ตอนที่ 231 เรียกว่าอารองกันตรงๆ เลยเหรอ?
ตอนที่ 231 เรียกว่าอารองกันตรงๆ เลยเหรอ?
เมื่อเซี่ยไห่เริ่มพูดถึงเซี่ยเหลยต่อหน้าหลินเซี่ย อารมณ์ของหลินเซี่ยก็ดูซับซ้อนขึ้นมาก เธอพยักหน้าและพูดว่า “เล่าแล้วค่ะ”
“คือ…” เซี่ยไห่พลันตะกุกตะกัก ไม่รู้จะพูดต่ออย่างไร
…
เฉินเจียเหอไปรับหู่จือหลังเลิกงาน สองพ่อลูกจึงเดินมายังร้านตัดผมด้วยกัน
เมื่อพวกเขามาถึงประตูก็เห็นว่าประตูร้านปิดอยู่ จึงคิดว่าหลินเซี่ยคงกลับหลังจากเลิกงานไปแล้ว
เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิด จึงเห็นว่าประตูไม่ได้ล็อก
เฉินเจียเหอกำลังจะก้าวไปข้างหน้าและผลักประตูเข้าไป
ทันใดนั้นก็มีคนเข้ามาทักทายพอดี
“เจียเหอ”
เมื่อได้ยินเสียงถังหลิง เฉินเจียเหอพลันขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว สีหน้าของเขาแข็งทื่อเล็กน้อย ก่อนหันกลับมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“มาหาหลินเซี่ยเหรอ?” ถังหลิงถามพลางอมยิ้ม
เฉินเจียเหอไม่ต้องการตอบคำถามที่แม้แต่คนถามก็รู้คำตอบดี
เมื่อหู่จือเห็นว่าพ่อของตัวเองเงียบไป จึงตอบแทนเขา “ใช่ฮะ พ่อกลับมารับแม่หลังจากเลิกงาน”
“เดี๋ยวนะ…”
ถังหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หล่อนชี้ไปทางประตูและพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “เหล่าเซี่ยกับหลินเซี่ยอยู่ข้างในร้านน่ะ”
“โอ้”
การแสดงออกของเฉินเจียเหอสดใสขึ้นเล็กน้อย
เซี่ยไห่กลับมาแล้วหรอ?
กลับมาเร็วจัง!
“พวกเขาขังตัวเองอยู่ในร้านแล้วประตูปิดตอนกลางวันแสก ๆ แบบนี้ เพื่อนบ้านพาลเข้าใจผิดกันหมดแล้ว”
ถังหลิงยิ้มและพูดเสริม “แต่อย่าคิดมากไปเลย หลินเซี่ยยังเด็กไม่รู้ว่าจะหลีกเลี่ยงความสงสัยของคนอื่นยังไง หรือไม่หล่อนก็อาจมีบางอย่างอยากคุยกับเหล่าเซี่ยเป็นการส่วนตัวก็ได้”
คำพูดสุดท้ายของถังหลิงชวนให้คิดไปในทางไม่ดีจริง ๆ
เฉินเจียเหอเหลือบมองหล่อนอย่างเย็นชา จากนั้นก้าวไปข้างหน้าและเปิดประตู
หลังจากเข้าไปข้างใน เขาก็ปิดประตูใส่หล่อนเสียงดัง
ถังหลิงไม่แม้แต่จะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน
…
เซี่ยไห่นั่งบนเก้าอี้ ขณะที่หลินเซี่ยนั่งตัวตรง เห็นได้ชัดว่าบรรยากาศค่อนข้างอึดอัด ไร้หัวข้อการสนทนาใด ๆ
ทันทีที่เฉินเจียเหอเข้ามา ทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะเห็นผู้ช่วยชีวิตของพวกเขา และรีบลุกขึ้นพร้อมกัน
เฉินเจียเหอมองไปทางเซี่ยไห่ “กลับมาแล้วเหรอ?”
เซี่ยไห่สูญเสียความร่าเริงตามปกติ เขาดูจริงจังขึ้นมาก ตอบกลับว่า “เพิ่งมาถึง”
ดวงตาของเฉินเจียเหอจ้องมองไปยังภรรยาของตัวเอง เมื่อเห็นใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอดูอึดอัดและเป็นกังวล เขาจึงพูดเบา ๆ “เซี่ยเซี่ย ถ้าเสร็จงานแล้ว ไว้กลับบ้านกันก่อน แล้วค่อยคุยรายละเอียดกันอีกทีนะ”
“อืม กลับบ้านไปค่อยคุยกันเถอะ”
“ออกไปก่อนค่ะ ฉันจะล็อกประตู”
เซี่ยไห่เข้าไปอุ้มหู่จือ ส่วนเฉินเจียเหอช่วยหลินเซี่ยถือกระเป๋า จากนั้นพวกเขาก็ออกจากร้านตัดผมพร้อมกัน
ถังหลิงเห็นประตูตรงข้ามเปิดอยู่และมีคนออกมาหลายคน หล่อนยิ้มแล้วพูดว่า “พวกคุณจะกลับกันแล้วเหรอ?”
เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยไม่สนใจหล่อนเลย
“ครับ เราจะกลับบ้าน” เซี่ยไห่มองหล่อนแล้วถามต่อ “ว่าแต่คุณถังยังไม่ปิดร้านอีกเหรอครับ?”
“เดี๋ยวก็ปิดแล้วค่ะ”
เซี่ยไห่อุ้มหู่จือและเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง จนถังหลิงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเขาอีก ทำได้แค่เดินกลับร้านตัวเองด้วยสีหน้าเย็นชา
เฉินเจียเหอแวะซื้อบะหมี่ผัดที่ร้านอาหารริมถนนและห่อกลับไปกินที่บ้าน เพื่อช่วยประหยัดเวลาในการทำอาหารกินเอง
เขาใส่บะหมี่ผัดลงในชามแล้วยื่นให้สหายรุ่นพี่ จากนั้นหยิบตะเกียบให้เซี่ยไห่ “กินข้าวก่อน แล้วค่อยคุยกันทีหลัง”
“ขอบใจ”
ทั้งสี่คนนั่งกินข้าวด้วยกัน เซี่ยไห่เงียบผิดปกติ และกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตัวเองมาก วันนี้ไม่นั่งไขว่ห้างอย่างสบาย ๆ ตามความเคยชินด้วยซ้ำ
หู่จือไม่คุ้นเคยกับเซี่ยไห่ที่เป็นแบบนี้เลย ทันใดนั้นดวงตาสีดำกลมโตของเขาก็เปล่งประกายขณะมองเซี่ยไห่ ด้วยเครื่องหมายคำถามบนหัว จึงถามไปว่า “ลุงเซี่ย ทำไมวันนี้ลุงไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”
เซี่ยไห่เอามือลูบหัวเขาแล้วตอบกลับ “ไว้คุยกันหลังกินข้าวเถอะ”
“โอ้”
เซี่ยไห่ไม่พูดอะไรมาก เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยก็จดจ่ออยู่กับการกิน ทุกคนต่างมีเรื่องบางอย่างในใจ ต่างคนต่างอยากกินให้เสร็จเร็ว ๆ และพูดคุยกัน
หลังจากกินอาหารเสร็จ หลินเซี่ยเดินเข้าห้องครัวเพื่อล้างจาน เฉินเจียเหอต้องการจะตามเธอไป แต่เซี่ยไห่ก็คว้าเฉินเจียเหอไว้
เขากระซิบข้างหูเฉินเจียเหอว่า “เหล่าเฉิน นายเล่าให้เซี่ยเซี่ยฟังเกี่ยวกับพี่ใหญ่ของฉันจริงไหมเนี่ย? ทำไมหล่อนถึงไม่กระตือรือร้นอะไรเลยล่ะ?”
เซี่ยไห่เต็มไปด้วยความกังวล
ถ้าหลินเซี่ยรู้อยู่แล้วว่าเธอเป็นลูกสาวของเซี่ยเหลย ดังนั้นเมื่อเธอได้พบกับอาตัวจริงในวันนี้ พวกเขาควรจะกอดกันและร้องไห้อย่างขมขื่นเมื่อเจอญาติของตัวเองหรือเปล่า
ท้ายสุดแล้ว นี่คือการพบกันใหม่หลังแยกทางกันมานานถึงยี่สิบปีเชียวนะ
แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับทำตัวสงบเสงี่ยมเกินไป
เซี่ยไห่ซึ่งเต็มไปด้วยความคับข้องใจ ไม่สามารถแสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมาได้เลย
เฉินเจียเหอเหลือบมองเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จะให้กระตือรือร้นยังไงล่ะ? ให้หล่อนเรียกนายว่าอารองกันตรงๆ งี้เหรอ?”
เซี่ยไห่ “!!!”
เฉินเจียเหอพูดต่อ “หลังจากหล่อนออกมาแล้ว นายค่อยเล่าผลการตามสืบในซีเหอให้หล่อนฟัง ปล่อยให้หล่อนเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน เซี่ยเซี่ยเป็นคนมีเหตุผล ทุกอย่างจะต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักฐานเป็นหลัก ไม่สามารถอาศัยการคาดเดาแค่อย่างเดียวได้”
“อืม”
หลินเซี่ยล้างจานเสร็จแล้วก็ออกมานั่งพักบนโซฟา
เฉินเจียเหอขอให้หู่จือกลับเข้าห้องไปเล่นของเล่น จากนั้นทั้งสามก็นั่งหันหน้าเข้าหากัน
เซี่ยไห่ปรับอารมณ์ตัวเองแล้วมองไปทางหลินเซี่ย ก่อนพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เซี่ยเซี่ย ฉันจะเล่าเรื่องแม่ของเธอให้ฟัง มันสอดคล้องกับข้อมูลที่ฉันตรวจสอบในซีเหอมาก พวกเขาพูดคุยกันเรื่องนี้ ถ้าคาดเดาไม่ผิด แม่ของเธอน่าจะเป็นอิงจื่อที่พี่ชายฉันพูดถึงจริง ๆ”
“เดี๋ยวนะคะ เถ้าแก่เซี่ยแน่ใจแล้วเหรอ?” หลินเซี่ยถาม
“ฉันไปเยี่ยมคนรู้จักของพี่ชายในกองทัพ แล้วก็เป็นตามที่พวกเขาพูด พี่ชายฉันและหลิวกุ้ยอิงคุ้นเคยกันดีในตอนนั้น ครอบครัวของหลิวกุ้ยอิงทำอาชีพหมักสุราขาย และหล่อนมักจะนำเหล้ามาส่งให้พี่ชายฉันเสมอ ดูเหมือนพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน แต่ในยุคนั้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงยังค่อนข้างสงวนท่าทีกันอยู่ คนอื่น ๆ เลยไม่รู้ชัดเจนว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งในเชิงชู้สาวหรือเปล่า
“แต่ฉันได้รู้เรื่องจากอดีตผู้บัญชาการกองทัพมาอีกว่า หลังจากที่พี่ชายฉันไปรบที่แนวหน้า ดูเหมือนหลิวกุ้ยอิงจะถูกครอบครัวตัวเองขังอยู่แต่ในบ้านนานทีเดียว ข่าวลือตอนนั้นบอกว่าหล่อนตั้งท้องนอกสมรส แถมไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก”
เมื่อเซี่ยไห่เอ่ยคำเหล่านี้ เสียงของเขาก็ต่ำทุ้มลงมาก และสังเกตการแสดงออกของหลินเซี่ยอย่างระมัดระวัง
เขาไม่รู้ว่าหลินเซี่ยรู้ประสบการณ์ชีวิตของแม่ตัวเองมากน้อยแค่ไหน
พูดตามตรง เซี่ยไห่เองก็ตกใจมากเมื่อรู้ข่าวนี้กับหูตัวเอง
เขานึกไม่ถึงว่าคนดีอย่างพี่ชายเขาจะหน้ามืดตามัวทำอะไรแบบนั้นลงไป โดยเฉพาะการล้ำเส้นกับผู้หญิงที่ยังไม่มีสถานะใด ๆ มายืนยันความสัมพันธ์
ใคร ๆ ก็สามารถจินตนาการได้ ว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะต้องทนทุกข์ทรมานเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นมากแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อต้องท้องก่อนแต่ง
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าหลินเซี่ยดูคล้ายกับพี่สาวของเขา เขาคงไม่อาจเชื่อได้ว่า ‘ตัวการ’ ที่แอบหลงรักหลิวกุ้ยอิงและทำให้หล่อนตั้งท้องคือพี่ใหญ่ของเขา!
หลินเซี่ยดูสงบนิ่ง ขณะฟังคำบรรยายของเซี่ยไห่ พลางมองที่เขาแล้วถามว่า “มีข้อมูลอื่นอีกไหมคะ?”
อารมณ์ของหลินเซี่ยมั่นคงมาก เป็นเช่นเดียวกับที่เฉินเจียเหอพูด เธอเป็นคนมีเหตุผลมากทีเดียว
บางทีอาจเป็นเพราะเธอได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับตัวเอง จึงทำให้เธอมีจิตใจเข้มแข็งขึ้น ปฏิกิริยาของเธอเหมือนกับคนชราที่ผ่านความยากลำบากมาไม่น้อย
เซี่ยไห่รู้สึกตกใจมากจริง ๆ อารมณ์ปัจจุบันของเขาล้วนผสมปนเปทั้งความตื่นเต้นและมีความสุขในเวลาเดียวกัน
เขายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่ใหญ่ของเขาจะมีลูกสาว
เซี่ยไห่รวบรวมความคิดและพูดต่อ “ฉันไปเจอครอบครัวเดิมของหลิวกุ้ยอิงมาแล้ว พี่สะใภ้ของหล่อนบอกว่าหลิวกุ้ยอิงแต่งงานกับผู้ชายที่ชื่อหลินต้าฝูเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว และย้ายไปอยู่ที่เทศมณฑลจินซานกับผู้ชายคนนั้น”
“เซี่ยเซี่ย ฉันได้ยินมาจากเจียเหอว่าบ้านเกิดเธออยู่ที่จินซาน และมีพ่อชื่อว่าหลินต้าฝู ดังนั้น…”
เขามองเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “อิงจื่อที่พี่ชายฉันพูดถึง น่าจะเป็นคนเดียวกันกับแม่ของเธอ”
“เซี่ยเซี่ย แม่เธอเคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับพ่อผู้ให้กำเนิดบ้างไหม?” เซี่ยไห่ถามอย่างไม่มั่นใจ
เซี่ยไห่ยืนยันตัวตนของหลิวกุ้ยอิงได้แล้ว เหลือสิ่งที่เขาต้องการยืนยันมากที่สุดในตอนนี้ นั่นก็คือหลินเซี่ยเป็นลูกของพี่ชายเขาจริงหรือไม่
พี่ชายของเขายังอยู่ในฮ่องกง ไม่สามารถตรวจพิสูจน์ความเป็นพ่อได้ในเร็ว ๆ นี้
นั่นหมายความว่าวิธีเดียวที่จะยืนยันตัวตนของหลินเซี่ยได้คือการยอมรับจากปากของหลิวกุ้ยอิง
คราวนี้ครอบครัวก็จะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้า
แต่ถ้าไม่ได้รับคำยืนยันจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง เขาก็ยังกลัวว่าความสุขนั้นจะสูญเปล่า
ท้ายสุดแล้ว ความคิดที่ว่าคนอย่างพี่ชายเขามีลูกสาวก็ดูเพ้อฝันไม่น้อยเหมือนกัน
เซี่ยไห่กังวลมาก เพราะแม่และน้องสาวของเขายังรอข่าวอยู่ ไม่งั้นพวกหล่อนคงคิดบัญชีเขาแน่ ซึ่งคืนนี้พวกเขาจะต้องค้นหาความจริงให้ได้
“เถ้าแก่เซี่ย แม่ของฉันรู้จักคนที่ชื่อเซี่ยเหลยค่ะ หล่อนเคยเล่าว่า…”
หลินเซี่ยมองเซี่ยไห่อย่างจริงจัง “หล่อนเล่าว่าเซี่ยในชื่อหลินเซี่ย มาจากเซี่ยของเซี่ยเหลย”
“จริงเหรอ?” เซี่ยไห่เบิกตาด้วยความตื่นเต้น “ชื่อของเธอตั้งตามนามสกุลของพี่ใหญ่ฉันเหรอเนี่ย?”
หลินเซี่ยพยักหน้า
อย่างไรก็ตาม เธอเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและพูดต่อว่า “แต่ถึงเรื่องที่คุณตรวจสอบมาจะสอดคล้องกับเรื่องราวในอดีตของแม่ฉัน มันก็ต้องได้รับการยืนยันรายละเอียดก่อนว่าเซี่ยเหลยและพี่ใหญ่ของคุณที่ว่านี้เป็นคนคนเดียวกันจริงไหม ว่าแต่คุณพอจะมีรูปพี่ชายติดมาด้วยหรือเปล่าคะ?”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เออเนาะ ไม่เอารูปมาให้ดูเลยจบๆ จะได้ไม่ถามข้อมูลกันไปมา ต่อให้จำรายละเอียดตัวบุคคลไม่ได้ แต่ถ้าเห็นหน้าตายังไงมันก็ต้องคุ้นตากันบ้างแหละ
ไหหม่า(海馬)