ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 207 ดื่มสุรา ท่องตำราหน้าหลุมศพ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 207 ดื่มสุรา ท่องตำราหน้าหลุมศพ

ฤดูในตอนนี้ ยามอยู่ที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็เป็นเพียงแค่ปลายฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น แต่ที่ผืนอินทนิลที่นี่เป็นเหมันต์อันหนาวเหน็บแล้ว

ลมหิมะโปรยปรายแล้วร่วงหล่น โปรยปรายทั่วผืนดิน ปกคลุมเมืองโบราณเก่าแก่เมืองนี้เอาไว้

มองไกลๆ วังสีแดงเข้มแต่ละวังๆ นั่นเหมือนประดับอยู่บนพื้นหิมะที่กว้างไกลไร้ขอบเขตประดุจมหาสมุทร

หิมะปลิวโปรยปราย

ทั่วทั้งผืนดินถูกปกคลุมไว้เป็นชั้นๆ คนสัญจรบนถนนมีไม่มาก แต่ละคนล้วนสวมเสื้อหนา แต่กลับไม่อาจปัดเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่หยุดไปได้ ทำให้แต่ละคนเหมือนกำลังเดินเข้าสู่วัยชรา

ความรู้สึกตกต่ำ ทั้งยังแผ่อวลไปด้วยความกดดันค่อยๆ ผสานไปในสภาพแวดล้อมตามเกล็ดหิมะ ตามสีหน้าเฉยชาของคนที่สัญจร หลายเป็นบรรยากาศของที่นี่

และหลังคากระเบื้องของสิ่งก่อสร้างทั้งหมดทั่วเมืองก็เหมือนเกาะโดดเดี่ยวท่ามกลางทะเลหิมะ

ที่นี่ก็คือผืนอินทนิล

ที่นี่ก็คือเมืองหลวงของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณในอดีต

เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณมีรัฐหนึ่งชื่อว่ารัฐม่วงคราม และเคยรวมทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณให้เป็นหนึ่ง มีหงส์เพลิงเป็นสัญลักษณ์ แต่สุดท้ายในกลียุคที่เหี้ยมโหดนี้ก็ไม่อาจอยู่ได้ยืนยาว

ทำได้เพียงแตกสลายไปในกลียุค ทำให้รัฐม่วงครามถูกฝังกลบอยู่ในประวัติศาสตร์ กลายเป็นอดีต

ส่วนเชื้อพระวงศ์ในตอนนั้นและทรัพย์สินมรดกก็ถูกกลุ่มกบฏพวกนั้นในตอนนั้นแบ่งผลประโยชน์สายเลือดเองก็เช่นกัน แห้งเหือดหายไปจนถึงทุกวันนี้

และหลังจากที่กลุ่มกบฏแบ่งผลประโยชน์ทุกอย่างแล้ว ก็กลับกลายเป็นสายหลัก ก่อตั้งแปดตระกูลใหญ่ขึ้นมา ครอบครองดินแดนผืนอินทนิล กลายเป็นตระกูลใหญ่ของผืนอินทนิลสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาเคารพบูชาสัญลักษณ์หงส์เพลิงเช่นกัน มีหงส์เพลิงเป็นเทพของพวกเขา

กวาดตามองไป ขนาดของทั้งเมืองหลวงผืนอินทนิลใหญ่กว่าเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตประมาณสามเท่า ในนั้นถูกแบ่งเป็นแปดเขต

แบ่งเป็นแปดตระกูล

ทุกเขตในเมืองล้วนมีสิ่งก่อสร้างที่เหมือนวังหนึ่งแห่ง ซึ่งก็คือพื้นที่เดิมของตระกูลทั้งแปดนี้

วังของบางตระกูลถูกโอบล้อมไปด้วยสระน้ำสีเขียวมรกต จอกแหนลอยไปทั่วฉายความใสกระจ่าง หงส์และมังกรแกะสลักตามมุมหลังคา เกล็ดทองเป็นประกายยิบยับ งดงามสมจริงราวมีชีวิต

วังของบางตระกูลกระเบื้องเคลือบสีเหลืองทองส่องประกายเจิดจ้าใต้แสงอาทิตย์ยามฤดูหนาว มองไปไกลๆ แล้วหลังคาที่สลับซับซ้อน ตระกาลตายิ่งนัก

เทียบกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้วเป็นรูปแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เทียบกันแล้ว ผืนอินทนิลเหมือนชายชราที่สวมชุดอลังการแต่กลับดื้อดึงคร่ำครึคนหนึ่ง ทุกอย่างล้วนต้องเป็นกฎระเบียบ ทุกอย่างล้วนต้องขึ้นกับสายเลือด ทุกอย่างต้องคิดพิจารณาถึงประเพณีของตระกูลเป็นอันดับแรก

นี่ก็คือวิถีการดำรงอยู่ในกลียุคของพวกเขา ไม่เหมือนกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิต และบอกไม่ได้แบบใดดีกว่ากัน

แต่สิ่งที่สามารถมองเห็นได้คือ สำนักเจ็ดเนตรโลหิตในฐานะที่เป็นสาขาย่อยของพันธมิตรเจ็ดสำนัก นับตั้งแต่แรกก็สู้ผืนอินทนิลไม่ได้ในระดับหนึ่ง จนจวนเวลาหมุนผ่าน ภายใต้การพัฒนาก็ค่อยๆ ทัดเทียมกัน

ตอนนี้ยิ่งจากการทะลวงขั้นของบรรพจารย์เสี่ยเลี่ยนจื่อก็แซงหน้าไปเลยในทีเดียว กระทั่งว่ามีกำลังเปิดศึกกับต่างเผ่า

แต่ผืนอินทนิลไม่ทำเช่นนั้น

พวกเขาชอบปิดกั้นตัวเอง ไม่ชอบให้คนอื่นมารบกวน กระทั่งว่าในขณะเดียวกับที่พวกเขาเคารพยำเกรงเสี้ยวหน้าเทพเจ้าบนท้องฟ้า ก็ดูถูกขั้วอำนาจทุกขั้วอำนาจของโลกภายนอก ต่อให้เป็นแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ พวกเขาก็ดูถูกเช่นกัน

พวกเขาคิดว่าสายเลือดของพวกเขาถึงจะสูงส่งที่สุด และไม่คิดว่าตัวเองเป็นกบในกะลา

ดังนั้น คนที่มีชีวิตอยู่ที่นี่ หากไม่ได้สืบทอดสายเลือดมา เช่นนั้นส่วนมากล้วนไม่มีอนาคต แน่นอนว่าย่อมไม่มีความฮึกเหิมกระตือรือร้น อีกทั้งความเป็นทาสยังค่อยๆ แทรกซึมไปในวิญญาณ ทุกยุคสมัยทุกรุ่นล้วนเป็นเช่นนี้

ปรมาจารย์ไป่เป็นบุคคลจำนวนน้อยของผืนอินทนิลในหมื่นปีมานี้

และเป็นคนแรกที่อยากทำลายความคิดดั้งเดิมของตระกูล อยากจะพัฒนาไปพร้อมกับสมาพันธ์เผ่ามนุษย์โลกภายนอก

ความคิดของเขาขัดกับผืนอินทนิล และต้องจ่ายค่าตอบแทนกับเรื่องนี้ กลายเป็นคนธรรมดา

แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ อาศัยความสามารถอันเลิศล้ำ อาศัยวิถีสมุนไพร ในวันเวลาอันมีจำกัดก้าวเดินจากเส้นทางอีกเส้นหนึ่งออกมา

อีกทั้งตำรับยาจำนวนมากที่ค้นคว้าออกมา ในด้านวิถีสมุนไพรก็ยิ่งอาศัยพลังของมนุษย์ธรรมดาของตัวเองเพียงลำพังก็ก้าวล้ำผู้บำเพ็ญแล้ว

กระทั่งว่าในระดับหนึ่ง ก็เป็นบุคคลอันดับหนึ่งของวิถียาลูกกลอนแห่งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ

ต่อให้เป็นเจ้ายอดเขาลำดับสองของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต นางที่เป็นผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดก็ยังนับถือปรมาจารย์ไป่เป็นอย่างมาก บุคคลที่เหมือนนายท่านเจ็ดก็ต้องเรียกว่าปรมาจารย์

ทุกอย่างนี้ล้วนมองเห็นความชำนาญในด้านวิถีลูกกลอนของปรมาจารย์ออกว่าเป็นขอบเขตสูงสุดแล้ว

แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ในดินแดนผินอินทนิล เขาก็ถูกกฎเกณฑ์มากมายพันธนาการ หลายๆ เรื่องล้วนทำอะไรไม่ได้ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะสายเลือด

ปรมาจารย์ไป่ไม่ใช่สายเลือดหลักของตระกูลไป่ เขามีชาติกำเนิดจากสายรอง

ตอนนี้ลมหิมะพัดรุนแรงกว่าเดิม

ท่ามกลางหิมะโปรยปราย ในสุสานสาธารณะของเขตที่ตระกูลไป่อยู่ มีคนสิบกว่าคนยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ข้างหน้าพวกเขามีโลงผลึกแก้วโลงหนึ่ง ร่างของปรมาจารย์ไป่นอนอยู่ในนั้น แผลที่คิ้วถูกปกปิดไปแล้ว

ส่วนร่างแม้จะมีพลังเวทรักษาสภาพ ยิ่งใช้โลงผลึกแก้วผนึกเอาไว้ แต่หากมองให้ละเอียดก็ยังมองเห็นว่าร่างของปรมาจารย์ไป่กำลังเน่า อีกทั้งเปลี่ยนเป็นสีดำ

นี่คือลักษณะของการโดนพิษ พิษนี้รุนแรงมาก สามารถเร่งการเน่าเปื่อย

ดังนั้นร่างจึงไม่อาจเก็บได้นาน ทำได้เพียงต้องฝังในพลบค่ำของวันนี้ ภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดงที่หมองหม่นในวันหิมะตก

ความเจือจางของสายเลือดทำให้หลังจากที่ปรมาจารย์ไป่ตายก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในสุสานหลวงของตระกูล และในตอนที่มีชีวิตอยู่ปรมาจารย์ไป่ก็ไม่ให้ค่ากับเรื่องนี้ หลายปีก่อนก็เคยสั่งเอาไว้ว่า หลังจากที่ตัวเองตายไปแล้วฝังไว้ในสุสานสาธารณะก็ได้

กลุ่มคนส่วนใหญ่เงียบนิ่ง ไป่อวิ๋นตงก็อยู่ในนี้เช่นกัน

คนที่มาที่นี่ได้ ถ้าไม่ใช่ลูกหลานของปรมาจารย์ไป่ก็เป็นคนที่คบค้ากับเขา จำนวนไม่ได้มาก แต่ชีวิตเขาชีวิตนี้บางทีอาจจะไม่ต้องการมีสหายที่มากล้นเหลือ สหายรู้ใจสามคน ห้าคนก็เพียงพอแล้ว

รอบๆ คนทั้งหลายที่อยู่หน้าหลุมศพ บรรยากาศที่กดดันก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นจากการที่โลงถูกฝัง จวบจนเด็กสาวคนหนึ่งควบคุมไม่อยู่ ส่งเสียงร้องไห้ออกมาถึงได้ทำลายความกดดันนี้

คนที่ร้องออกมาคือถิงอวี้

สองปีผ่านไป นางเติบโตขึ้น วัยแรกแย้มกำดัด เดิมควรจะไร้ทุกข์ไร้กังวลเหมือนที่ผ่านๆ มา แต่ตอนนี้จากการตายของปรมาจารย์ไป่ ฟ้าของนางถล่มลงมาแล้ว

นางคุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพ น้ำตาไหลรินเป็นหยดๆ สุดแสนจะเศร้าโศก

ข้างๆ นางมีเด็กหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้ายืนอยู่ เด็กหนุ่มคนนี้แผ่นหลังเหยียดตรง สง่างามองอาจห้าวหาญ เสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างหรูหราเป็นอย่างยิ่ง หยกประดับที่ห้อยอยู่ที่เอวยิ่งส่องประกายอาวุธเวทออกมา

เขาก็คือเฉินเฟยหยวน

ยิ่งเป็นหลานคนโตสายหลักของตระกูลเฉินรุ่นนี้ การปิดกั้นค่ายกลหลังปรมาจารย์ไป่ตายครั้งนี้เป็นเขาที่ผลักดันอย่างสุดกำลังอยู่เบื้องหลังถึงทำได้

ตอนนี้เขากำหมัดแน่น หายใจถี่กระชั้น จิตสังหารในดวงตารุนแรงเป็นอย่างยิ่ง เข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง

และท่ามกลางความโศกเศร้าและโกรธแค้นนี้ พวกเขาไม่ได้สังเกตว่า ในที่ไกลๆ ของสุสานแห่งนี้มีชายกลางคนคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งอยู่เงียบๆ มองที่นี่มาจากไกลๆ

ชายกลางคนคนนั้นสวมชุดคลุมยาวผ้ากระสอบ หน้าตาไม่โดดเด่น ใบหน้ายังค่อนข้างเหลืองซีด แต่ในดวงตาของเขากลับฉายความเศร้าโศกเหลือแสนออกมา ตอนนี้ตัวสั่นสะท้านเล็กน้อย มือขวาที่แตะกำแพงข้างๆ บีบมันจนแตกละเอียดไปแล้ว

ผ่านไปนาน ฟ้าค่อยๆ มืดลง จากการลาลับของดวงอาทิตย์ยามอัสดงไปอย่างช้าๆ จากแสงสายันห์ที่ค่อยๆ เลือนหายไป คนทั้งหลายที่อยู่หน้าหลุมศพของปรมาจารย์ไป่ท่ามกลางแสงสุดท้ายของวัน ก็จากไปอย่างเงียบๆ

คนสุดท้ายที่จากไปคือถิงอวี้และเฉินเฟยหยวนกับบ่าวติดตามเหล่านั้นของเขา

ชายกลางคนนิ่งเงียบ เดินไปข้างหน้า เขาไม่มองคนทั้งหลายที่จากไป เดินเข้าไปใกล้ยังสุสานสาธารณะแห่งนั้น เดินผ่านเฉินเฟยหยวนและถิงอวี้ทางนั้นไป

เฉินเฟยหยวนประคองถิงอวี้ที่ยังคงน้ำตารินไหล ทุกข์ระทมโศกเศร้าเป็นที่สุด และสังเกตเห็นสวี่ชิงเช่นกัน แค่เขาที่อยู่ในความเสียใจจึงไม่ได้ไปสนใจ สุสานแห่งนี้ใหญ่มาก ในทุกๆ วันคนที่มาเยี่ยมหลุมศพมีมากมาย

นี่ก็เป็นเรื่องที่เขายิ่งโศกเศร้าแค้นเคือง อาจารย์ของเขาเฉินเฟยหยวนคนนี้ต้องถูกฝังอยู่ที่นี่ แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้

“เจ้าว่า เขาจะมาหรือไม่…” ถิงอวี้ที่อยู่ในความทุกข์เศร้าเช็ดน้ำตา เอ่ยถามเสียงเบาอย่างอ่อนแรง

“เขาหรือ หึ เขาจะมาก็มาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ยังไม่น่าก็น่าจะเหมือนคนอื่นๆ อกตัญญูเหมือนกันหมด!” เฉินเฟยหยวนไม่จำเป็นต้องขบคิดอะไรทั้งนั้นก็รู้ว่าคนที่ถิงอวี้พูดคือใคร ตอนนี้เอ่ยกัดฟันกรอดๆ

ถิงอวี้นิ่งเงียบ

ชายกลางคนเดินผ่านพวกเขาไปเงียบๆ จวบจนคนทั้งหลายข้างหลังจากไปไกล เขาก็มาที่หน้าหลุมศพปรมาจารย์ไป่ มองป้ายหลุมศพข้างหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำ

“อาจารย์…” ชายกลางคนพึมพำ เสียงแหบแห้ง คุกเข่าลงหน้าป้ายหลุมศพ

เขาก็คือสวี่ชิงที่ส่งข้ามายังผืนอินทนิลนั่นเอง!

หลังจากส่งข้ามมาที่ผืนอินทนิล สวี่ชิงก็สืบข่าวพิธีฝังศพของปรมาจารย์ไป่ทันที และรีบเดินทางมา แต่เขารู้ว่าชุดนักพรตของตัวเองโดดเด่นเกินไป ไม่สะดวกในการสืบคดีตามจับฆาตกร

ดังนั้นเขาจึงแปลงโฉมมายังที่นี่

ตอนนี้เขามองป้ายหลุมศพ สวี่ชิงรู้สึกว่าหน้าอกเจ็บปวดนิดๆ ความเจ็บปวดนี้ยิ่งลึกลงเรื่อยๆ เริ่มแผ่ลามไปทั่วกาย

ชั่วชีวิตของเขาจนถึงตอนนี้ เขาคุกเข่าหมอบคารวะเพียงสองป้ายหลุมศพเท่านั้น ป้ายหนึ่งคือหัวหน้าเหลย ป้ายหนึ่งคือปรมาจารย์ไป่

“อาจารย์ เรื่องนี้ข้าจะหาฆาตกรให้ได้ หาคนที่อยู่เบื้องหลังให้เจอ” สวี่ชิงเอ่ยอย่างขมขื่น หลังจากโขกศีรษะหน้าป้ายหลุมศพ ก็หยิบเอากาเหล้าทรงน้ำเต้าใบหนึ่งออกมา แล้ววางไว้ที่หน้าหลุมศพ

“หัวหน้าเหลยบอกว่าอาจารย์ชอบดื่มเหล้า ศิษย์ร่วมดื่มกับท่าน” สวี่ชิงพพูดพลางหยิบกาเหล้าขึ้นมาแล้วดื่มมัน จากนั้นก็เทลงหน้าหลุมศพ แล้ววางกาเหล้าไว้ข้างๆ

“อาจารย์ คัมภีร์สมุนไพรที่ท่านทิ้งเอาไว้ ศิษย์ท่องได้หมดแล้ว จำได้อย่างขึ้นใจ ข้าจะท่องให้ท่านฟัง

“วิถีสมุนไพร หนึ่งในสรรพสิ่งทั้งหลาย ทว่าก็เหมือนดั่งมหามรรคา เข้าใจถึงแก่น กระจ่างในสัจธรรม

“ต้นที่หนึ่ง หญ้ากระดุมทอง มีอีกชื่อเรียกว่ามุกสามใบ หญ้าไล่หนาว เป็นพืชจำพวกหญ้าตระกูลกกที่มีอายุยืนหลายปี ขึ้นอยู่ในป่าบนเนินเขาและพื้นที่ชื้นโล่งกว้าง มีในเมืองฝันตระการทางใต้ของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณและปัญญาอนันต์ สองทวีปนี้

“ต้นที่สอง หญ้าหงอนเพลิง หรือไหมเมฆา เป็นพืชวงศ์วิญญาณเพลิง เป็นพืชที่มีอายุยืนหลายปี สรรพคุณทำให้ปอดชุ่ม แก้ไอ มีฤทธิ์เย็นแก้พิษ แก้ฟกช้ำ ลดบวม สรรพคุณด้านแก้พิษงู หกล้มเป็นแผลที่น่าอัศจรรย์นัก

“ต้นที่หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ด หมอกละลายวิญญาณ มีอีกชื่อว่าสวรรค์ปิดเนตร หญ้าประหลาดขั้นมหาวิญญาณวงศ์กำเนิดหมอก สรรพคุณของมันคือละลายวิญญาณ ทำสัญลักษณ์ ยากจะค้นพบ ยากจะกำจัด เป็นตัวยาหลักของลูกกลอนลาลับสิบสองชั่วยาม”

สวี่ชิงพึมพำเสียงเบา ท่องสมุนไพรที่ตนจำทั้งหมดในตำราสมุนไพรออกมา

ในขณะที่เขาเหม่อลอยก็เหมือนเห็นเงาร่างของปรมาจารย์ไป่ปรากฏอยู่ตรงหน้า กำลังดื่มเหล้าพลางยิ้มมองมาที่เขา แววตาแฝงด้วยความทรงอำนาจ ทว่าความชื่นชมกลับฉายออกมาอย่างปิดไม่มิด

“เชียนหนิวราตรี มีอีกชื่อว่าหญ้าดอกชะเมา ไม้เถาวงศ์เบญจมาศ เป็นไม้เลื้อย ขึ้นอยู่ในหุบเขาศพยะเยือก ริมลำธารมืดเย็นหรือในป่า รสชาติเฝื่อนฝาด เมื่อเข้าปากจะอุ่นเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเปื่อยเน่า มีสรรพคุณในการขับความชื้นไล่ลม แต่ใช้เกินขนาดจะเป็นพิษ นับเป็นพืชมาตรฐานของสมุนไพรเพียบพร้อมหยินหยาง”

ลมหนาวพัดมา เกล็ดหิมะแต่ละเกล็ดๆ โปรยปรายลงมา เสียงของสวี่ชิงสะท้อนอยู่หน้าหลุมศพของปรมาจารย์ไป่ จวบจนราตรีมาเยือน เจ้าเงาก็ส่งระลอกคลื่นอารมณ์กลุ่มหนึ่งมา

เหมือนจะบอกเขาว่าหาเจอแล้ว!

สวี่ชิงพลันเงยหน้าขึ้น มองไปยังป้ายหลุมศพของปรมาจารย์ไป่อย่างเงียบๆ โขกศีรษะอย่างแรงสามครั้ง ในเสี้ยวขณะที่ยืนขึ้น จิตสังหารของเขาก็น่าตื่นตะลึง ก่อนจะหายไปในความมืด

หลังจากที่เขาจากไปไม่นาน ที่ไกลๆ มีเงาร่างหลายร่างมาถึงอย่างรวดเร็ว คนที่อยู่ข้างหน้าสุดก็คือถิงอวี้ ข้างหลังนางคือเฉินเฟยหยวนและบ่าวติดตามหลายคน

“ถิงอวี้ เจ้ามองผิดหรือเปล่า จะเป็นไปได้อย่างไร เขาตอนนี้เป็นถึงคนเด่นคนดังของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต จะมาระลึกถึงท่านอาจารย์ที่อยู่ทางนี้ได้อย่างไร”

“ไม่มีทางผิดแน่นอน แววตาของเขาข้าจำได้ หลังจากที่ข้ากลับไปก็ย้อนนึกอย่างละเอียด เป็นเขาอย่างแน่นอน!”

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท