“เช่นนั้นท่านคิดจะทำการผสานรวมเมื่อใดหรือ” เธอเอ่ยถาม
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ตอนนี้เงื่อนไขยังไม่เต็มที่เลย” หมัวซาพูด
“เงื่อนไขหรือ เงื่อนไขอันใดกัน”
หรือว่าต้องรอวันเวลาสถานที่ที่เหมาะสมด้วย
หมัวซาเข้าใจความสงสัยในใจเธอจึงเอ่ยว่า “ตอนนี้เขายังใช้การไม่ได้ เจ้าเองก็ยังใช้การไม่ได้เช่นกัน”
“ข้าใช้การไม่ได้หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลืมตา เหตุใดจึงพูดอย่างคลุมเครือขนาดนี้เล่า! ยังดีที่เธอไม่ใช่ผู้ชาย ไม่อย่างนั้นคงหดหู่ใจตายแน่
“พลังยุทธ์ของเจ้าไม่เพียงพอ หากฝืนถอนสายสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้าไป หากเจ้าไม่ตายก็ต้องพิการอย่างสาหัสอยู่ดี” หมัวซาพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์อ้าปากค้าง อันตรายขนาดนี้เชียวหรือ เมื่อนึกถึงที่เขาบอกว่าอูหลิงอวี่ก็ยังใช้การไม่ได้ จึงถามว่า “เช่นนั้นศิษย์พี่เล่า เหตุใดเขาจึงใช้การไม่ได้ล่ะ”
“เขายกระดับพลังยุทธ์รวดเร็วเกินไป จนทำให้วิญญาณอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง หากผสานรวมตอนนี้เขาจะต้องสลายกลายเป็นเถ้าธุลีทันทีแน่ ส่วนข้าที่มิอาจได้ครอบครองวิญญาณอันครบสมบูรณ์ก็ต้องมีจุดจบเฉกเช่นเดียวกัน” หมัวซาพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์ทึ่มทื่อไปในทันที หาตัวคนจนพบแล้วแต่กลับมิอาจผสานรวมได้
“เช่นนั้นตอนนี้จะทำเช่นไรกันดีเล่า” เธอถาม
“เจ้ายกระดับพลังยุทธ์แล้วหล่อเลี้ยงวิญญาณของเขา” หมัวซาพูด
“ให้ข้าหล่อเลี้ยงวิญญาณของเขาอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ชอบใจนัก “ถึงแม้ว่าเจ้านั่นจะเป็นศิษย์พี่ของข้า แต่ก็น่ารังเกียจยิ่งนัก ถ้าข้าไม่อยากทำจะทำเช่นไร”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือกหรอกนะ” หมัวซาพูด
“จริงๆ เลยนะ… เกิดมาช่างเต็มไปด้วยความจนใจเสียจริง!” ซือหม่าโยวเย่ว์คร่ำครวญ “ถ้าหากท่านอาจารย์และศิษย์พี่ใหญ่ล่วงรู้เรื่องของท่านเข้า ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไรกันบ้าง! ท่านว่าพวกเราต้องบอกพวกเขาหรือไม่”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ” หมัวซาถามกลับ แต่น้ำเสียงกลับค่อนข้างแน่วแน่
“เฮ้อ… ด้วยความเฉลียวฉลาดของพวกเขา พอข้าให้น้ำทิพย์วิญญาณกับศิษย์พี่ พวกเขาต้องรู้เบาะแสอย่างแน่นอน สารภาพความจริงไปเลยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงเส้นผมด้วยสีหน้าไม่พอใจ
อูหลิงอวี่ผู้นี้คือผู้ที่เคยฉวยโอกาสกับตนมาก่อน ตอนนี้กลับต้องช่วยเขา ชาติก่อนนับได้ว่าตนเป็นคนรักนวลสงวนตัว แค่นึกถึงก็ทำให้ตื่นตระหนกตกใจแล้ว
“เฮ้อ…” เธอถอนหายใจยาว แต่ความกลุ้มใจก็มิได้ถูกปลดปล่อยออกมาอยู่ดี
เมื่อได้ยินเสียงมารเฒ่าดังลอยมาจากด้านล่างของภูเขาก็รู้ว่าเขากลับมาแล้ว เธอจึงลุกขึ้นเดินลงจากเขาไป
“โยวเย่ว์ เจ้าไปไหนมาหรือ” เป่ยกงถังเห็นซือหม่าโยวเย่ว์กลับมาแล้วจึงเอ่ยถาม
“ไปสูดอากาศที่ยอดเขามาน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นแววตาเป็นกังวลของเป่ยกงถัง จึงส่ายหน้าเป็นเชิงว่าตนไม่เป็นไร
เมื่อเห็นมารเฒ่า เธอจึงลอบทอดถอนใจ ถ้าหากรู้ว่าศิษย์ทั้งสองคนของตนมีความเกี่ยวโยงกับหมัวซาก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาเช่นไรบ้าง
“ในเมื่อกลับมาแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็เริ่มต้นกันเลยดีกว่านะ” มารเฒ่าพูดจบแล้วหยิบเตาหลอมยาออกมา ก่อนจะเริ่มต้นหลอมยากลางทางลาดเขา
ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังดูมารเฒ่าหลอมยาตาไม่กะพริบ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอได้ดูนักหลอมยาขั้นเก้าหลอมยา จึงได้เรียนรู้อะไรไม่น้อยเลย
การหลอมยาวิเศษตรีปราณจำเป็นต้องใช้เครื่องยากว่าร้อยชนิด นอกจากนี้ยังล้วนแล้วแต่มีความเกี่ยวข้องกับวิญญาณทั้งสิ้น การกลั่นจึงยากกว่าเครื่องยาทั่วไปอยู่มากพอสมควร
แต่มารเฒ่ากลับเคลื่อนไหวได้ดังใจนึก เขาโยนเครื่องยาชนิดแล้วชนิดเล่าเข้าไปอย่างอิสระ มิได้กังวลเลยแม้แต่น้อยว่าการกลั่นจะออกมาดีหรือไม่ นอกจากนี้หลังจากที่เขากลั่นเครื่องยาชนิดหนึ่งเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ใช้พลังวิญญาณห่อหุ้มเอาไว้ภายในเตาหลอมยา แล้วทำการกลั่นอย่างอื่นต่อไปโดยมิได้นำออกมาจากเตา
ตอนนี้พลังวิญญาณผสานรวมกับสารสกัด ซึ่งอาจจะลดทอนฤทธิ์ยาได้ ดังนั้นจึงได้แต่ห่อหุ้มเอาไว้ มิอาจให้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ซึ่งดูเหมือนง่าย แต่กลับยากพอสมควรสำหรับนักหลอมยา
“เช่นนี้ก็ได้ด้วย!” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางตัวเองพลางศึกษาการควบคุมสิ่งเหล่านี้ของเขา
หลังจากกลั่นเครื่องยาทั้งหมดแล้ว มารเฒ่าจึงเริ่มต้นทำการผสานรวม กระบวนการนี้เชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง กินเวลายาวนานสามสี่ชั่วยามจึงจะเสร็จสิ้น
ในขั้นตอนการผนึกยาหลังจากนั้น มารเฒ่าก็กลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง แต่การเคลื่อนไหวนั้นช่างซับซ้อนและยุ่งยาก พลังวิญญาณหลั่งไหลเข้าไปภายในเตาตามการเคลื่อนไหวของเขา สองคนที่ดูอยู่ต่างรู้สึกเพียงความตื่นตาตื่นใจ แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของเขาก็ยังมองได้ไม่ชัดสักเท่าใดนัก
ในขณะที่ผนึกยา ท้องฟ้าก็แปรเปลี่ยนเป็นมืดหม่น เมฆสายฟ้ากลุ่มหนึ่งรวมตัวกันกลางท้องฟ้าเบื้องบนอย่างช้าๆ
“กัลป์โอสถ!” ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังอุทาน การหลอมยาวิเศษตรีปราณเหนี่ยวนำสายฟ้ามา แสดงว่าอย่างน้อยยาวิเศษก็ต้องเป็นระดับเจ็ดขึ้นไป
มารเฒ่าเองก็เห็นเมฆกัลป์บนท้องฟ้าแล้ว แต่กลับมิได้นำมาใส่ใจ เขาทำการผนึกยาต่อไป
“กลิ่นยาโชยออกมาแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ได้กลิ่นหอมจางๆ จึงเอ่ยขึ้น
เป่ยกงถังก็ได้กลิ่นยาเช่นกัน เพียงแต่เมื่อได้กลิ่นนี้แล้วทำให้รู้สึกว่าวิญญาณได้รับการหล่อเลี้ยง มิอาจพูดได้ว่าสบาย ถ้าหากกินยาวิเศษชนิดนี้ลงไปก็ไม่รู้ว่าจะให้ผลเช่นไร
“ขึ้นมา!”
มารเฒ่าตะโกนเสียงดัง พลังวิญญาณสายหนึ่งห่อหุ้มยาวิเศษสามเม็ดเอาไว้แล้วพุ่งออกมาจากเตาหลอมยา
ในขณะนี้เอง สายฟ้าก็ฟาดลงมาจากเมฆกัลป์กลุ่มนั้นอย่างต่อเนื่องกันถึงสามสาย ประทับลงบนยาวิเศษสามเม็ดนั้น
“เฮอะ!” มารเฒ่าดีดตัวขึ้นแล้วสะบัดแขนเสื้อด้านซ้ายห่อยาวิเศษสามเม็ดนั้นเอาไว้ ส่วนมือขวาก็ส่งการโจมตีต่อเนื่องสี่สาย จนทำให้สายฟ้าสามสายนั้นสลายตัวไป ส่วนอีกสายหนึ่งโจมตีเมฆกัลป์โดยตรง หลังจากนั้น…เมฆกัลป์จึงลับหายไป
ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังเบิกตาโพลงจ้องมองมารเฒ่าพลางอ้าปากค้างจนคางแทบแตะพื้น
“สุดยอดไปเลย!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างตกตะลึง
“พลังวิญญาณทำเอาเจ้าเมฆนั่นหนีไปเลยทีเดียว” เป่ยกงถังก็ไม่เคยเห็นคนที่สุดยอดเช่นนี้มาก่อนเลย
ก่อนหน้านี้ตระกูลมีคนหลอมยา เธอซึ่งอยู่ที่เรือนอันห่างไกลได้เห็นเหตุการณ์ตรงนั้นด้วย ในตอนนั้นพวกเขาหยิบเอาอาวุธวิญญาณมาต้านทานกัลป์โอสถ แต่มารเฒ่ากลับใช้พลังยุทธ์ของตนขับไล่เมฆกัลป์ไปได้อย่างง่ายดาย
ช่างแกร่งกล้าเกินไปเสียแล้ว!
มารเฒ่าร่อนลงบนพื้นดินแล้วหยิบขวดหยกออกมาเก็บยาวิเศษสามเม็ดลงไปอย่างพึงพอใจ
“ฮ่าๆ เป้าหมายหลักในการมาที่นี่สำเร็จแล้วสิ!” มารเฒ่าพูดพลางหัวเราะเสียงดังลั่น
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ว่าเขาเบิกบานใจอย่างแท้จริง รู้ว่าเขาดีใจเพราะอูหลิงอวี่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ จึงแอบชื่นชมในใจว่าถึงแม้เขาจะเรียกอูหลิงอวี่ว่าเจ้าเด็กบ้าอยู่ทุกคำ แต่ในใจของเขากลับใส่ใจเจ้าคนผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง
เธอลูบไล้สร้อยข้อมือม่านถัวแล้วเกิดความมั่นใจขึ้นมา
“เอาละ พวกเรากลับกันดีกว่านะ” มารเฒ่าเก็บเตาหลอมยาแล้วเอ่ยขึ้น
“ท่านอาจารย์ ท่านไม่นำยาวิเศษไปมอบให้ศิษย์พี่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
ถึงแม้ว่าอูหลิงอวี่จะดูสบายดี แต่เธอรู้ว่าสถานการณ์ของเขาย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง วิญญาณอ่อนแออย่างที่สุด
“จะให้ข้าไปหาเจ้าเด็กนั่นได้อย่างไรกัน เห็นตำหนักผู้วิเศษแล้วไม่สบายใจเอาเสียเลย” มารเฒ่าพูดพลางหยิบก้อนหินแวววาวใสกระจ่างก้อนหนึ่งออกมา ก่อนจะใส่พลังวิญญาณเข้าไปในนั้น ก้อนหินจึงเปล่งประกายอันเจิดจ้าออกมา
“เจ้าเด็กบ้า โผล่หัวมาหาข้าที่เขาภาพมังกรเดี๋ยวนี้!” เขาตะโกนใส่ก้อนหิน
เพียงไม่นานเสียงของอูหลิงอวี่ก็ดังออกมาจากก้อนหินว่า “ตาเฒ่า ตอนนี้ข้ากำลังยุ่งอยู่ อีกสักครู่หนึ่งค่อยไปหาท่านนะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ตื่นตาอีกครั้ง นี่มันก้อนหินอะไรกันถึงได้แปลกประหลาดเช่นนี้ เป็นเหมือนโทรศัพท์มือถืออย่างนั้นหรือ!
“มาให้เร็วหน่อยจะดีที่สุด มิฉะนั้นข้าจะยกของดีให้ศิษย์น้องเจ้าแล้วนะ!” มารเฒ่าพูดอย่างไม่พอใจ
“ดีสิๆ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางยิ้มตาหยี
เมื่ออูหลิงอวี่ที่อยู่อีกทางได้ยินเสียงซือหม่าโยวเย่ว์ ก็ราวกับเห็นท่าทางยิ้มแย้มของเธอ มุมปากจึงยกยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยว่า “เจ้ายังอยากกัดข้าอีกสักคำหรือไม่”
ซือหม่าโยวเย่ว์หดหู่ในทันที เจ้าคนผู้นี้จะบอกว่าหากเธอชิงของของเขาไป เขาก็จะลงมือกับตนอีกอย่างนั้นหรือ