วันรุ่งขึ้น มารเฒ่ากลับมาที่เมืองวิเศษอย่างหาได้ยากยิ่ง ถึงแม้ว่าผู้คนมากมายในตำหนักผู้วิเศษจะไม่เคยพบเขามาก่อน แต่ก็รู้ว่าผู้วิเศษแห่งโลกเบื้องบนพาอาจารย์มาด้วย เมื่อมองแล้วมิอาจล่วงรู้ระดับพลังยุทธ์ของเขาได้จึงเดาตัวตนของเขาออก
“เจ้าเด็กบ้า!” มารเฒ่ามาที่เรือนพักของอูหลิงอวี่แล้วตะโกนเสียงดังลั่น
อูหลิงอวี่กำลังคุยกับเจ้าตำหนักผู้วิเศษอยู่ว่าอยากออกไปดูสถานการณ์ในดินแดนแห่งนี้ เมื่อได้ยินเสียงของอาจารย์ตนจึงยิ้มให้เจ้าตำหนักก่อนจะลุกขึ้นเดินออกมา เมื่อเห็นมารเฒ่านั่งอยู่บนหลังคาเรือนจึงเอ่ยถามว่า “ท่านอาจารย์ ท่านไปไหนมาตั้งนานน่ะ”
“เดินเล่นไปทั่วนั่นแหละ” มารเฒ่าเห็นอูหลิงอวี่แผ่กลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์ออกมาตลอดทั้งร่างจึงโบกไม้โบกมือให้เขาแล้วเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องอยากหารือกับเจ้า”
เจ้าตำหนักผู้วิเศษเคยไปที่โลกเบื้องบนมาแล้ว ย่อมรู้ดีถึงความร้ายกาจของมารเฒ่า เขาพูดกับอูหลิงอวี่ว่า “ในเมื่อผู้วิเศษต้องปรึกษาธุระกับอาจารย์ของท่าน ข้าก็ขอตัวกลับก่อนล่ะนะขอรับ”
“ได้เลย” รอยยิ้มอันศักดิ์สิทธิ์บนใบหน้าของอูหลิงอวี่ไม่เปลี่ยนแปลง
เจ้าตำหนักประสานมือคารวะเขาแล้วทำความเคารพมารเฒ่าด้วย หลังจากนั้นจึงถอยออกจากเรือนไป
เมื่อคนของตำหนักผู้วิเศษจากไปกันหมดแล้ว อูหลิงอวี่จึงยืนพิงประตูพลางมองมารเฒ่าแล้วพูดอย่างเป็นกันเองว่า “ข้าว่านะ ตาเฒ่า ท่านลงมาทีก็ไม่เห็นแม้เงา แล้วตอนนี้มีเรื่องอันใดจะมาพูดกับข้าล่ะ”
“ข้าหาศิษย์น้องให้เจ้าได้คนหนึ่งละ” มารเฒ่าพูดประโยคเดียวก็ดึงความสนใจของอูหลิงอวี่กลับมาได้ในทันที
เขาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “บนดินแดนแห่งนี้ยังมีคนที่เข้าตาท่านได้อยู่อีกหรือ รู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไปหลอกเขามาได้อย่างไรกัน”
“หลอกบ้าหลอกบออะไรเล่า!” มารเฒ่าถลึงตาใส่อูหลิงอวี่ “ข้าเพิ่งรู้จัก เขาก็มอบค่าครูให้ข้าเสียแล้ว”
“ยากนักที่ท่านจะเห็นใครเข้าตา ผู้คนล้ำเลิศตั้งมากมายที่โลกเบื้องบนอยากเป็นลูกศิษย์ท่าน แต่ท่านกลับมาเลือกเอาคนจากที่นี่” อูหลิงอวี่พูด “ท่านอยากหาคนรับช่วงต่อมิใช่หรือ กว่าคนที่นี่จะขึ้นไปข้างบนได้ ท่านมิต้องรอจนรากงอกเลยหรือ ท่านรอจนถึงตอนนั้นไหวหรือไร”
“เจ้าเด็กบ้านี่ เจ้ากำลังแช่งให้ข้าอายุสั้นใช่หรือไม่!” มารเฒ่าตะคอก
อูหลิงอวี่อุดหู แสดงท่าทีว่าตกใจกับเสียงของเขา
“ข้ามิได้แช่งท่านเสียหน่อย ก็แค่พูดไปตามความจริงเท่านั้นเอง!” อูหลิงอวี่เอามือออก
“ถ้าหากมิใช่เพราะเป็นตายอย่างไรเจ้าก็ไม่ยอมกลับ แล้วข้าจะต้องมาหาคนอื่นหรือ!” มารเฒ่ามองเขาอย่างเศร้าสร้อย
“เป็นเพราะอาจารย์ลุงให้ท่านเลือกผู้สืบทอดต่างหากเล่า แล้วจะมาโทษข้าได้อย่างไร ท่านสายตาสูงส่งเกินไปจนคนพวกนั้นไม่อยู่ในสายตาท่านเอง จึงได้ล่าช้ามาจนถึงบัดนี้ ใช่แล้ว ศิษย์น้องผู้นั้นของข้าอายุเท่าไหร่หรือ”
“ได้ยินว่าอายุใกล้จะยี่สิบสองปีแล้ว ดูเหมือนว่าอีกราวสองเดือนกระมัง” มารเฒ่าได้ยินคนเหล่านั้นวิพากษ์วิจารณ์กันตอนอยู่ที่เขาภาพมังกร
“เพิ่งจะอายุยี่สิบสองปี เยาว์วัยถึงเพียงนั้นเชียว ระดับขั้นสูงเพียงใด หลอมยาวิเศษขั้นสามได้แล้วหรือยัง”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ สายตาข้าจะย่ำแย่ถึงเพียงนั้นเลยหรือ คนที่ข้าเลือกไม่มีทางย่ำแย่อยู่แล้วสิ!” มารเฒ่าพูดอย่างภาคภูมิใจในตัวเอง
“ต่อให้พรสวรรค์ไม่เลว ก็อย่าลืมเรื่องบุคลิกนิสัยล่ะ ถ้าหากไม่ผ่านการทดสอบของหุบเขามารเทพ ต่อให้เป็นลูกศิษย์ของท่านก็ไม่มีทางได้เป็นผู้สืบทอดอยู่ดี!” อูหลิงอวี่เอ่ยเตือน
“นิสัยก็ดีด้วย วันนี้พอเจ้าได้พบเขาก็จะรู้เองนั่นแหละ” มารเฒ่าพูด
“ไม่ไป ข้าไม่มีเวลาหรอก” อูหลิงอวี่ปฏิเสธตรงๆ
“เจ้าจะไม่มีเวลาได้อย่างไรกัน” มารเฒ่าไม่เชื่อ
“ข้าจะไปเทือกเขาสั่วเฟยย่า” อูหลิงอวี่พูด
เขาตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะออกเดินทางไปยังอาณาจักรตงเฉินเพื่อตามหาเด็กสาวผู้นั้น
“ไม่ได้ เจ้าต้องไปกับข้า!” ชายชราร่างเล็กพูด “นอกจากนี้ยังต้องเตรียมของรับขวัญด้วย”
“ไม่ไปหรอก!” อูหลิงอวี่ปฏิเสธ
“ถ้าหากเจ้าไม่ไป ข้าจะ… ข้าจะ…”
“ท่านจะทำไม”
“ข้าจะตายให้เจ้าดู!”
“ถ้าอย่างนั้นท่านไปเถิด ข้าไม่ห้ามท่านหรอก!”
“เจ้าเด็กบ้าไร้เมตตา! เจ้าอยากยั่วให้ข้าโมโหจนตายใช่หรือไม่”
“ถ้าหากโมโหจนตาย ท่านก็ไม่ต้องตายเองแล้วสินะ”
“……”
ในที่สุดอูหลิงอวี่ก็เถียงชนะมารเฒ่าไม่ได้ จึงต้องตามเขาไปพบศิษย์น้องเล็กที่ว่า แต่ตอนที่ได้เห็นศิษย์น้องเล็กของตนนั้น เขาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ตนมาที่นี่ มิฉะนั้นก็ไม่รู้เลยว่าต้องผ่านไปอีกนานเท่าใดจึงจะได้พบคนที่ตนเฝ้าคิดถึงคะนึงหา
ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังปรุงอาหารอันโอชะอยู่ เพราะมารเฒ่าบอกเอาไว้ว่าจะกลับมากินข้าวในตอนค่ำ
“ศิษย์รัก ทำกับข้าวเสร็จหรือยังเล่า” ชายชราร่างเล็กและอูหลิงอวี่ร่อนลงข้างทะเลสาบเล็กพลางเอ่ยถาม
คนตระกูลซือหม่าต่างก็รู้กันว่าซือหม่าโยวเย่ว์กราบเขาเป็นอาจารย์ เมื่อได้ยินว่าเป็นบุคคลผู้ล้ำเลิศอย่างยิ่งที่โลกเบื้องบน พอพบเขาจึงเรียกด้วยความเคารพนับถือว่าท่านปู่มาร
“ท่านอาจารย์ ท่านมาเร็วขนาดนี้ ข้ายังทำกับข้าวไม่เสร็จหรอก ท่านต้องรอสักครู่หนึ่งนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ที่กำลังง่วนอยู่กับการผัดกับข้าวหันหน้ากลับมา เมื่อเห็นบุคคลด้านหลังมารเฒ่าก็สะดุ้งคราหนึ่ง
“เป็นท่าน!” ความตกใจแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเคือง เธอขว้างอุปกรณ์ในมือใส่เขา
อูหลิงอวี่เอื้อมมือไปรับตะหลิวผัดกับข้าวเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าทำกับศิษย์พี่เช่นนี้น่ะหรือ”
เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แสดงอาการเช่นนี้ สองตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองนั้นยังคงมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง นอกจากนี้เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่เธอแสดงออกยามได้เห็นตนแล้วก็ชัดเจนว่าผ่านมาหลายปีถึงเพียงนี้แต่เธอก็ยังไม่ลืมเลือนตนเลย!
คนตระกูลซือหม่าต่างพากันเบิ่งตาโต เหตุใดโยวเย่ว์จึงได้โมโหเช่นนี้เล่า ทั้งยังขว้างปาข้าวของอีกด้วย จุ๊ๆ ต้องมีเงื่อนงำแน่!
มารเฒ่าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จึงเอ่ยว่า “เจ้าเด็กบ้า เจ้ารู้จักโยวเย่ว์ด้วยหรือ”
“ไม่เพียงแต่รู้จักเท่านั้นนะ แต่ยังเคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาระยะหนึ่งด้วยละ” อูหลิงอวี่พูด
“เป่ยกง เจ้ามานี่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เป่ยกงถังหยิบตะหลิวอันหนึ่งออกมาแล้วยืนผัดกับข้าวต่อแทนที่เธอ แต่ยังคงมุ่งความสนใจไปที่ตัวโยวเย่ว์อยู่ตลอดเวลา
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปถึงข้างกายมารเฒ่าแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ เขาคือศิษย์ของท่าน ศิษย์พี่ของข้าอย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้อง พวกเจ้าไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาระยะหนึ่งตั้งแต่เมื่อใดหรือ” มารเฒ่าถาม
เมื่อเอ่ยถึงการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันระยะหนึ่งอีกครั้ง ซือหม่าโยวเย่ว์ก็นึกถึงสภาพตอนที่ถูกเขาเล่นเสียจนหัวหมุนตอนนั้นขึ้นมา จึงจัดแจงวาดมือซัดพลังโจมตีเข้าใส่อูหลิงอวี่ ดังนั้นจึงละเลยปฏิกิริยาของสร้อยข้อมือม่านถัวที่เกิดขึ้นเมื่อได้เห็นอูหลิงอวี่
“ห้ามใช้ปราณวิญญาณ!” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าถ้าหากตนใช้ปราณวิญญาณ ก็จะต้องมิใช่คู่ต่อสู้ของอูหลิงอวี่อย่างแน่นอน จึงตะโกนขึ้น
“ในเมื่อศิษย์น้องเล็กอยากเล่น ข้าจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าด้วยก็ได้” อูหลิงอวี่ยิ้มพลางหลบหลีกการโจมตีของซือหม่าโยวเย่ว์
คนหนึ่งไล่โจมตี คนหนึ่งหลบหลีกพร้อมสู้กลับเป็นระยะๆ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรซือหม่าโยวเย่ว์ก็ทำร้ายอูหลิงอวี่ไม่ได้เลย
“ท่านยืนนิ่งๆ ให้ข้าเลยนะ!” เมื่อเห็นตัวเองเหนื่อยจนหอบแฮกๆ แล้วยังโจมตีไม่ถูกตัวเขาเสียที ซือหม่าโยวเย่ว์จึงตะโกนขึ้นมา
อูหลิงอวี่ก็หยุดยืนนิ่งๆ อย่างเชื่อฟัง ซือหม่าโยวเย่ว์ซัดฝ่ามือเข้าใส่แต่ถูกเขาหยุดมือไว้แล้วออกแรงดึง เธอจึงถลาเข้าสู่อ้อมอกของเขาตามแรงดึงนั้น
เพราะพวกเขาวิ่งไล่ตามกัน จึงออกห่างจากค่ายพักมาไกลพอสมควรแล้ว ตอนที่อูหลิงอวี่ดึงตัวเธอนั้นก็หันหลังให้กับทุกคนอยู่ ดังนั้นถึงแม้ว่าตอนนี้ทั้งสองจะอยู่ในท่าทางอันไม่เหมาะสม ผู้คนริมทะเลสาบก็ดูไม่ออก
“คนชั่วช้า ปล่อยข้านะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะคอกอย่างโมโห
อูหลิงอวี่กอดซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้พลางก้มศีรษะลงงับใบหูเธอคำหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำว่า “สาวน้อย เจ้าเติบใหญ่แล้วสินะ หลายปีถึงเพียงนี้ เจ้าเคยคิดถึงข้าบ้างหรือไม่”