บทที่ 141 เปิดช่องเวทในเกาะร้าง
ชุดนักพรตของเจ็ดเนตรโลหิตแตกต่างกันไปตามยอดเขาทั้งเจ็ด แบ่งออกเป็นเจ็ดสี
ในนี้สีส้มคือยอดเขาลำดับสอง สีฟ้ายอดเขาลำดับหก สีม่วงยอดเขาลำดับเจ็ด
ส่วนยอดเขาลำดับหนึ่งคือสีแดงที่เหมือนเลือด
เจ็ดเนตรโลหิตที่เลื่องชื่อไปทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณและทะเลต้องห้าม อันที่จริงคือยอดเขาลำดับหนึ่งและยอดเขาลำดับเจ็ด
ในนี้ยอดเขาลำดับหนึ่งเลื่องชื่อจากการสังหารและความโหดร้าย ศิษย์ทุกคนล้วนฝึกบำเพ็ญเพื่อการรบ ปกติแล้วออกทะเลน้อยมาก ส่วนใหญ่จะลับคมตนเองอยู่ในแดนต้องห้ามปักษาราชัน
มีเพียงศิษย์ที่มั่นใจในพลังฝึกบำเพ็ญและพลังรบของยอดเขาลำดับหนึ่งเท่านั้นที่บางครั้งจะเลือกมาลับฝีมือวิชารบของตนเองในทะเลต้องห้ามที่ไม่คุ้นเคย ดังนั้นไม่ว่าจะในสำนักหรือว่าทะเลต้องห้าม นี่จึงเป็นผู้บำเพ็ญการรบจากยอดเขาลำดับหนึ่งคนแรกที่เขาพบ
และยังไม่มีทางจำผิดจากชุดนักพรตอีกด้วย
เพราะบนชุดนักพรตแต่ละยอดเขาล้วนมีลวดลายที่เลือนรางอยู่บ้างเล็กน้อย ข้องเกี่ยวกับป้ายฐานะและกลิ่นอาย ทำให้ขณะที่แต่ละฝ่ายพบกันลวดลายบนชุดคลุมจะเปล่งแสงขานรับ
สิ่งนี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้คนภายนอกลักลอบแต่งกายปลอมตัวเนื่องจากสำนักที่ใหญ่โตจนเกินไปนั่นเอง
แม้จะเป็นสำนักเดียวกัน แต่ความระแวดระวังของสวี่ชิงก็ไม่ลดลงเลยแม้เพียงน้อย คำพูดประหลาดของอีกฝ่าย เขาฟังความหมายไม่ออก แอบรู้สึกเหมือนเตือนตนเองว่าอย่าเข้าไปแย่งชิงอย่างไรอย่างนั้น
ถึงอย่างไรคำว่าซุกไว้ในถุง รวมกับการกระทำที่อีกฝ่ายไล่ล่าฉลามฟันยักษ์ ก็เหมือนส่งความนัยออกมากลายๆ แล้ว
ดังนั้นตอนที่สวี่ชิงมองเย็นชาไป เหล็กแหลมสีดำของเขาก็เปล่งแสงเย็นอยู่ข้างกาย ส่วนเงาใต้เท้าก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นเดียวกัน แต่อันที่จริงเตรียมพร้อมไว้แล้วที่จะกระโจนออกไปภายใต้การควบคุมของสวี่ชิง
ขณะเดียวกันเรือเวทของเขาก็ด้วย อสูรคอยาวบรรพกาลในร่างกายก็แหวกว่ายอยู่ในช่องเวท แผงหนามบนคอสั่นไหวอย่างรวดเร็ว
พริบตาที่สวี่ชิงจ้องออกไป ฉลามฟันยักษ์ที่หลบหนีมาทางเขาตัวนั้น พอเห็นว่าข้างหน้ามีคนที่กลิ่นอายไม่ธรรมดา จึงคำรามเสียงหนึ่งแล้วหมุนตัวอ้าปากกลับไปหาชายหนุ่มที่ไล่มาด้านหลัง
ขณะที่อ้าปากใหญ่ หมอกเลือดกลุ่มหนึ่งก็พ่นพรวดออกมา กลายเป็นเงาของกุ้งปลาจำนวนมหาศาล พุ่งตรงเข้าไปหาชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่ง
“เป็นเพียงหยาดน้ำแห่งเทพธิดา จงเฝ้ารอข้าดื่มมันจนหมด” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ มือขวายกขึ้นทำปางมือ กระบี่สัมฤทธิ์เล่มใหญ่ใต้เท้าเขาก็ครางฮือขึ้นฉับพลัน และมีเงากระบี่ปรากฏเป็นภาพมายาขึ้นรอบด้านอีกหลายแถว
เพียงชั่วพริบตา รอบตัวเขาก็มีกระบี่ทองสัมฤทธิ์เล่มใหญ่แบบเดียวกันก่อตัวขึ้นมากกว่าห้าสิบเล่ม กลิ่นอายสังหารลอยเข้ามากะทันหันกลางคัน และกระบี่ทองสัมฤทธิ์เล่มใหญ่รอบๆ นอกจากเล่มที่อยู่ใต้เท้าของเขาก็หวีดหวิวพุ่งตรงไปหาฉลามฟันยักษ์ทันทีจากการชี้นิ้วลงของชายหนุ่ม
พริบตาต่อมา เสียงครืนครันสะเทือนฟ้า
ผืนทะเลกระพือคลื่นยักษ์ ฉลามฟันยักษ์ตัวนั้นแผดเสียงคำรามแหลม ร่างกายนับร้อยจั้งถูกกระบี่เล่มทองสัมฤทธิ์ใหญ่เจ็ดแปดเล่มแทงทะลุ ขณะที่เลือดสาดกระเซ็นมันก็ดำลงไปยังส่วนลึกในทะเลอย่างรวดเร็ว
ทุกจุดที่ว่ายผ่านเลือดสดก็ผสานเข้ากับน้ำทะเล ในนี้แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายสร้างฐานจนทำให้อสูรทะเลมากมายไม่กล้าเข้าใกล้ แต่จินตนาการได้ว่าเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกหน่อย จะต้องมีอสูรทะเลที่ดุร้ายยิ่งกว่าเข้ามาแน่
สวี่ชิงมองดูผาดหนึ่ง
ขณะเดียวกันชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งกลางอากาศก็มองมหาสมุทร แค่นเสียงเย็นขึ้นเสียงหนึ่ง
“กระต่ายหยกขาววิ่งหนีบนท้องนภา คางคกดำเจ้าหนาแหวกว่ายในผืนนที”
พูดพลาง กระบี่ทองสัมฤทธิ์ใหญ่ใต้ตัวเขาก็ส่งเสียงอื้ออึง หนาใหญ่ขึ้นกว่าเดิมจนเกือบร้อยจั้ง พาเขาพุ่งทะยานไปในมหาสมุทร แหวกผืนทะเลมุดลงไป ไล่ตามฉลามฟันยักษ์ที่หนีไป
สวี่ชิงจากต้นจนจบไม่พูดอะไรเลย เขาไม่ไปลงมือแย่งชิง เขาฟังคำพูดมั่วๆ ซั่วๆ ของอีกฝ่ายอย่างสงบ จากนั้นก็มองเขาที่มุดลงไปในผืนทะเล ในใจยังรักษาความระแวดระวัง
จนตอนที่ร่างของชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งหายไป สวี่ชิงก็เก็บสายตากลัย ควบคุมเรือเวทใต้ตัวเขาออกห่างจากที่นี่ ดฮณ๊ฯดฯฌซ
สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าตนเองผ่านการลงมือก่อนหน้านี้ แต่ก็แข็งแกร่งกว่าไม่มากนัก ยังไม่ถึงระดับสภาวะแสงนภา อย่างมากสุดก็น่าจะเปิดช่องเวทไปยี่สิบกว่าช่อง
เหมือนกับว่าถ้าตนเองทุ่มสุดกำลังไปต่อสู้กับเขา สวี่ชิงรู้สึกว่าตนเองเอาชนะได้ แต่การจะไปสังหารเพื่ออสูรทะเลสร้างฐานตัวหนึ่ง ดูไม่จำเป็นเลย
ดังนั้นสวี่ชิงจึงควบคุมเรือเวท หลังจากเดินเรืออยู่หลายวันจนมาถึงพื้นที่อีกแห่งหนึ่ง
ที่นี่อยู่ระหว่างหมู่เกาะปะการังตะวันตกกับทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ เป็นเกาะร้างแห่งหนึ่งที่ไม่ห่างจากสถานที่ที่พบกับเถาวัลย์เมื่อครั้งนั้น
เกาะแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก ตำแหน่งชายขอบเว้าแหว่งเข้าไปจนเป็นอ่าวทะเลธรรมชาติ
เกาะร้างบนทะเลต้องห้ามมีมากมาย มีทั้งที่แบบอยู่มานานแล้ว มีทั้งแบบที่เกิดขึ้นชั่วคราว ฝ่ายแรกนั้นเป็นจริง แต่ฝ่ายหลังส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นจากที่อสูรทะเลใต้ทะเลโผล่ขึ้นมา
ส่วนเกาะร้างแห่งนี้ สวี่ชิงลองไปตรวจสอบใต้ทะเลแล้ว และมีแนะนำอยู่บนแผนที่ทะเลจริงๆ เนื่องจากไม่มีอะไรจึงไม่ค่อยมีคนมานัก
ส่วนบนเกาะสวี่ชิงก็สำรวจมาแล้ว ยืนยันได้ว่าไม่มีปัญหาอะไร เขาจึงนั่งขัดสมาธิลงที่ดาดฟ้าเรือในอ่าวทะเล ล้วงขวดใบเล็กออกมาจากถุงใส่ของ
ด้านในใส่ของเหลวสีน้ำเงินอยู่
ของเหลวนี้คือเลือดของแมงดาพรายปรารถนา
หลังจากที่หลอมเลือดแมงดาพรายปรารถนาทำการเพียบพร้อมหยินหยางไปแล้ว รวมเข้ากับหญ้าสมุนไพรบางอย่าง สามารถหลอมเป็นกลิ่นอายดึงดูดอสูรที่โหดร้ายในทะเลต้องห้ามได้
ครั้งนั้นสิ่งที่เด็กหนุ่มเผ่าเงือกใช้ก็คือของเช่นนี้
นี่เป็นวิธีในการเปิดช่องเวทได้ไวที่สุดที่สวี่ชิงคิดออก เขาจะดึงดูดอสูรทะเลจำนวนมหาศาลเพื่อมาสังหารแล้วดึงวิญญาณออกมา เพียงแต่ว่ากลิ่นอายนี้มันควบคุมได้ยากมาก มีความเป็นไปได้สูงที่จะล่อเอาสัตว์ร้ายที่ไม่อาจต้านทานได้เข้ามา
ดังนั้นจำเป็นต้องปรับ และของที่ใช้ปรับสวี่ชิงก็มี นั่นก็คือหอยโบราณนั่นเอง
ด้วยสรรพคุณทางยาของหอยโบราณที่เป็นตัวปรับสมดุล สามารถควบคุมกลิ่นอายที่หลอมออกมาได้ระดับหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้แม้จะยังอันตรายอยู่บ้าง แต่พอเทียบกับสิ่งที่ได้รับ สวี่ชิงก็รู้สึกว่ายังทดลองดูได้
‘พอกระตุ้น ก็จะแผ่กระจายออกไปเอง…’ สวี่ชิงนั่งอยู่บนดาดฟ้าเรือ เริ่มหลอมเลือดสดของแมงดาพรายปรารถนา ทุกกระบวนการดำเนินไปครึ่งชั่วยาม สวี่ชิงก็หลอมสำเร็จตอนที่ขอบฟ้าเริ่มเย็นย่ำ
เขามองเปลือกหอยโบราณที่ถูกหลอมออกมาตรงหน้า สีของมันกลายเป็นสีฟ้า ตอนนี้แค่ต้องการเลือดของเขาหยดเดียวก็สามารถกระตุ้นมันได้
ผ่านไปหนึ่งคืนอย่างเงียบงัน
พริบตาที่รุ่งอรุณของวันที่สองมาเยือน สวี่ชิงก็ลืมตา เริ่มสาดพิษไปทุกทิศทาง
เพราะเป็นอ่าวทะเล ดังนั้นหลังจากพิษผสานกับน้ำทะเลจึงไม่ได้ถูกซัดกระจายออกไปไวนัก แต่ความเด็ดขาดของสวี่ชิงครั้งนี้ก็แข็งแกร่งมาก ดังนั้นพิษที่ปล่อยลงไปจึงทั้งมากทั้งรุนแรง และเป็นเพราะต้องการอสูรที่เหมาะสมบางจำพวกถึงได้สาดพิษไปให้ปะทุไปทั่ว
หลังจากสาดผงพิษมหาศาลไปในอ่าวทะเลนี้ สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก หยิบธูปเล่มหนึ่งวางลงไปข้างๆ
ธูปดอกนี้คือตัวนำพิษที่เขาหลอมออกมา หากโยนลงไปในทะเล จะสามารถทำให้ผงพิษที่เขาสาดลงไปกลายเป็นพิษขึ้นฉับพลัน
‘ทุกอย่างพร้อมแล้ว’ ดวงตาสวี่ชิงเผยความเฝ้ารอ กัดปลายนิ้ว หยดเลือดลงไปบนหอยโบราณสีฟ้า สีของหอยโบราณนี้ก็เปลี่ยนเข้มขึ้นในพริบตาจากการหยดลงของเลือดสด เกิดกลิ่นจางๆ ลอยขึ้นมาวูบหนึ่ง
กลิ่นนี้ถ้าหากไม่ดมอย่างตั้งใจก็ยากจะที่จะจับสังเกตได้
ตอนนี้แผ่กำจายออกไปต่อเนื่อง สวี่ชิงมองทางเข้าอ่าวทะเลเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง ขณะที่ดวงตาหรี่ลง ก็หยิบตัวนำพิษมาถือไว้ในมือ เฝ้ารออย่างเงียบงัน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ดวงตาสวี่ชิงมีแสงเย็นวาบ เขาเห็นว่าผืนทะเลที่ห่างออกไปเกิดคลื่นใหญ่ วาฬรยางค์ขนาดประมาณร้อยจั้งตัวหนึ่งกระโจนขึ้นมาจากจุดนั้น ส่งเสียงเสียดหูออกมา ตอนที่ดำดิ่งลงสู่อีกครั้งมหาสมุทรก็ตีเกลียว เผยให้เห็นฝูงปลาเหมือนจระเข้จำนวนนับไม่ถ้วนใต้ผืนทะเล
นี่คือจระเข้เกล็ดดำ ใช้ชีวิตอยู่ในทะเลต้องห้าม มีนิสัยคล้ายหมาป่าเกล็ดดำ มักอยู่รวมกันเป็นฝูง ปรากฏตัวแต่ละทีจะมีจำนวนกว่าร้อยตัว พลังบำเพ็ญอยู่ระดับรวมปราณขั้นแปดขั้นเก้า
และวาฬรยางค์ตัวนี้คือรวมปราณขั้นบริบูรณ์
เห็นสิ่งเหล่านี้ ดวงตาสวี่ชิงก็เกิดประกาย ขณะที่รอไม่นานนักเหล่าจระเข้เกล็ดดำเหล่านั้นก็ก่อคลื่นทะเล พุ่งตรงมายังหาดที่สวี่ชิงอยู่ วาฬรยางค์ตัวนั้นก็พุ่งเข้ามาเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นาน อ่าวทะเลก็อื้ออึง จระเข้เกล็ดดำทั้งหมดก็พุ่งเข้ามาปะทะสวี่ชิงทางนั้นฉับพลัน
เกราะคุ้มกันเรือเวทสวี่ชิงก็เปิดออกท่ามกลางเสียงครืนครัน ขณะที่ทำการต่อเนื่องสกัดวาฬรยางค์ตัวนั้นก็พุ่งปะทะเข้ามาอย่างแรง
เสียงดังสนั่นลั่น เกราะคุ้มกันเรือเวทสวี่ชิงแข็งแกร่ง แม้จะสั่นไหวอย่างรุนแรงแต่ก็ไม่ปริแตกแม้แต่น้อย ต้านทานการปะทะที่เข้ามาจากรอบด้าน
เป็นเช่นเดียวกับในป่าพื้นที่ต้องห้าม อสูรร้ายส่วนใหญ่ในทะเลก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญฝึกกายา มีวิชาเวทอยู่น้อย มักจะใช้ข้อดีของร่างกายพวกมันสำแดงพลังออกมาให้มากที่สุด
‘เพิ่งร้อยกว่าตัวเท่านั้น ยังไม่พอ…’ สวี่ชิงลมหายใจหอบถี่เล็กน้อย ใช้งานหินวิญญาณอย่างไม่เสียดาย ขณะที่สนับสนุนเกราะคุ้มกันก็มองออกไปยังผืนทะเลที่ห่างไกล เพียงไม่นานเขาก็มองเห็นว่าบนพื้นทะเลมีคลื่นตีเกลียวขึ้นมาอีกครั้ง
ปลาดาบที่ใหญ่กว่าที่เขาเคยเห็นมาทั้งหมดหลายตัว พุ่งหวีดหวิวเข้ามา กระพือขึ้นเป็นผืน เข้าประชิดมาทั้งผืนด้วยจำนวนนับร้อย
แม้ส่วนใหญ่จะเป็นรวมปราณขั้นสี่ขั้นห้า แต่ก็ยังมีอยู่สี่สิบห้าตัวที่ไปถึงรวมปราณขั้นแปดขั้นเก้า
ในดวงตากำลังแดงก่ำของพวกมันที่ถูกกลิ่นอายดึงดูดเข้ามาในอ่าวพริบตา ดวงตาสวี่ชิงก็มีประกายเย็นวาบ โยนธูปตัวนำพิษในมือลงในทะเล
น้ำทะเลสีดำก็เปลี่ยนเป็นดำสนิทในพริบตาเหมือนน้ำหมึกข้นอย่างไรอย่างนั้น พิษนับร้อยที่แฝงอยู่ด้านในก็ระเบิดออกมาในพริบตานี้
จุดที่กระจายออก จระเข้เกล็ดดำก็ร่างกายชักกระตุกทีละตัวๆ หมดสิ้นเรี่ยวแรงเคลื่อนไหว วาฬรยางค์ตัวนั้นกระเสือกกระสนไปก็ไม่มีประโยชน์ ร่างกายถูกพิษจนชาเคลื่อนไหวไม่ได้
ส่วนปลาดาบเหล่านั้นก็เช่นกัน ขั้นตอนทั้งหมดเพียงแค่หนึ่งชั่วก้านธูป ทั่วทั้งหาดก็สงบลงจากการพัดเกลียวอย่างรุนแรง
สวี่ชิงเผยแววตาเฝ้ารอ มือขวาชูขึ้นคว้า ทันใดนั้นอสูรทะเลทั้งหมดก็ถูกมือยักษ์ที่ก่อตัวขึ้นจากน้ำคว้าจับแล้วดึงเข้ามาหาเขา
ด้วยอสูรทะเลที่เข้ามาใกล้ไม่ได้ถูกพิษจนตายเหล่านี้ ไฟช่องเวทในร่างกายสวี่ชิงก็แผ่ออกมาฉับพลัน ปกคลุมออกไปและเริ่มเผาไหม้
พิษของเขาแม้จะรุนแรง แต่จุดสำคัญไม่ใช่การสังหาร แต่เป็นการทำให้พวกมันหมดสิ้นแรงต่อต้าน
ด้วยการเผาไหม้ของเพลิงสีดำเวลานี้ วิญญาณหลายดวงก็ถูกดึงเข้าไปในร่างกายสวี่ชิง กลายเป็นเงาวิญญาณในจุดตันเถียนเขา ภายใต้การเผาไหม้อย่างรุนแรงเหมือนเชื้อฟืนก็ถูกเขาควบคุมชนปะทะไปยังช่องเวทที่สามของร่างกายตนเอง
พริบตาต่อมา ร่างกายของสวี่ชิงก็สั่นสะท้าน ในดวงตาเผยประกายคม ช่องเวทที่สามในร่างกายเปิดออกฉับพลัน!
พลังวิญญาณด้านในก็ทะลักเป็นกระแสวนจากการเปิดออก พลังเวทเป็นสายๆ ลอยขึ้นผสานเข้ากับร่างกายเขา จนทำให้พลังเวทของสวี่ชิงเพิ่มขึ้นมาบางส่วน
เขายังไม่หยุด เพลิงดำนอกร่างกายยังดึงดูดวิญญาณอสูรเข้ามาอีกครั้ง เวลาไหลผ่านไปเช่นนี้ จนกระทั่งช่วงที่ฟ้ามืดสนิท ช่องเวทที่สี่ในตัวสวี่ชิงก็เปิดออก!
ถึงตอนนี้ อ่าวทะเลแห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่แห่งความตาย มองผิวเผินเหมือนไม่มีอะไร แต่ใต้ทะเลกลับมีศพอสูรฝังอยู่นับไม่ถ้วน
สวี่ชิงเวลานี้กำลังโคจรช่องเวททั้งสี่ในร่างกาย พลังเวทมหาศาลเติบโตและโคจรไปทั้งร่าง กลิ่นอายเองก็แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้ามาก
โดยเฉพาะหลังจากที่เพลิงของเขาแผ่เข้าไป เปลวไฟในช่องเวททั้งสี่ส่องสะท้อนในร่างกาย ทำให้สวี่ชิงที่นั่งอยู่บนดาดฟ้าเรือ แสงไฟในร่างกายเปล่งเจิดจ้า
แม้จะยังห่างชั้นกับสภาวะแสงนภาของนายกอง แต่เมื่อเทียบกับคนที่เพิ่งขยับขึ้นเป็นสร้างฐานแล้ว พลังเวทของเขาตอนนี้จึงยิ่งใหญ่มโหฬารเนื่องจากสวี่ชิงมีพลังที่มหาศาล
‘ความเร็วนี้ ถือว่าพอใช้ได้!’ ผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงลืมตา หลังจากมองไปรอบๆ ก็จัดการหลอมตัวนำยาของแมงดาพรายปรารถนาต่อไป