ตอนที่ 187 คืนวิวาห์ย้อนหลัง
ตอนที่ 187 คืนวิวาห์ย้อนหลัง
หลินเซี่ยพลันมีสีหน้าตกใจ กระพริบตาแล้วมองดูรูปถ่าย
แม้ว่าเด็กหนุ่มในภาพจะดูเด็กกว่าโจวอี้ในตอนนี้ แต่เธอก็เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับโจวอี้มาก่อน
ในตอนที่โจวอี้ย้ายมานั้นเป็นช่วงมัธยมศึกษาปีที่ห้า รูปร่างหน้าตาของเขาก็ดูผอมเพรียวและอ่อนเยาว์แบบนี้
หลินเซี่ยในตอนนี้จ้องมองไปยังรูปถ่ายใบนี้อย่างตกใจจนรูม่านตาของเธอขยาย
เด็กหนุ่มที่อุ้มหู่จือคนนี้คือเฉินเจียวั่ง
ถ้าอย่างนั้น เฉินเจียวั่งก็คือโจวอี้?
ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ต่าง ๆ มากมายพลันหลั่งไหลเข้ามาในความคิดของเธอ ก่อนที่เบาะแสจะค่อย ๆ ปรากฏขึ้น
หน้าตาเหมือนกัน ป่วยเป็นโรคเดียวกัน อายุเท่ากัน…
เธอรีบเปิดอัลบั้มรูปต่ออย่างรวดเร็ว
ยิ่งเปิดไปเรื่อย ๆ เธอก็ไม่เห็นรูปถ่ายของเฉินเจียวั่งอีกเลย อีกทั้งรูปหมู่ก็มีน้อยลง
เธอเปิดไปจนสุด ที่ด้านหลังยังว่างเปล่าอยู่กว่าครึ่ง แต่แล้วเธอก็เปิดไปเจอรูปถ่ายติดบัตรขนาดหนึ่งนิ้วรูปหนึ่ง
เมื่อมองดูเด็กหนุ่มในรูปติดบัตรแล้ว หลินเซี่ยก็แน่ใจว่านี่คือโจวอี้
เส้นขีดสีดำพลันปรากฏกลางหน้าผากของเธอ
โจวอี้ไม่ใช่แค่เป็นคนเดียวกับเฉินเจียวั่งเท่านั้น หากเธอเดาไม่ผิด โจวอี้คงรู้มานานแล้วว่าเธอเป็นคนรักของเฉินเจียเหอ และเป็นพี่สะใภ้ของเขา
ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่หลบเลี่ยงพวกเธอโดยบังเอิญแบบนี้
หลินเซี่ยเอนตัวพิงหัวเตียง พยายามทำความเข้าใจกับความลับอันน่าตกใจที่ทำเอาการรับรู้ความเป็นจริงของเธอบิดเบี้ยวไปหมด
ในขณะเดียวกัน เธอก็นึกถึงช่วงเวลาที่เธอเคยใช้เวลาอยู่กับโจวอี้
จู่ ๆ เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอไปกินข้าวกับเจียงอวี่เฟย และได้พบกับโจวอี้ที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ในโรงงานยานยนต์ บางที่โจวอี้อาจจะตั้งใจไปหาเฉินเจียเหอที่เขตพักอาศัยก็เป็นได้?
เฉินเจียเหอเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำมาโดยไม่ได้สวมเสื้อ เมื่อเขาเห็นหญิงสาวกำลังเอนตัวลงบนเตียงด้วยความงุนงง มุมปากของเขาก็ยกขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปหยิบอัลบั้มรูปที่อยู่ตรงหน้าเธอ และเอยถามด้วยรอยยิ้มว่า “กำลังดูรูปอยู่เหรอครับ?”
เสียงทุ้มต่ำน่าดึงดูดพลันดังขึ้น หลินเซี่ยจึงเงยหน้าขึ้น สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเธอคือกล้ามอกเรียบเนียนและบึกบึนสีน้ำตาลอ่อนราวกับข้าวสาลี เธอพยายามเบือนหน้าหนี พร้อมพยักหน้ารับ “พอดีเห็นอัลบั้มรูปอยู่บนชั้นหนังสือ ก็เลยเอามาดูน่ะค่ะ”
“นี่คือใครเหรอคะ?” หลินเซี่ยเอ่ยเฉินเจียเหอถามพร้อมชี้ไปที่รูปถ่ายติดบัตรขนาดหนึ่งนิ้วในอัลบั้ม
“เจียวั่ง”
หลินเซี่ยจ้องมองเขา แล้วเอ่ยถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง “นี่คือน้องสามของคุณ เฉินเจียวั่ง?”
“ใช่ หน้าตาหล่อเหลามากเลยใช่ไหม?” เมื่อพูดถึงเฉินเจียวั่ง แววตารักใคร่จางๆ ก็ฉายชัดขึ้นมาในดวงตาของเฉินเจียเหอ “เจียวั่งอายุน้อยกว่าผมสิบปี ในตอนที่เขาเกิดมา ผมก็ถูกแม่ส่งให้ไปอยู่ที่บ้านคุณยายที่ชนบท ให้คุณตาคุณยายเป็นคนเลี้ยงดู ตอนผมเด็ก ๆ จึงไม่ได้เจอเขาบ่อยนัก แต่หลังกลับมาอยู่ในเมือง เขาก็ตัวติดกับผมมาก จะว่าไปแล้วเขาก็น่าจะอายุเท่าคุณ”
เฉินเจียเหอมองเธอแล้วเอ่ยต่อ “จริงสิ เมื่อเย็นเจียวั่งโทรศัพท์มาบอกว่าเขากำลังกินมื้อเย็นกับเพื่อนร่วมชั้นหญิงของเขา ทำให้ผละตัวมาไม่ได้ ให้พวกเราเข้าใจเขาสักหน่อย เจ้าเด็กนั่นถูกครอบครัวตามใจมากขึ้นตั้งแต่เขาป่วย ทำให้เขากลายเป็นคนเอาแต่ใจ เจอกันครั้งหน้าผมคงต้องพูดเรื่องนี้กับเขาเสียหน่อย”
เฉินเจียเหอนั่งสบาย ๆ แถวหัวเตียงแล้วเปิดดูรูปในอัลบั้มกับเธอ “ผมจะหารูปของเขาให้คุณดูอีก”
“ชื่อของเขาฟังดูแล้วค่อนข้างเชยจัง ตอนอยู่โรงเรียนเขามีชื่ออื่นอีกไหมคะ?”
“มีสิ”
“เขามีชื่ออื่นอีกหลายชื่อ” เฉินเจียเหอเปิดไปที่รูปถ่ายของเฉินเจียวั่งที่กำลังอุ้มหู่จืออยู่ เขาชี้ให้เธอดูพร้อมอธิบายว่า “ตอนที่เขาเรียนมัธยมปลาย เขามีอาการลมบ้าหมูบ่อย ๆ ทั้งยังมีอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างมาก แต่เนื่องจากเติบโตมาในชุมชนบ้านพักทหารจึงมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีสูง เขาจะไม่ยอมให้เพื่อนร่วมชั้นที่เคยเห็นโรคลมบ้าหมูของเขากำเริบมาเห็นเขาในสภาพนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง ด้วยเหตุนี้จึงย้ายโรงเรียนบ่อย ๆ ทุกครั้งที่ย้ายก็เปลี่ยนชื่อ เขาย้ายโรงเรียนราวสามสี่ครั้งได้”
“แล้วชื่อทั้งหมดของเขามีชื่อว่าอะไรบ้างคะ?” หลินเซี่ยถามอย่างสงสัย
เฉินเจียเหอตอบว่า “ผมลืมสองสามชื่อแรก ๆ ไปแล้ว แต่ผมเคยตั้งชื่อให้เขาชื่อหนึ่งว่าโจวอี้ตามแซ่ของแม่ผม ด้วยความหวังว่าเขาจะหายดีในไม่ช้าและไม่มีโรคภัยมากล้ำกรายอีก”
เมื่อได้ยินถ้อยคำอธิบายของเฉินเจียเหอ ริมฝีปากของหลินเซี่ยก็กระตุกอย่างแรง
สรุปว่าชื่อโจวอี้นี่เฉินเจียเหอก็เป็นคนตั้งให้งั้นเหรอ?
โชคชะตาบ้าบอนี่นะ
“เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องของเขาแล้ว”
เฉินเจียเหอปิดอัลบั้มและวางมันลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างสบาย ๆ ก่อนจะโน้มตัวไปข้าง ๆ “ช่วยเอาพลาสติกนี้ออกให้ผมหน่อยครับ”
“อื้อ”
เนื่องจากเธอพันแผ่นพลาสติกรอบไหล่ของเขาแล้วผูกเงื่อนตายเสียแน่น เธอพยายามแก้เงื่อนอยู่นานแต่แก้ไม่ออก จึงดึงแขนของเขามา “มานั่งตรงนี้หน่อยค่ะ”
จากนั้นจึงโน้มศีรษะลงไปแล้วใช้ฟันกัดให้พลาสติกขาดออกจากกัน
ขณะที่ริมฝีปากของเธอเข้าใกล้ ร่างกายของเฉินเจียเหอพลันแข็งทื่อทันที
ไฟในดวงตาของเขาร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เธอพยายามอย่างมาก จนในที่สุดก็สามารถฉีกพลาสติกให้ขาดออกจากกันได้ แล้วมองเขา “เสร็จแล้ว”
จากนั้นก็มุดตัวเข้าไปในผ้าห่มอย่างเรียบร้อย
เฉินเจียเหอขึ้นไปนอนอีกฝั่งของเตียง ในเวลานี้เขาดูราวกับเป็นเด็กอมมือ มองหญิงสาวที่เอนตัวอยู่อีกด้านหนึ่งของเตียงโดยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
ทว่าไม่มีทางที่เขาจะนอนอยู่แบบนี้ไปตลอดทั้งคืนนี้แน่
เขาเขยิบตัวเข้าไปหาเธอแล้วยื่นแขนออกไปพร้อมขยับมือเป็นสัญญาณ “เซี่ยเซี่ย มานี่สิ”
หลินเซี่ยค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปใกล้เขาอย่างระมัดระวัง
เธอคิดว่าเธอตระเตรียมตัวเองให้พร้อมเผชิญกับคืนวิวาห์ย้อนหลังนี้ได้อย่างองอาจและเป็นธรรมชาติ
แต่ในเวลานี้ ในบรรยากาศเช่นนี้ หัวใจดวงน้อย ๆ ของเธอกลับเต้นแรง และคงเป็นการโกหกหากจะบอกว่าเธอไม่เขินอาย
เฉินเจียเหอสัมผัสได้ถึงความกังวลใจและความไม่สบายใจของเธอ เขาค่อย ๆ รวบเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา ปล่อยให้เธอแอบอิงกับตัวเอง แล้วเอ่ยว่า “เราคุยกันได้ไหม”
“คุยอะไรคะ?” หลินเซี่ยถาม
“คุยว่าคุณคิดยังไงกับผม?”
เฉินเจียเหอมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนพลางเอ่ยถามเบา ๆ “ในช่วงเวลาที่ได้ใช้เพื่อเรียนรู้เข้าใจกันนี้ ผมเป็นคนแบบไหนในหัวใจของคุณ?”
“ดีมาก” มีเพียงสองคำนี้เท่านั้นที่แวบเข้ามาในหัวอันว่างเปล่าของเธอ
“ขยายความกว่านี้หน่อยสิ”
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งและเริ่มไล่นับข้อดีของเขา “มีความรับผิดชอบ รักพวกพ้อง มีความสามารถในการทำงานที่ยอดเยี่ยม”
หลินเซี่ยขยับศีรษะของเธอ มองไปยังใบหน้ามุมข้างที่หล่อเลาของเขา ก่อนจะมองแผ่นอกแข็งแกร่งที่เธอแอบอิงอยู่ แล้วกล่าวเสริมว่า “หล่อ แล้วก็หุ่นดีด้วย”
“หุ่นดี?” มุมปากของเฉินเจียเหอยกขึ้นเล็กน้อย พลางเหลือบมองกล้ามหน้าท้องแปดลูกของเขาโดยไม่รู้ตัว
เธอชอบคนมีกล้ามงั้นเหรอ?
ในฐานะอดีตนายทหาร การเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายคือการปกป้องครอบครัวและประเทศชาติ แม้กระทั่งหลังจากปลดประจำการจากกองทัพแล้ว เขาก็ยังมุ่งมั่นในการออกกำลังกาย
การมีร่างกายที่แข็งแรงทำให้สามารถช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อพัฒนาประเทศในระดับท้องถิ่นได้
ใครกันจะคาดคิด…
ว่านี่จะเป็นแต้มต่อในสายตาของภรรยา
“ยังมีอีกไหม?” ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ เขาใช้แผ่นอกแน่นของเขาเสียดสีเบา ๆ ที่ตัวเธอ
“ปฏิบัติต่อฉันและหู่จือเป็นอย่างดี”
เฉินเจียเหอจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเธอและถามต่ออย่างแผ่วเบา “แล้วข้อบกพร่องล่ะ คุณคิดว่าผมต้องแก้ไขจุดไหนบ้างในการอยู่ร่วมกันต่อจากนี้ไป”
“ฉันขอคิดก่อนนะ…” หลินเซี่ยจำได้ว่าชาติที่แล้ว เขาเพียงทำสิ่งดี ๆ อยู่เงียบ ๆ ข้างหลังเธอเท่านั้น เมื่อทั้งสองได้พบกัน เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้จักกันทันที ทั้งยังแสดงท่าทางไม่เป็นมิตรต่อเธออีกด้วย
เธอกล่าวว่า เวลาอยู่ข้างนอก ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ฉันจะสนับสนุนคุณทุกอย่าง แต่ฉันหวังว่าเวลาที่คุณอยู่ต่อหน้าฉัน คุณจะไม่เก็บทุกอย่างไว้ในใจ หากมีเรื่องอะไรก็ให้พูดคุยสื่อสารกับฉันให้มาก หากว่าฉันทำอะไรผิดไป คุณก็สามารถชี้ให้ฉันเห็นสิ่งที่ตัวเองทำผิดไปได้ อย่าเก็บซ่อนมันเอาไว้ในใจไปตลอด”
“คืออย่าทำตัวเดายากนั่นแหละใช่ไหม?” เฉินเจียเหอมองเธอและถามด้วยท่าทีจริงจัง
มุมปากของหลินเซี่ยยกขึ้นเล็ก ๆ “คุณก็รู้อยู่แล้วนี่?”
“ครับ ผมจะเปลี่ยนแปลง”
เขายิ้มแล้วเอ่ยถาม “มีอีกไหม?”
หลินเซี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองเขาอย่างจริงจัง “นอกจากนี้ เราจะต้องซื่อสัตย์ต่อกัน ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันให้มากพอ ฉันคิดว่าพวกเสือสิงห์กระทิงแรดข้างนอกนั่นคงไม่หยุดง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถังหลิง หล่อนถึงขั้นมาเปิดร้านตรงข้ามฉัน เห็นได้ชัดว่าหล่อนยังมีใจให้คุณ คุณห้ามทรยศฉันนะคะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็…” หลินเซี่ยเอ่ยพลางใช้สายตาโหดเหี้ยมมองไปยังส่วนนั้นของเฉินเจียเหอ
เฉินเจียเหอจับหว่างขาของเขาตามสัญชาตญาณโดยพลัน “ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็พูดถึงข้อดีของผมอีกครั้งดีกว่า” เฉินเจียเหอลูบผมของเธอ น้ำเสียงของเขาดูแหบพร่า “เมื่อครู่คุณบอกว่าผมหล่อ แถมยังหุ่นดี…”
เสียงของเขาราวกับมีมนต์ชวนให้หลงใหล เขายกมือขึ้นจับใบหน้าของเธอ ก่อนจะค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้ใบหูของเธอ “แล้วคุณชอบไหม?”
สมองของหลินเซี่ยว่างเปล่า หญิงสาวพยักหน้ารับด้วยอาการล่องลอย
ทันทีที่เธอพยักหน้า เขาก็กัดเข้าที่ใบหูสวยของเธอ
จากนั้นก็ค่อย ๆ ขยับไปที่แก้ม แล้วมาที่มุมปาก
เขาจูบคอเธอพร้อมกับค่อย ๆ ปลดกระดุมชุดนอนของเธอออกด้วยมือข้างเดียว
หลินเซี่ยยังคงมีสติอยู่ เธอผลักเขาเบา ๆ “คุณเจ็บไหล่หรือเปล่า? แผลเพิ่งสมานกันอย่าให้แผลปรินะคะ”
ลมหายใจของเขาติดขัด น้ำเสียงของเขานั้นแหบพร่า “ถ้าคุณไม่ไปจับมันเข้าก็ไม่เป็นไร”
หลังจากเขาถอดเสื้อผ้าของเธอออก ร่างกายงดงามทั้งสองพลันได้สัมผัสกันอย่างอิสระ ทั้งคู่ชะงักค้างไปครู่หนึ่งอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อใดก็ตามที่ถูกฝ่ามือใหญ่ของเขาลูบไล้ ก็ทำเอาสั่นสะท้านไปทั้งตัว
เขาจูบเบาๆ ที่มุมริมฝีปากของเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “ภรรยา อย่าเกร็ง”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
อุว้าวๆๆๆ เข้าหอกันแล้ว พี่เหออ่อนโยนกับเซี่ยเซี่ยด้วยนะคะ
ไหหม่า(海馬)