นี่คือความสงสัยภายในใจของทุกคน
เพราะความไม่ลงรอยกับสมาคมนักหลอมยา หลังจากที่พวกหลี่มู่มาถึงแล้ว พวกเขาจึงระแวดระวังอยู่ตลอด มิได้ละสายตาจากพวกนั้นเลย แต่ก็ไม่เห็นว่าพวกเขาจะมีความเคลื่อนไหวใดๆ
“ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะทาไว้บนตัวน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“แต่ถ้าทำเช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไม่ถูกโจมตีเช่นกันหรือ” ซือหม่าโยวหลานไม่เข้าใจ
“แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกันเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ตอบแต่ถามกลับแทน
“กลับหมู่บ้านภาพมังกรไปแล้วน่ะสิ” ซือหม่าโยวหลานพูดแล้วนึกขึ้นได้ในทันที “หมู่บ้านภาพมังกรมีค่ายกลอยู่ ถ้าเห็นสัตว์อสูรวิเศษฝูงใหญ่บุกโจมตี คนของหมู่บ้านภาพมังกรจะต้องเปิดค่ายกลอย่างแน่นอน พวกเขาอยู่ข้างใน ย่อมไม่เกิดเรื่องร้ายแน่”
“ถูกต้อง” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า “รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้า กลิ่นกล้วยไม้บนร่างกายของพวกเขาก็คงหายไปหมด พวกเขาออกมาก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
“เจ้านักหลอมยาพวกนี้ แต่ละคนจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเกินไปแล้ว!” ซือหม่าโยวฉิงพูดอย่างชิงชัง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า วันนี้พวกเราต้องโจมตีกระบวนท่านี้กลับให้จงได้!” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มเย็นชา
คนที่วางแผนร้ายต่อเธอ ก็ต้องเตรียมตัวถูกคิดบัญชีเอาไว้ให้ดี!
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรกันดีเล่า” ซือหม่าโยวหลินขมวดคิ้ว
“หลังจากติดตั้งค่ายกลนี้แล้ว ที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยใช้งานมาก่อนเลย คืนนี้พวกเจ้าจะได้เห็นพลานุภาพของมันแล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจในตัวเอง
เธอศึกษาค่ายกลนี้มาจากซือหม่าหลิน เมื่อเทียบกับค่ายกลป้องกันของเขาภาพมังกรแล้วก็มิได้ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้ คนตระกูลซือหม่าจึงค่อยวางใจลง
ซือหม่าโยวหลินมองเธอ เมื่อเห็นรอยยิ้มอันมั่นใจในตัวเองบนใบหน้าเธอแล้วก็ลอบทอดถอนใจว่าเธอมักจะทำให้ผู้อื่นสบายใจโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่เสมอ ทำให้ทุกคนเชื่อมั่น
ดังนั้นทุกคนจึงทำอะไรต่อไปตามปกติ คล้ายกับไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้เลย
เงาร่างหนึ่งถอยออกไปจากกลางทิวเขาแล้ววิ่งตรงไปยังเขาภาพมังกร ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปยังทิศทางนั้นแล้วยกมุมปากยิ้ม ประกายหนาวเหน็บวาบผ่านนัยน์ตา
ณ หมู่บ้านภาพมังกร หลี่มู่ได้รับข่าวว่าพวกซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ค้นพบเรื่องกลิ่นกล้วยไม้ ยังคงอยู่ที่ริมทะเลสาบเล็ก มิได้จากไปไหน
“หึ รอให้ถึงกลางคืนแล้วข้าอยากเห็นนักว่าจะมีใครช่วยเหลือพวกเขาได้อีก!” หลี่มู่พูดพลางหัวเราะเสียงดังลั่น
หงสยาที่ยืนอยู่ข้างกายเขาเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หมี่ ถ้าหากคนรุ่นเยาว์ของตระกูลซือหม่าตายก่อนวัยอันควรกันหมดแล้วตระกูลซือหม่าจะมาหาเรื่องพวกเราหรือไม่”
“กลัวอะไรกันเล่า!” หลี่มู่พูดอย่างไม่กังวลใจเลยแม้แต่น้อย “ใครจะรู้เล่าว่าเป็นฝีมือพวกเรา พอถึงพรุ่งนี้เช้า กลิ่นกล้วยไม้ก็จางไปหมดแล้ว ถึงคนพวกนั้นอยากจะหาร่องรอยก็ไม่เจออยู่ดี ค่อยว่ากันเถิด ตระกูลซือหม่าที่ไม่มีคนรุ่นเยาว์จะยังได้เป็นขุมอำนาจชั้นหนึ่งอยู่อีกหรือ อย่าลืมสิว่าพวกเราคือสมาพันธ์นักหลอมยาเชียวนะ ใครจะกล้ามาหาเรื่องพวกเรากันเล่า”
“ศิษย์พี่พูดได้ถูกต้อง” อู๋เฟิงพูดอย่างประจบประแจง
“เช่นนั้นคืนนี้พวกเราก็รอดูฉากสนุกได้เลย!” หงสยาคลายความกังวลใจลง จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อืม ตอนนี้ไปแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านให้เขาเตรียมเปิดค่ายกลป้องกันก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้นแม้แต่พวกเราเองก็จะแย่ไปด้วย” หลี่มู่ออกคำสั่ง
“ขอรับ ศิษย์พี่”
มีคนวิ่งออกไปแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว แต่พวกเขาย่อมมิอาจบอกได้ว่าเป็นเพราะพวกเขาพ่นกลิ่นกล้วยไม้เอาไว้ พูดเพียงแค่ว่าพวกเขาได้รับข่าวสารบางอย่างมา บอกว่าสัตว์อสูรเทพรอบๆ เมืองวิเศษจำนวนไม่น้อยมาถึงที่นี่แล้ว
หัวหน้าหมู่บ้านนึกสงสัย การจลาจลสัตว์อสูรวิเศษในคราวนี้ผ่านพ้นไปแล้วมิใช่หรือ แล้วจะมาโจมตีที่นี่ได้อย่างไรกัน
แต่สงสัยก็ส่วนสงสัย เขาก็ยังคงส่งคนขึ้นไปบนภูเขาเพื่อระวังสถานการณ์ภายนอกอย่างใกล้ชิด เมื่อใดที่มีสัตว์อสูรเทพบุกเข้ามาก็จะเปิดใช้ค่ายกลป้องกันในทันที
ยามราตรี พวกซือหม่าโยวเย่ว์ยังคงเล่นกันอยู่ที่ริมทะเลสาบ เพื่อให้พวกหลี่มู่ที่ลอบสังเกตการณ์อยู่ตายใจ
พวกเขายังคงกังวลว่าคนตระกูลซือหม่าจะระวังตัวอยู่บ้าง แล้วถอยไปที่หมู่บ้านภาพมังกร เช่นนั้นวันนี้พวกเขาก็คงคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังให้เจ้าอ้วนชวีหลอมเตาอบให้ ชนิดที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า แต่ใช้พลังวิญญาณกระตุ้นแทน ถึงแม้ว่ายามปกติเจ้าอ้วนชวีจะดูโง่งมอยู่เล็กน้อย แต่เขามีพรสวรรค์ทางด้านการหลอมวัตถุสูงส่งนัก หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์บอกถึงประโยชน์ของเตาอบให้เขาฟังแล้ว เขาก็รู้โครงสร้างของเตาอบเช่นนี้ได้ในทันที
แน่นอนว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังใช้เวลาหลายวันในการคิดว่าจะหลอมเตาอบอย่างไร และอาศัยจังหวะที่วันนี้มีเวลาว่าง เขาจึงทำตามคำขอของทุกคนด้วยการหลอมวัตถุต่อหน้าผู้คน
ในตอนแรกที่คนตระกูลซือหม่าได้ยินว่าดูเขาหลอมวัตถุได้ ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นไม่น้อย แต่เมื่อรู้ว่าเขาจะหลอมเตาอบให้ซือหม่าโยวเย่ว์จึงพากันงุนงงอยู่บ้าง เจ้าคนผู้นี้ช่างห่วยแตกเหลือเกิน พรสวรรค์มีเอาไว้ใช้เช่นนี้หรือไร!
คิดไปคิดมาแล้วทุกคนก็ยังคงวิ่งเข้ามาล้อมวงดูเขาอยู่ดี
ก่อนหน้านี้ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่เคยเห็นการหลอมวัตถุมาก่อนเลย ทุกครั้งเธอเพียงแค่บอกกับเจ้าอ้วนชวีว่าอยากให้หลอมอะไร หลังจากนั้นเขาก็หลอมชิ้นงานที่เสร็จสมบูรณ์แล้วมาให้เธอ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ดูอย่างถนัดตา
ทันใดนั้นเธอก็เบนสายตามองขึ้นไปบนภูเขาพลางเอ่ยว่า “มาแล้วละ”
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเธอหมายความว่าอย่างไร จึงพากันเตรียมตัวให้พร้อม
“โฮกกก…”
“บรู๊ววว…”
สัตว์อสูรเทพฝูงหนึ่งวิ่งลงมาจากภูเขาเคียงคู่แสงจันทร์ แต่ละตัวล้วนมีแววตาป่าเถื่อนดุร้ายอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าได้รับการกระตุ้นจากอะไรบางอย่าง
“มากมายถึงเพียงนี้เชียว!” สิ่งที่ทุกคนได้เห็นก็คือสัตว์อสูรเทพวิ่งกรูกันลงมา ทำเอาตกตะลึงกันไปหมด
“ก่อนหน้านี้ไม่เห็นมี พอมากันทีก็มากมายถึงเพียงนี้เชียว!” ทุกคนตะลึงลานอยู่บ้าง
“ทำไมหรือ มาพร้อมกันหมดเลยหรือ”
“เพราะกลิ่นกล้วยไม้มีฤทธิ์แรงที่สุดในยามราตรี ในยามกลางวันหากสัตว์อสูรวิเศษได้กลิ่นก็ยังควบคุมได้บ้าง แต่หากเป็นกลางคืนก็จะมิอาจต้านทานได้เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางสอดแทรกปราณวิญญาณสายหนึ่งเข้าไปในพื้นดิน ค่ายกลเริ่มโคจร โอบล้อมพวกเขาทั้งหมดเอาไว้ภายใน
คนที่หัวหน้าหมู่บ้านส่งมาเห็นสัตว์อสูรเทพกรูกันมาทางนี้ จึงตะโกนเสียงดังลั่นอยู่บนภูเขาว่า “ฝูงสัตว์อสูรบุกแล้ว เปิดค่ายกลป้องกัน ค่ายกลป้องกันระดับขั้นสูงที่สุดเลย!”
คืนนี้หัวหน้าหมู่บ้านก็มิได้ไปฝึกยุทธ์ คอยเฝ้ารอสถานการณ์ภายนอกอยู่ตลอด เมื่อได้ยินเสียงที่ดังมาจากบนภูเขา จึงออกคำสั่งกับปรมาจารย์วิญญาณที่เฝ้าค่ายกลในทันที “รีบเปิดใช้งานค่ายกลใหญ่เร็วเข้า!”
เสียงของเขาดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ปรมาจารย์วิญญาณแปดคนลงมือในทันที พวกเขาเสริมปราณวิญญาณเข้าไปภายในก้อนหินบนพื้นดินพร้อมกัน ค่ายกลป้องกันจึงถูกเปิดขึ้นในทันใด รัศมีสีขาวกระจ่างตาสว่างไสวไปทั่วทุกทิศทางพร้อมกัน คลื่นระลอกหนึ่งสว่างวาบขึ้นกลางท้องฟ้าแล้วโอบล้อมทั่วทั้งหมู่บ้านภาพมังกรเอาไว้
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
“เกิดการจลาจลอย่างนั้นหรือ”
“เหตุใดจึงเปิดค่ายกลป้องกันเล่า”
“มีสัตว์อสูรเทพฝูงใหญ่บุกโจมตีน่ะสิ!” คนบนภูเขาผู้นั้นตะโกนลงมาข้างล่างอีกครั้ง ทำให้คนที่เพิ่งตื่นมาเมื่อครู่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
คนจำนวนไม่น้อยทยอยบินมาบนภูเขาเพื่อดูสถานการณ์ข้างนอก ตอนที่พวกเขาเห็นสัตว์อสูรเทพฝูงแล้วฝูงเล่าพุ่งตัวมาทางนี้กันหมด ต่างก็พากันตะลึงลาน
“สวรรค์เอ๋ย การจลาจลสัตว์อสูรวิเศษมิได้สิ้นสุดลงแล้วหรอกหรือ ถึงแม้ว่าเทือกเขาหมื่นอสูรจะไม่ปลอดภัยในยามราตรี ก็ไม่น่าจะมีสัตว์อสูรเทพมากมายถึงเพียงนี้นี่นา!”
“แย่แล้ว คนตระกูลซือหม่ายังอยู่ข้างนอกนี่!”
“หมดหนทางแล้วล่ะ เมื่อใดที่เปิดค่ายกลป้องกันก็มิอาจเข้าออกได้แล้ว ตอนนี้พวกเขาไม่มีทางเข้ามาได้อีกแล้ว!”
“เช่นนั้นพวกเขาก็ตกอยู่ในอันตรายแล้วน่ะสิ”
“พวกพี่โยวหลินยังอยู่ข้างนอก! ท่านพ่อ ท่านช่วยพวกเขาหน่อยสิ!” หั่วจือเจียวพูดอย่างกระวนกระวาย
“ดึกแล้ว ตอนนี้ค่ายกลป้องกันเปิดทำงานเรียบร้อยแล้ว นอกจากจะปิดค่ายกล ก็ออกไปไม่ได้อีกแล้วล่ะ”
“เช่นนั้นพวกเขาจะทำอย่างไรเล่า!” หั่วจือเจียวเริ่มสะอื้น
“ก็ได้แต่รอพึ่งลิขิตสวรรค์แล้วล่ะ!”
“ด้านนอกมีสัตว์อสูรเทพมากมายถึงเพียงนั้น นอกจากนี้ยังมีระดับจ้าววิญญาณอยู่ไม่น้อยอีกด้วย พวกเขาคงยากจะรอดไปได้แล้วล่ะ!” คนของสมาคมนักหลอมยาพูดอย่างมีนัยแอบแฝง
นี่ก็เหมือนกับความคิดของทุกคนในที่นี้
“ไม่จริง พวกเขาต้องไม่เป็นไรแน่ พวกเจ้าคอยดูสิ!” คนผู้หนึ่งชี้ลงไปเบื้องล่างพลางร้องขึ้น