“นี่คือสิ่งใดหรือ ถึงได้มีผลต่อวิญญาณอย่างมหาศาลเช่นนี้!” อูหลิงอวี่ถาม
“น้ำทิพย์วิญญาณ มีผลต่อวิญญาณและพลังจิตอย่างที่สุดเลยละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนนั้นหมัวซาอาการหนักถึงเพียงนั้น ข้าก็ใช้สิ่งนี้แหละทำให้เขาฟื้นฟูขึ้นมาทีละเล็กละน้อย”
“ได้ผลดีขนาดนี้เชียว!” อูหลิงอวี่สนใจน้ำทิพย์วิญญาณเป็นอย่างยิ่ง เมื่อครู่ตอนที่เขาพบหน้าหมัวซาก็รู้สึกได้ว่าวิญญาณของเขาแกร่งกล้าเพียงใด คิดไม่ถึงว่าเป็นเพราะใช้สิ่งนี้ในการฟื้นฟู
“ก็ใช่แหละ ผ่านประสบการณ์มาหลายหมื่นปี ต่อให้วิญญาณของเขาแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่มีทางแกร่งกล้าได้เท่าตอนนี้แน่” มารเฒ่าพูด จากนั้นจึงมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางยิ้มกว้าง “ศิษย์รัก เจ้ามีของสิ่งนี้อยู่มากไหม แบ่งให้ข้าสักหน่อยด้วยได้หรือไม่!”
“เมื่อครู่ท่านยังคิดจะสังหารข้าปิดปากอยู่เลยมิใช่หรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
มารเฒ่าพูดอย่างหน้าหนาว่า “เรื่องที่ศิษย์พี่เจ้าวิญญาณไม่สมบูรณ์นี้เป็นความลับมาโดยตลอด เจ้าพูดออกมาอย่างปุบปับ ข้าก็เลยคิดว่าเจ้าเป็นคนของหุบเขาหมื่นบุปผาที่เข้ามาใกล้ชิดพวกเราด้วยเจตนาไม่ดีน่ะสิ ตอนนี้พอรู้ว่าเจ้าไม่ใช่แล้ว เจ้าก็ต้องเป็นศิษย์รักของข้าต่อไปสิ”
“เฮอะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์แค่นเสียงเฮอะ ยังจะมาปั้นหน้าอีก
“ไอ้หยา… ศิษย์รักเอ๋ย เจ้าก็อย่าถือสาอาจารย์เลยน่า” มารเฒ่าดึงชายเสื้อซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยท่าทีออดอ้อน ทำเอาศิษย์ทั้งสองขนลุกขนพองไปทั้งตัว
“เฮอะ ท่านอาจารย์ ท่านต้องชดเชยให้กับสุขภาพจิตที่เสียไปของข้าด้วยนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ได้สิ รอจนเจ้าไปที่หุบเขามารเทพแล้วต้องการสิ่งใดก็หยิบสิ่งนั้นไปได้เลย” มารเฒ่ารับปากอย่างเต็มใจ
“วันนั้นท่านก็บอกไปแล้ว นั่นคือของรับขวัญศิษย์ ไม่นับเป็นการชดเชย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เช่นนั้นเจ้าต้องการสิ่งใดเป็นการชดเชยเล่า” มารเฒ่าทึ้งผมตัวเองพลางเอ่ยว่า “เจ้าลองเสนอมามิดีหรือ”
“ข้าจะไปรู้หรือว่าท่านมีอะไรบ้าง!” ซือหม่าโยวเย่ว์หน้าไม่อายมากยิ่งขึ้น
“ตาเฒ่า ท่านยกปลอกนิ้วของท่านให้นางมิดีหรือ” อูหลิงอวี่พูดอยู่ข้างๆ
“ได้เลย! ถึงอย่างไรช้าเร็วก็ต้องตกเป็นของนางอยู่ดี” มารเฒ่าพยักหน้าพลางพูดขึ้น
“ปลอกนิ้วนี่มีประโยชน์อันใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ใช้เคลื่อนย้ายพลังส่วนหนึ่งของหุบเขามารเทพได้” มารเฒ่าพูด “แสดงถึงอำนาจน่ะ! นอกจากนี้ยังเคลื่อนย้ายพลังของเมืองจำนวนหนึ่งได้อีกด้วย”
“ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองมารเฒ่าแล้วเอ่ยว่า “นี่คงมิใช่สัญลักษณ์แสดงตัวเจ้าหุบเขามารเทพของท่านหรอกกระมัง”
“ย่อมมิใช่อยู่แล้วละ ต่อให้ข้าอยากมอบให้เจ้า เจ้าก็ใส่ไม่ได้อยู่ดี” มารเฒ่าพูด
“เพราะเหตุใดหรือ” ปลอกนิ้วอันเดียวก็ต้องมีเงื่อนไขด้วยอย่างนั้นหรือ
“จะเกิดอันตรายน่ะสิ” อูหลิงอวี่พูด
“เช่นนั้นปลอกนิ้วที่พวกท่านพูดถึงคือสิ่งใดหรือ” เธอถาม
“สิ่งนี้”
มารเฒ่าหยิบปลอกนิ้วอันหนึ่งออกมาส่งให้ซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยว่า “สิ่งนี้… เจ้าลองสวมดูสิว่าสวมได้หรือไม่”
ซือหม่าโยวเย่ว์รับแหวนไปดู บนหินโมราสีโลหิตมีหัวกะโหลกสลักอยู่ และระหว่างเบ้าตาทั้งสองของหัวกะโหลกนี้ก็มีสิ่งที่ดูเหมือนหยดเลือดอยู่สองหยดด้วย
“เหตุใดสิ่งนี้จึงดูชั่วร้ายถึงเพียงนี้เล่า คงจะมิได้เป็นของเผ่ามารหรอกกระมัง” เธอมองดูมันแล้วเงยหน้าขึ้นถาม
“เจ้าลองพลิกด้านดูสิ” อูหลิงอวี่พูด
ซือหม่าโยวเย่ว์ทำตามด้วยความสงสัย หลังจากนั้นจึงเบิกตาโตแล้วเอ่ยว่า “คราวนี้เปลี่ยนกลายเป็นนางฟ้าแล้ว! น่าประหลาดยิ่งนัก ทำได้อย่างไรกันนี่”
“เรื่องนี้เจ้าอย่าได้ประหลาดใจไปเลย” มารเฒ่าพูด “แหวนวงนี้มันเลือกนาย คนทั่วไปมิอาจสวมใส่ได้ เจ้าลองดูสิ”
“อ้อ” ซือหม่าโยวเย่ว์สวมปลอกนิ้วลงบนนิ้วหัวแม่มือ ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าไอเย็นกลุ่มหนึ่งส่งผ่านจากนิ้วหัวแม่มือไปยังห้วงสมอง แต่เธอยังมิทันได้พูดว่าสบายเหลือเกิน ไออันร้อนรุ่มราวกับไฟก็จู่โจมเข้ามา
ไอร้อนและไอเย็นผสานกันบนร่างกายของเธอ คล้ายกับจะช่วงชิงร่างกายของเธออย่างไรอย่างนั้น
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกคล้ายกับว่าวิญญาณของตนลอยขึ้นมา จากนั้นก็ร่วงหล่นลง ทัศนียภาพโดยรอบร่นถอยไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอปรับสภาพกับเหตุการณ์ตรงหน้าได้แล้วก็พบว่าเธอมิได้อยู่บนภูเขาอีกต่อไป
“ที่นี่มันที่ไหนกัน เอ๊ะ มีความเคลื่อนไหวด้วย”
เธอสัมผัสได้ว่าไกลออกไปมีระลอกพลังวิญญาณกระเพื่อมไหวอยู่ คิดจะเข้าไปดูสถานการณ์สักหน่อย ระหว่างทางก็ดูไปด้วยว่าจะหาใครสักคนมาถามว่าที่นี่คือที่ไหนได้บ้างหรือไม่
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินตรงไปข้างหน้า เมื่อเธอรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างของตนอ่อนแรงแล้วนั้นเอง จึงข้ามผ่านภูเขาใหญ่ตรงหน้ามาได้
“ไม่มีใครเลย!” เธอพึมพำ “แล้วระลอกคลื่นพวกนั้นมาจากที่ไหนกันล่ะ”
เธอเดินตรงไปข้างหน้าต่อด้วยความรู้สึกว่าสติรับรู้ของตนค่อยๆ รางเลือนลงไปเรื่อยๆ
“นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะ ฉันจะหลับไม่ได้เด็ดขาด” สัญชาตญาณบอกเธอว่าเธอจะหมดสติลงไปไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงออกแรงกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้ ใช้ความเจ็บปวดกระตุ้นสติตัวเอง
“เหตุใดจึงสว่าง เหตุใดจึงมืด” เสียงแหลมสูงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเลือนราง คล้ายกับการดีดสายเครื่องดนตรี
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าหัวสมองอันวิงเวียนของตนถูกกระตุ้นให้แจ่มใสขึ้นมาไม่น้อย
“เหตุใดจึงถูก เหตุใดจึงผิด” น้ำเสียงรื่นหูลอยแหวกอากาศมา แฝงความทอดถอนใจเอาไว้ด้วย
ซือหม่าโยวเย่ว์แจ่มใสขึ้นมา ทัศนียภาพรอบตัวแปรเปลี่ยน เธอมาถึงพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหิมะ เห็นหัวกะโหลกอันหนึ่งและหญิงสาวผู้งดงามเผชิญหน้ากันอยู่ในพื้นหิมะ
“ข้ารู้สึกว่าเรื่องที่ถูกต้องย่อมถูกต้อง” หัวกะโหลกพูด คล้ายกับกำลังตอบคำถามเมื่อครู่ของหญิงสาว
“บนโลกควรเหลือเพียงแค่แสงสว่างเท่านั้น ขจัดความมืดมิด” หญิงสาวพูดต่อ
ทันใดนั้นทั้งสองคนต่างหันมามองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วถามว่า “เจ้าว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใดคือความสว่าง สิ่งใดคือความมืดหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองคนทั้งคู่ ดูเหมือนว่าจะเป็นสองคนที่อยู่บนปลอกนิ้วนั่นเอง ตอนที่ทั้งสองมองเธอ ทำให้เธอรู้สึกว่าวิญญาณของตนสั่นสะท้าน
“ตอบมาเร็วเข้า!” หัวกะโหลกตะคอกเสียงดัง
”สหายตัวน้อย เจ้าค่อยๆ คิดนะ“ หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนโยน
ซือหม่าโยวเย่ว์สูดหายใจแล้วเอ่ยว่า “บนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ถูกโดยสิ้นเชิง และไม่มีสิ่งใดที่ผิดโดยสิ้นเชิงเช่นกัน หากมองเรื่องเดียวกันจากมุมที่แตกต่างย่อมถูกผิดแตกต่างกันไป หากพูดอย่างง่ายๆ มีคนสังหารญาติสนิทของท่าน ท่านไปแก้แค้นด้วยการสังหารคนผู้นั้น สำหรับท่านแล้วนี่ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่สำหรับคนข้างหลังของคนผู้นั้น ท่านย่อมกระทำผิดอยู่แล้ว”
“ความสว่างและความมืด สิ่งใดควรดำรงอยู่” ทั้งสองคนถามขึ้นพร้อมกัน ด้วยท่าทีเหมือนว่าเจ้าต้องเลือกมาสักอย่างหนึ่ง
“ความสว่างและความมืดนั้นแท้ที่จริงแล้วต้องพึ่งพาและสอดประสานกัน ไม่มีใครอาจแยกจากใครได้เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ที่ใดมีความสว่างก็มีความมืดได้ ที่ใดมีความสิ้นหวังก็มีความหวังได้เช่นกัน”
“พูดจาเหลวไหล ความสว่างและความมืดจะดำรงอยู่พร้อมกันได้อย่างไรเล่า!” คราวนี้แม้กระทั่งหญิงสาวก็โมโหขึ้นมาเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่รีบร้อน เธอชี้ไปยังพื้นหิมะไกลสุดลูกหูลูกตาแล้วถามว่า “ที่นี่ขาวโพลนไปหมด ดูแล้วสะอาดตาอย่างยิ่งเลยใช่หรือไม่ แต่ข้างล่างเล่า”
เธอคุกเข่าลงไปแล้วขุดหิมะออกมา ด้านล่างล้วนเต็มไปด้วยโคลนตม
“ยังมีอีก” เธอจุดเปลวเพลิงขึ้นกองหนึ่งแล้วหยิบแผ่นไม้ออกมาพลางเอ่ยว่า “ด้านหน้าของแผ่นไม้นั้นสว่างเจิดจ้า แต่ด้านหลังของแผ่นไม้เล่า เต็มไปด้วยเงามืดเลยละ”
หัวกะโหลกและหญิงสาวต่างก็ไม่เอ่ยวาจา พวกเขาแสดงท่าทีครุ่นคิด
ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บเปลวเพลิงลงไปแล้วเอ่ยว่า “พูดถึงสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด กลางวันและกลางคืน พวกท่านบอกได้หรือไม่ว่าบนโลกจะมีเพียงแค่กลางวันอันสว่างไสวหรือแค่กลางคืนอันมืดมนดีเล่า”
เดิมทีเธอคิดว่าสองคนนั้นจะโต้แย้งเธอ แต่คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวผู้นั้นกลับยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ดีมาก ความคิดของเจ้าถูกต้องเหมาะสมยิ่งนัก เรื่องใดในโลกหล้าล้วนมิอาจสรุปอย่างเฉพาะเจาะจงได้ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ความสว่างหรือความมืด ล้วนไม่มีสิ่งใดเด็ดขาด เจ้าผ่านการทดสอบแล้ว ไปเถิด”
ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่ทันได้สติกลับคืนมา รู้สึกเพียงแค่ความวิงเวียนเท่านั้น เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นมารเฒ่าและอูหลิงอวี่กำลังมองตนอยู่อย่างตกตะลึง