ตอนที่ 362 เด็กน้อยเลียนแบบ
พักอยู่ที่เผ่าหนึ่งสัปดาห์ ลู่จือฉินกับย่าลู่ก็เตรียมกลับประเทศเหยียนหวงวันมะรืน
เมื่อคืนจึงนัดเวลากับอาจารย์หลี่ กะไว้ว่าวันนี้จะไปเยี่ยมครอบครัวหลี่พร้อมลู่หันซู แต่อาจารย์หลี่คำนึงถึงอาการของแม่ลู่ จึงบอกว่าพวกเขาเตรียมจะมาเที่ยวหมู่บ้านเหมียวไจ้พอดี ไว้ถึงเวลาจะไปเยี่ยมครอบครัวเหมียว
ลู่จือฉินกับลู่หันซูต่างรู้ว่าอาจารย์หลี่มีเจตนาดี จึงบอกตาเหมียวกับยายเหมียวว่าเพื่อนจากประเทศเหยียนหวงที่ย้ายมาอยู่ที่นี่จะมาเยี่ยมเยียน อีกทั้งอธิบายให้พวกเขารู้เรื่องราวความเป็นมา
สองผู้อาวุโสครอบครัวเหมียวพอรู้ว่าอาจารย์หลี่ขายบ้านกับขายที่ให้สองศิษย์อาจารย์คู่นี้ก็อยากเชิญพวกเขามากินข้าวที่บ้านด้วยความยินดี
เช้าวันนี้หลังอาหารเช้าสองผู้อาวุโสครอบครัวเหมียวจึงพาเหมียวอวี้ไปเก็บผักผลไม้ในสวน ตระเตรียมอาหารต่างๆ
เหมียวชิงอวิ้นสาวน้อยวัยสิบสามชอบป้าของตัวเองมาก ไม่มีความรังเกียจใบหน้าที่อัปลักษณ์อย่างสิ้นเชิงเลยสักนิด
ลู่จือฉินมองหนึ่งเด็กกับหนึ่งผู้ใหญ่ด้วยความอิ่มเอมใจ “สายเลือดเดียวกันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์จริงๆ”
ดวงตาของตาเหมียวกับยายเหมียวมีรอยยิ้ม
เยี่ยเจินยิ้มดวงตาโค้งมนยกมุมปาก “อย่างน้อยๆ ก็คล้ายกันถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์นะคะ”
ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าคนในรูปถ่ายคือพี่สาวของสามี มองแวบแรกเธอยังคิดว่าลูกสาวตัวเอง
ลู่จือฉินพูดต่อ “แต่ก็มีเด็กผู้หญิงหลายคนที่หน้าตาคล้ายพ่อ เสี่ยวซูก็ด้วย”
ลู่หันซู “หนูหน้าเหมือนพ่อมากค่ะ ยกเว้นดวงตากับผิวที่ได้แม่ ที่เหลือได้พ่อมาหมดเลยค่ะ”
ย่าลู่ยิ้มพลางพยักหน้า
หลานสาวหน้าตาเหมือนลูกชายของเธอมากจริงๆ
เยี่ยเจินมองลู่หันซูแล้วพูด “หน้าตาของเสี่ยวซูมองได้ไม่มีเบื่อ แบบที่ว่ายิ่งมองยิ่งชอบ”
ลู่จือฉินพยักหน้า
เธอกับลูกศิษย์คนเล็กหน้าตาธรรมดา แต่เป็นแบบที่มองได้ไม่มีเบื่อ
แบบนี้ดูเข้าถึงง่ายกว่าแบบหน้าตาสวยหมดจด
คนเป็นหมอหน้าตาเป็นมิตรสำคัญมาก
หน้าตาเป็นมิตรของหมอเทวดาหยวนโดดเด่นเหมือนฝีมือการรักษาของเขา
ลู่หันซูเริ่มเขินแล้ว
เธอรู้ดีว่าหน้าตาตัวเองสุดแสนจะธรรมดา แต่ก็ไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจในเรื่องนี้
คนครอบครัวเหมียวคุยกันอย่างออกอรรถรสอยู่สักพักโทรศัพท์ของลู่จือฉินก็ดังขึ้น
รับโทรศัพท์เสร็จวางลง ลู่จือฉินหันไปยิ้มพูดกับครอบครัวเหมียว “บ้านอาจารย์หลี่มาถึงแล้วค่ะ ฉันกับเสี่ยวซูจะไปรับพวกเขาที่ลานจอดรถนะคะ”
เยี่ยเจินลุกขึ้น “ฉันไปรับแขกด้วยคนค่ะ”
“ค่ะ”
ผู้หญิงทั้งสามคนเดินออกไป ไม่นานก็ไปถึงลานจอดรถที่อยู่หลังบ้าน
ลู่จือฉินเห็นครอบครัวหลี่ลงจากรถกันแล้วจึงรีบเข้าไปหา “อากาศร้อนขนาดนี้ทำไมไม่รออยู่ในรถล่ะคะ เด็กตากแดดจะไม่สบายเอา”
เด็กน้อยหลี่หยวนเจอใบหน้าที่คุ้นเคยก็ตบมือหนึ่งที พูดเลียนแบบ “ไม่”
อุ๊บ…
ทุกคนขำในท่าทางของเด็กน้อย
เยี่ยเจินอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา หมั่นเขี้ยวไม่ไหว “ไม่สบายจ้ะ”
“ไม่”
“ไม่อะไรจ๊ะ เด็กคนนี้ไม่สบายหรือเปล่า”
“ไม่ ฉะ บาย”
ทุกคนพากันหัวเราะ
หลี่เซ่าวัยเจ็ดขวบรีบสาวเท้าเข้าไปหาเยี่ยเจินที่อุ้มน้องสาวของเขาอยู่ จับเท้าน้องสาวที่ไม่ได้ใส่รองเท้า “น้องสบายดี”
“ไม่”
หลี่เซ่า “น้องสบายดี”
“ไม่…ฉะบาย”
เด็กน้อยทำทุกคนขำเกือบหยุดไม่ได้
ลู่หันซูพูดด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ “เด็กคนนี้น่ารักจริงๆ”
เยี่ยเจินพยักหน้า “นั่นสิ เด็กเล็กน่ารักที่สุดแล้ว บางครั้งก็แบ๊วเสียจนทำใจละลายได้”
อาจารย์หลี่ยิ้มพูด “นั่นน่ะสิ ตอนนี้น้ามีเสี่ยวหยวนแล้วก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าแบบตอนเพิ่งเกษียณอีก”
พวกเขาเดินไปคุยไปไม่นานก็ถึงบ้านครอบครัวเหมียว
หลังจากทักทายแนะนำตามมารยาทแล้ว เหมียวรุ่ยกับเยี่ยเจินนั่งคุยกับแขกสักพักก็เข้าครัวทำอาหารกลางวัน
อาจารย์หลี่ถาม “ทำไมหมอลู่จะกลับแล้วล่ะคะ”
ระยะเวลาของวีซ่าเยี่ยมญาติกับท่องเที่ยวไม่เท่ากัน
ลู่จือฉินอุ้มหลี่หยวนแกล้งหยอกเย้าพลางพูด “ฉันยังมีงานอีกค่ะ เลยจะกลับพร้อมย่าของหันซูก่อน หันซูกับแม่ยังอยู่ที่นี่อีกระยะหนึ่งค่ะ”
“อ้อ”
ตาเหมียวถามหลานสาว “เสี่ยวซู หลานอยาก…มาเรียนที่นี่ไหม”
อันที่จริงเขาอยากถามหลานสาวว่าอยากย้ายมาอยู่ที่นี่ไหม แต่หลานสาวยังมีย่าอยู่อีกคน…
ย่าของหลานสาวไม่มีทางยอมย้ายมาอยู่ด้วยกันแน่ เขาจึงไม่ได้ถามออกไป
หลายปีมานี้ย่าของหลานสาวเลี้ยงดูลูกสาวเขาเหมือนลูกตัวเอง ต่อให้พวกเขาอยากให้ลูกสาวกับหลานสาวย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ไม่กล้าพูดออกไป
ลู่หันซูมองย่าตัวเองก่อน เห็นย่าไม่คิดมากจึงอธิบาย “คุณตาคะ เดี๋ยวเทอมหน้าหนูก็จะไปเรียนมหาวิทยาลัยแพทย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของประเทศเหยียนหวงแล้วค่ะ เมืองเย่ว์ตูเป็นศูนย์กลางการแพทย์ระดับโลก เป็นสถานที่ที่นักศึกษาแพทย์แต่ละคนต่างใฝ่ฝัน”
เจ้าของบ้านกับแขกคุยกันประมาณหนึ่งชั่วโมงเยี่ยเจินก็ออกมาเชิญทุกคนไปกินข้าว
พอนั่งลงยายเหมียวก็ถามแขก “เหมียวรุ่ยกับเยี่ยเจินทำเป็นแต่อาหารของเผ่า อาจารย์หลี่กินได้ไหมคะ”
หลานสาวกับอาจารย์ลู่บอกว่าอาจารย์หลี่เพิ่งมาอยู่ที่เผ่าได้ไม่นาน
“ยายเสี่ยวซู ฉันกินได้ค่ะ ลูกชายกับลูกสะใภ้ฉันชอบทำอาหารของเผ่าหมาป่าพระจันทร์ให้กินทุกครั้งที่กลับประเทศเหยียนหวง เพราะกลัวว่าเดี๋ยวพอเกษียณมาอยู่ที่นี่จะไม่ชินกับอาหาร”
ยายเหมียวยิ้มพลางพยักหน้า “กตัญญูกันทั้งคู่เลยนะ มา กินเถอะ ทุกคนไม่ต้องเกรงใจนะ”
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างอบอุ่น เข้ากันได้ดี
ตาเหมียวกับยายเหมียวไม่ได้หัวเราะอย่างมีความสุขแบบนี้มานานแล้ว
ลู่หันซูมองรอยยิ้มของพวกเขา แอบปวดใจเล็กน้อย
คุณตากับคุณยายของเธอผ่านมาไม่ง่ายเลยจริงๆ!
กินอาหารเสร็จก็ย้ายไปนั่งที่ห้องโถงอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นลู่หันซู ลู่จือฉิน เหมียวรุ่ยและภรรยาก็ออกไปเดินเที่ยวรอบๆ เป็นเพื่อนครอบครัวหลี่แล้วกลับมา
บ่ายสามโมงกว่าครอบครัวหลี่ก็ขอตัว
ครอบครัวเหมียวรุ่ยสามคนพักอยู่ที่นี่หนึ่งคืน พรุ่งนี้กินอาหารเย็นเสร็จค่อยกลับเข้าเมือง
ผู้อาวุโสทั้งสองของครอบครัวเหมียวไปเก็บพวกของดีท้องถิ่นสำหรับให้ลู่จือฉินกับย่าลู่เอากลับประเทศเหยียนหวง
ตกดึกลู่หันซูก็นอนกับย่า
เธอไม่อยากให้ย่ากลับไปอยู่คนเดียวโดดเดี่ยว
“ย่าไม่กลับไม่ได้เหรอคะ”
ย่าลู่ลูบผมของหลานสาวที่เอนเข้ามาซบ สีหน้าเต็มไปด้วยความเอ็นดู “เสี่ยวซูไม่ต้องห่วงย่า ย่าแข็งแรงดี ขอแค่ระวังหน่อย ในสิบปีนี้ย่าดูแลตัวเองได้”
“แต่ย่าไม่เคยอยู่คนเดียวเลยนะคะ หนูกลัวย่าเหงา”
“ไม่หรอก ในหมู่บ้านมีคนเยอะแยะ”
แต่อย่างไรเสียนั่นก็ไม่ใช่คนในครอบครัว ลู่หันซูพูดในใจ
เธอรู้ว่าเปลี่ยนความคิดย่าไม่ได้ ทำได้เพียงกำชับอย่างละเอียด “กลับไปแล้วห้ามทำงานหนักนะคะ…มีอะไรก็โทรหาหนู ห้ามปิดบัง…”
ลู่หันซูบ่นอยู่ครึ่งชั่วโมง
“เอาล่ะๆ ย่ารับปากทั้งหมด”
“รับปากแล้วต้องทำให้ได้ด้วย ห้ามรับปากส่งเดช”
“ทำได้แน่นอน เสี่ยวซู…หาโอกาสเหมาะๆ เล่ารายละเอียดของแม่ให้ตายายฟังด้วยนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวถึงเวลา…ย่ากลัวพวกเขาจะรับไม่ไหว”
“…หนูรู้ค่ะ ย่าคะ หลายปีมานี้ลำบากย่ามากจริงๆ”
ปู่เสียไปเร็ว พ่อก็เหมือนกัน แม่ไม่ประสีประสา เธอยังเด็ก ย่าแบกรับความกดดันมหาศาลเอาไว้คนเดียว
“พอชินก็ไม่รู้สึกว่าลำบากหรอก”
“ย่าใจดีจัง!”
“เด็กบื้อ! หลานกับแม่เป็นคนในครอบครัว ย่าสมควรทำให้อยู่แล้ว”
“อือๆ ต่อไปไม่ว่าหนูไปไหนจะเอาย่าไปด้วย เหมือนที่ย่าพาแม่ไปเสมอ”
“จ้ะ ต่อไปเสี่ยวซูพาย่าไปด้วยนะ”