ตอนที่ 183 พี่ใหญ่ของเขาเป็นวีรบุรุษ
ตอนที่ 183 พี่ใหญ่ของเขาเป็นวีรบุรุษ
เมื่อได้ยินคำพูดของแม่ตงตง ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินเจียเหอก็พลันตกตะลึง สายตามองไปที่หลินเซี่ยโดยสัญชาตญาณ พร้อมกับประโยคหกพยางค์ “โปรดฟังเหตุผลผมก่อน” ลอยอยู่บนหน้าผากของเขา
แม่ของตงตงชี้ไปที่หลินเซี่ยและเอ่ยฟ้องกับเฉินเจียเหอ “ผู้หญิงคนนี้บอกว่าหล่อนเป็นภรรยาของคุณ แต่วันนั้นหล่อนตบตีฉันอย่างไม่มีสาเหตุและไร้เหตุผล แถมยังจิกผมฉันด้วย คุณดูหนังหัวฉันสิคะ มีแต่รอยเล็บหล่อนเต็มไปหมด”
แม่ของตงตงมองเฉินเจียเหอด้วยท่าทางเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ “ฉันไม่คาดคิดเลยว่าคนที่มีความสามารถ ทั้งยังทำงานเป็นช่างเทคนิคจะแต่งงานกับผู้หญิงโหดเหี้ยมอำมหิตแบบนี้ หล่อนแค่ยังสาว หน้าสวย หุ่นดี แล้วก็ตัดผมได้แค่นั้นไม่ใช่หรือ? แค่นี้ก็ทำเอาคุณสมองทึบจนไม่สนอะไรแล้วสิ?”
หลินเซี่ย “!!!”
ในเมื่ออยากแฉนักก็แฉออกมาให้หมดเลย!
“เฉินกง ฉันน่ะหวังดีนะ คุณช่วยควบคุมดูแลภรรยาคนนี้ของคุณให้ดีหน่อย ไม่งั้นชื่อเสียงของคุณจะถูกหล่อนทำลาย ครั้งหน้าถ้าอยากจะหาความกันอีก ฉันจะไม่ปล่อยหล่อนแล้ว ฉันไม่มีอะไรเลยก็จริง แต่ยังมีแรงมากพอที่จะเอาชนะหล่อนได้”
ใบหน้าดุดันของแม่ตงตงสั่นกระเพื่อมขณะที่พูด พยายามแสดงพลังหญิงอันร้ายกาจของตัวเองออกมาเต็มที่
หลินเซี่ยกลั้นหัวเราะพลางมองดูผู้หญิงที่กล่าวหาเธอต่อหน้า ทำไมถึงรู้สึกราวกับว่าหล่อนเหมือนแม่ที่กำลังสั่งสอนว่ากล่าวลูกอยู่เลยล่ะ?
จู่ ๆ หญิงสาวก็พลันรู้สึกว่าตนไม่ได้เกลียดหล่อนมากขนาดนั้น
แม่ของตงตงถึงกับบอกเฉินเจียเหออย่างตรงไปตรงมา “ฉันจะบอกคุณว่า หากไม่สั่งสอนหล่อนบ้าง หล่อนก็จะเหิมเกริมรื้อกระเบื้องหลังคาบ้านคุณ คุณเป็นผู้ชายมีหน้ามีตาคนหนึ่ง จะให้ท้ายส่งเสริมหล่อนไม่ได้ ต้องข่มหล่อนไว้นะ”
ทันทีที่ประโยคนี้จบลง ก็ไม่รู้ว่าเป็นใครในบรรดาพ่อแม่ที่มารับลูกในบริเวณนั้นหลุดเสียงหัวเราะคิกคักออกมา
ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินเจียเหออึ้งงันไปอย่างยากจะอธิบาย
เขาเข้ามาบังตัวหลินเซี่ยไว้ให้เธออยู่ข้างหลังเขา ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นเปิดปากด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ
“หล่อนย่อมมีเหตุผลในการตบตีคุณ คุณอย่าส่งเสริมให้ท้ายให้ลูกชายของคุณมารังแกหู่จือของพวกเราอีก แค่นี้ก็ไม่ถูกตบตีแล้ว”
เขากระแอมเบา ๆ น้ำเสียงของเขาดังขึ้นเมื่อเอ่ยแก้ตัวให้ตัวเอง “อีกอย่างผมก็ไม่ชอบทำร้ายผู้หญิง โดยเฉพาะภรรยาของผมเอง”
“ทำไมคุณถึงได้อ่อนแอขนาดนี้ ขนาดภรรยาตัวเองยังควบคุมไม่ได้! ต้องขอบคุณเรื่องก่อนหน้านี้ของฉัน…”
เฉินเจียเหอตระหนักว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะพูดอะไรบางอย่างที่น่าตกใจจนทำให้เขาต้องกลับไปคุกเข่าบนกระดานซักผ้า*ไม่รอให้หล่อนได้เอ่ยจบจนก็รีบขัดขึ้น “โปรดระวังคำพูดและเคารพตัวเองด้วย”
* สามีที่เกรงต่ออำนาจภรรยา/พ่อบ้านใจกล้า เพราะในสมัยก่อนพื้นผิวตรงกลางของกระดานซักผ้าจะเป็นปุ่มแหลมยื่นออกมา เป็นที่รู้กันว่าหากภรรยาโกรธสามีจะลงโทษโดยการให้มาคุกเข่าบนกระดานซักผ้า
“ผมจะเสนอแนะให้คุณครูแยกลูกชายของผมออกจากลูกชายของคุณ”
ชายหนุ่มรีบกล่าวตบท้ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จากนั้นจึงดึงหลินเซี่ยให้หลบเลี่ยงจากแม่ของตงตง และไปยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าของโรงเรียนอนุบาลแทน
เสียงกริ่งดังขึ้น ในที่สุดโรงเรียนอนุบาลก็ถึงเวลาเลิกเรียน
ทันทีที่ประตูเปิดออก เฉินเจียเหอก็โบกมือให้หู่จือซึ่งวิ่งออกมาพร้อมกับกระเป๋านักเรียนใบเล็ก “หู่จือ ทางนี้”
หู่จือเห็นว่าวันนี้ทั้งพ่อและแม่ต่างมารับเขา เขาจึงตะโกนเรียกพ่อแม่อย่างตื่นเต้นและรีบก้าวขาสั้น ๆ นั้นมาอย่างรวดเร็ว
โดยรีบวิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของหลินเซี่ย
“แม่ครับ แม่กับพ่อจดทะเบียนสมรสกันแล้วหรือยัง?” ในใจของหู่จือตลอดทั้งวันนี้มีแต่เรื่องทะเบียนสมรส
“จดแล้วจ้ะ”
หู่จือได้ยินเช่นนั้นจึงวางใจในที่สุด “ต่อจากนี้ไปคุณจะเป็นแม่ของผมถูกต้องตามกฎหมาย และจะไม่ทิ้งผมกับพ่อไปใช่ไหมครับ?”
“แน่นอนจ้ะ”
หลินเซี่ยหยิบกระเป๋านักเรียนใบเล็กของเขาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไปกันเถอะ”
พวกเขาจับมือหู่จือไว้คนละข้าง ไม่ต้องบอกว่าตอนนี้เด็กชายมีความสุขมากเพียงใด
ระหว่างทางกลับ เฉินเจียเหอลอบสังเกตสีหน้าของหลินเซี่ย เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้พูดถึงเรื่องของแม่ตงตงที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ทำให้เขารู้สึกถึงความสงบก่อนที่พายุจะมา
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะอธิบาย “เซี่ยเซี่ย อย่าเข้าใจผมผิด ผมไม่รู้จักแม่ตงตงจริง ๆ นะ”
หลินเซี่ยมองเขาแล้วเอ่ยอย่างว่าง่าย “ฉันเชื่อใจคุณค่ะ”
“พ่อครับ วันนี้พวกเราจะกลับไปบ้านคุณปู่กันเหรอ?”
“ถูกต้อง”
เมื่อพูดถึงการกลับไปที่ชุมชนบ้านพักทหาร เฉินเจียเหอก็มองหลินเซี่ยพลางเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “คราวก่อนที่กลับมาที่บ้านนั้นเป็นสถานการณ์พิเศษพอดี ผมรู้ว่าผมได้มอบประสบการณ์ที่เลวร้ายให้กับคุณ ทว่าตอนนี้คุณปู่คุณย่าและพ่อแม่ของผมต่างกำลังรอคอยพวกเราอยู่ คุณอย่าเครียดหรือกดดันไปเลยนะ พวกเรามาพักที่นี่แค่คืนเดียว พรุ่งนี้ก็จะกลับไป”
หลินเซี่ยยิ้มให้เขา “ต้องกลับมาอยู่แล้วสิคะ ฉันสัญญากับคุณปู่คุณย่าไว้แล้วค่ะ”
เฉินเจียเหอสบเข้ากับดวงตาพร่างพราวราวกับดวงดาราของเธอก็ทำเอาหัวใจของเขาละลาย อดไม่ได้ที่จะจับมือเธอในที่สาธารณะอีกครั้ง
เซี่ยไห่ซึ่งยืนเอนตัวพิงรถมองเห็นพวกเขาจากระยะไกล จึงโบกมือด้วยสีหน้าเชื้อเชิญ
“มา ขึ้นรถ ฉันจะไปส่งพวกเธอเอง”
เนื่องจากหลินเซี่ยให้คำแนะนำเรื่องการหาเงินแก่เขา เซี่ยไห่จึงมีไมตรีจิตต่อเธอมากกว่าเมื่อก่อน พร้อมทั้งยืนกรานที่จะทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้
การได้นั่งรถแบบไม่มีค่าใช้จ่ายนั้นก็ไม่เสียหาย ทั้งอาจจะได้กำไรเสียด้วยซ้ำ ทั้งครอบครัวสามจึงขึ้นรถโดยไม่ลังเล
ระหว่างทาง เซี่ยไห่ยังคงพูดคุยกับหลินเซี่ยถึงเรื่องการสร้างห้องคาราโอเกะด้วยความสนใจอย่างมาก
เขาบอกว่าเขาเพิ่งโทรหาเพื่อนคนหนึ่งในเมืองเซินเฉิง เพื่อนของเขาบอกว่าจะไปสำรวจที่นั่นให้ในคืนนี้
แถมเพื่อนของเขายังบอกเขาว่าสิ่งนี้ค่อนข้างน่าเชื่อถือ ขอเพียงมีอุปกรณ์และการตกแต่งที่ทันสมัยก็จะตีตลาดในหมู่คนหนุ่มสาวได้แน่นอน
“เถ้าแก่เซี่ย คุณจัดการได้อย่างรวดเร็วจริง ๆ”
เซี่ยไห่หัวเราะ “แน่นอน ฉันกระตือรือร้นมากเสมอเมื่อเป็นเรื่องการหาเงิน”
หู่จือได้ยินว่าลุงเซี่ยของเขาดูเหมือนจะหาเงินได้อีกครั้ง จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “ลุงเซี่ย ลุงจะหาเงินเพื่อมาแต่งภรรยาแล้วเหรอครับ?”
เซี่ยไห่ซึ่งกำลังขับรถมองกระจกมองหลังแล้วหัวเราะ “เจ้าตัวแสบ ลุงเซี่ยไม่ได้หาเงินเพื่อความรักฉันท์ชู้สาว แต่หาเงินเพื่อความรักฉันท์ครอบครัว”
“แม่ครับ ลุงเซี่ยหมายถึงอะไร” หู่จือกระพริบตากลมโตของเขา ก่อนจะมองไปยังหลินเซี่ยแล้วเอ่ยถามด้วยความงุนงง
หลินเซี่ยอธิบายว่า “ลุงเซี่ยของลูกน่าจะหาเงินมากมายเพื่อใช้ไปกับครอบครัวของเขาน่ะ”
เซี่ยไห่ที่กำลังขับรถอยู่ ระบายยิ้มแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ลุงต้องเลี้ยงดูญาติ ๆ ของลุง”
หลินเซี่ยเมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่ก็พลันเปลี่ยนความคิดเห็นของเธอที่มีต่อเขาอีกครั้ง
ใครกันคาดคิดว่าผู้ชายที่ดูเอ้อระเหยลอยชายทำตัวเหลาะแหละดูพึ่งพาไม่ได้นั้น กลับกลายเป็นคนกตัญญูคนหนึ่ง
เมื่อมาถึงทางเข้าชุมชนบ้านพักทหาร เฉินเจียเหอก็เอ่ยเชิญเซี่ยไห่ให้เข้าไปที่บ้าน แต่เมื่อเซี่ยไห่นึกถึงผู้เฒ่าเฉินที่เอาแต่จ้องจะหาเรื่องเขาจึงบอกปฏิเสธ “ฉันไม่กล้าเข้าไปหรอก”
เขายังไม่ทันได้ลงจากรถด้วยซ้ำ เมื่อทั้งสามคนลงจากรถ เขาก็รีบกลับรถและเผ่นแนบไปทันที
ผู้เฒ่าเฉินกำลังพูดคุยกับคนเฒ่าคนแก่สองสามคนที่ทางเข้าเขตพักอาศัยระหว่างรอให้พวกเฉินเจียเหอกลับมา
เมื่อเห็นครอบครัวของเขาทั้งสามคน ผู้เฒ่าเฉินก็รีบพูดกับเฒ่าชราสองสามคนข้าง ๆ ที่กำลังยืดแขนยืดขาเพื่อออกกำลังกาย
“กลับมาแล้ว กลับมาแล้ว! พวกคุณดูสิ นั่นน่ะภรรยาของเจียเหอล่ะ”
เฒ่าชราที่กำลังออกกำลังกายหยุดสิ่งที่ทำ แล้วหันมองไปทางหน้าประตูทางเข้าเขตพักอาศัย แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สาวน้อยคนนี้เปล่งประกายมีชีวิตชีวาทีเดียว”
“ดูจะอายุน้อยกว่าเจียเหออยู่พอสมควรเลยใช่ไหม?”
ผู้เฒ่าเฉินอธิบายว่า “ห่างกันไม่มากนักหรอก ราวเจ็ดแปดปี อย่ามองว่าอายุของหล่อนยังน้อยเชียว หล่อนเป็นคนเอาการเอางานและมีเหตุผล ตอนนี้เปิดร้านเสริมสวยของตัวเอง พวกคุณเห็นทรงผมของยายเฒ่าที่บ้านกับลี่หรงไหมล่ะ? ก็หลานสะใภ้ของผมนี่แหละที่เป็นตัดให้”
ผู้เฒ่าเฉินเริ่มต้นด้วยการกล่าวคำชมเชยหลานสะใภ้ต่อหน้าเพื่อนเก่าของเขา
ชายชราผมสีดอกเลาซึ่งอยู่ข้าง ๆ แสดงความคิดเห็นขึ้นมาว่า “มีทักษะเป็นเรื่องดี แต่ฉันคิดว่ามันจะดีกว่าหากมีหน้าที่การงานที่มั่นคง”
“นั่นสิ เหล่าเฉิน ครอบครัวของพวกคุณน่ะยังไงก็ควรมีชามข้าวเหล็กสักใบ”
ผู้เฒ่าเฉินส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา “ลูกสะใภ้ของคุณมีชามข้าวเหล็กก็เพราะนั่นเป็นสิ่งที่คุณเตรียมไว้ให้หล่อนไม่ใช่หรือ? หล่อนไม่ได้ใช้ความสามารถในการเข้าไปทำงานด้วยตัวเองเสียหน่อย!”
ใบหน้าแก่ชราของผู้เฒ่าจูแดงก่ำ ก่อนจะเบือนหน้าหนีด้วยความอาย
เฉินเจียเหอถือถุงขนมและลูกกวาดงานแต่งไว้ และเมื่อเขาเห็นสหายเก่าของปู่ของเขาอยู่ในบริเวณนั้นด้วยจึงรีบวิ่งเข้าไปเพื่อนำขนมไปแจก
“ผู้เฒ่าหลิว ผู้เฒ่าจู เชิญกินลูกกวาดงานแต่งครับ”
หลินเซี่ยเองก็เอ่ยทักทายชายชราด้วยน้ำเสียงหวาน “สวัสดีผู้เฒ่าทั้งสองค่ะ”
“สวัสดีครับ”
หู่จือเองก็เอ่ยทักทายบรรดาผู้เฒ่าด้วยเสียงหวานเช่นกัน
สหายเก่าทั้งสองของผู้เฒ่าเฉินมองหญิงสาวแสนสวยตรงหน้า ก่อนจะมองไปยังหู่จือที่รู้ความและสุภาพ ทั้งคู่พลันเผยรอยยิ้มปลื้มใจออกมา
“เจียเหอ เธอเป็นคนที่โชคดีมาก ปฏิบัติต่อหล่อนอย่างดีล่ะ”
“ครับผู้เฒ่าจู ผมจะปฏิบัติต่อเธออย่างดีครับ”
“ไปเถอะ กลับบ้านกัน”
ผู้เฒ่าเฉินมองไปยังประตูทางเข้าใหญ่อย่างอารมณ์ดี ก่อนจะมองไปทางเฉินเจียเหอแล้วถามว่า “คนที่ขับรถออกไปคือเซี่ยไห่ใช่ไหม? ทำไมเขาไม่เข้ามาล่ะ?”
เฉินเจียเหอตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “เขากลัวคุณปู่ เลยไม่กล้าเข้ามาครับ”
“กลัวอะไรฉันกัน? ถ้าเขาทำอะไรที่ถูกที่ควรแล้วเขาจะกลัวฉันทำไม?”
เมื่อพูดถึงเซี่ยไห่ ผู้เฒ่าเฉินก็เริ่มพร่ำบ่นอีกครั้ง “คนจริงจังที่ไหนจะมาเปิดห้องเต้นรำล่ะ? พูดด้วยสองสามประโยคก็ไม่ยินดีแล้ว สักพักเรียกฉันว่าปู่ สักพักเรียกฉันว่าลุง เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย เขาเมื่อเทียบกับพี่ใหญ่ของเขาแล้วยังห่างไกลกันมาก”
เฉินเจียเหอที่พาหลินเซี่ยเดินตามคู่ปู่ไป เอ่ยหักล้างด้วยมุมมองของเขา “ผู้คนต่างก็มีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง คุณปู่ไม่สามารถร้องขอให้ใครเป็นเหมือนตัวเองได้ อีกทั้งเขาเองก็เพียงต้องการเงินน่ะครับ”
“แค่ต้องการเงินก็เลยทำตัวมุทะลุงั้นเหรอ? เงินทองเป็นของนอกกาย ต้องมีเท่าไหร่ถึงจะนับว่าพอ? เขายังไม่ได้แต่งงานจะหาเงินมากมายขนาดนี้ไปทำไม?”
ผู้เฒ่าเฉินยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกฉุน ทนไม่ได้จริงๆ ที่จะเห็นอดีตทหารผ่านศึกต้องมาเกี่ยวข้องกับสิ่งไร้สาระแก่นสารเพียงเพราะต้องการหาเงิน
“เขาหาเงินเพื่อพาพี่ใหญ่และแม่ของเขามาจากฮ่องกง ทั้งคู่มีสุขภาพย่ำแย่ ต้องพึ่งพายาในการรักษาน่ะครับ”
คำพูดของเฉินเจียเหอทำให้ผู้เฒ่าเฉินเงียบลง
เมื่อนึกถึงพี่ใหญ่ของเซี่ยไห่ ผู้เฒ่าเฉินพลันทอดถอนหายใจพลางโบกมือ น้ำเสียงของเขาอ่อนลง “ช่างเถอะ ปล่อยเขาไป อย่ากำกับลืมดูแลเขาให้ดี จะหาเงินก็ได้ แต่อย่าทำผิดกฎหมาย พี่ใหญ่ของเขาเป็นวีรบุรุษ อย่าให้เขาทำให้พี่ใหญ่ของเขาต้องอับอายขายหน้า”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เป็นมุมมองของคนต่างยุคน่ะค่ะ ไม่มีใครผิดใครถูกหรอก คนยุคก่อนก็เชื่อว่างานราชการมั่นคง สวัสดิการดี ขณะที่คนยุคใหม่คิดว่างานที่ดีต้องมีผลตอบแทนคุ้มค่ากับที่ลงแรงทำงานไป
ไหหม่า(海馬)