในห้วงความคิด
หานเจวี๋ยก็ไม่ได้บอกว่าหานฮวงคือเทพมารอนธการ ปล่อยให้เทพมหาทัณฑ์ไปเดาเอาเอง ปล่อยให้หานฮวงได้พิสูจน์ตัวเอง
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ขอบพระคุณนายท่านที่ชี้แนะ!”
เทพมหาทัณฑ์ทำความเคารพอย่างนอบน้อม
ความฝันสิ้นสุดลงเท่านี้
จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยกลับสู่ความเป็นจริง เขาลืมตามองไปในฟ้าบุพกาล สหายเก่าเหล่านั้นล้วนกลายเป็นคนใหญ่คนโตปกครองกลุ่มอิทธิพลไปแล้ว ก่อมรสุมคลื่นลมไป มิได้ปากกัดตีนถีบเช่นเดียวกับในอดีตอีกต่อไป
ยอดเยี่ยมนัก
หานเจวี๋ยสำราญกับชีวิตในปัจจุบันยิ่ง ไม่ต้องคอยกังวลกับอนาคต อนาคตทอดยาวไร้ขอบเขต
เขาสังเกตดูเผ่าพันธุ์เหล่านั้นที่เทพมหาทัณฑ์กล่าวถึงเล็กน้อย มีหลายสิบเผ่าแล้ว ทั้งหมดกระจายตัวอยู่ตามชายขอบฟ้าบุพกาล มองผ่านๆ ก็ดูเหมือนจะรุกคืบเข้ามาจากเขตชายขอบฟ้าบุพกาล รุกไล่เข้ามาสู่ฟ้าบุพกาล
เผ่าพันธุ์เหล่านี้ค่อนข้างประหลาดยิ่ง ไม่มีกายเนื้อ อยู่ในสภาพร่างวิญญาณ แทบไม่มีลักษณะของเผ่ามนุษย์เลย
ต้องทราบก่อนว่าเผ่ามนุษย์มีรากฐานต้นตอมาจากมรรคาสวรรค์ เป็นบรรพชนเต๋าที่คิดค้นสร้างลักษณะพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับฝึกบำเพ็ญและแปลงกายขึ้นมา แล้วถึงให้เจ้าแม่หนี่ว์วาสร้างมนุษย์ขึ้นตามนี้ กลายเป็นตัวเอกแห่งมรรคาสวรรค์
หานเจวี๋ยคร้านจะสนใจเผ่าพันธุ์เหล่านี้ ในเมื่อเป็นแผนการของผู้สร้างมรรคา เขาก็ไม่อาจเข้าไปขวางตรงๆ ได้ ตอนนี้ทุกคนต่างทำตัวเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง ต่างคนต่างอยู่คือสิ่งที่เขาปรารถนามิใช่หรือ
ขอเพียงให้เวลามากพอ ก็ไม่มีผู้ใดฝึกบำเพ็ญไปได้เร็วกว่าหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยสอดส่องดูพวกเต้าจื้อจุนทั้งห้า ห้าคนนี้ยังอยู่ในโลกมหามรรคพ้นนิวรณ์
ตอนนี้ โลกมหามรรคพ้นนิวรณ์เผยตัวออกมาอย่างสิ้นเชิงแล้ว ก่อนหน้านี้ซุกซ่อนอยู่ในมุมมืด แต่ยามนี้กลับมีแนวโน้มว่าจะถูกฟ้าบุพกาลฮุบกลืนเข้ามา หานเจวี๋ยมองแวบเดียวก็เห็นแล้วว่าสองโลกกำลังผสานรวมเข้าด้วยกัน
ไม่ใช่แค่โลกมหามรรคพ้นนิวรณ์เท่านั้น โลกมหามรรคอวิชชาก็กำลังถูกฟ้าบุพกาลฮุบกลืนเช่นกัน
หานเย่ติดตามพวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่นับว่าตามถูกคนแล้วจริงๆ หลายปีมานี้บุกตะลุยสังหารอยู่ตลอด ถึงขั้นที่กักขังชุบเลี้ยงสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ต่างๆ ไว้ในโลกมหามรรคพ้นนิวรณ์ด้วย รอจนแข็งแกร่งขึ้นก็จะให้สังหารฟาดฟันกัน ทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟแล้วเขาค่อยออกมาสังหารปราบปรามโดยเฉพาะ พิสูจน์ให้เห็นถึงดาวสังหาร
………………………………………………………………