มันเป็นวันเดียวกับที่ผมเจอเคาท์เฮอร์แมนผู้แสนจะเต็มไปด้วยความน่าสงสัยนั่นล่ะ ตอนที่เขาทักผมไม่นาน เป็นอย่างที่เคาท์เฮอร์แมนว่า ผมก็ถูกเรียกตัวไปโดยทางราชสำนัก ทำเอาผมรู้สึกสังหรณ์แปลก ๆ ว่าเจ้าตัวร้ายเกรดบีนี่ต้องมีเอี่ยวด้วยแหง ๆ
พอเดินออกจากห้องไปตามโถงทางเดินในวังที่ตอนนี้ผมเริ่มจะคุ้นชินดีแล้ว เลยเดินไปได้แบบสบาย ๆ ไม่ต้องกลัวหลงทาง
และสุดท้ายผมก็เดินมาถึงห้องทรงอักษรของราชา แน่นอนว่าเป็นห้องดูหรูหราทว่าคงความเรียบง่ายไว้ไม่มีเปลี่ยนแปลง
คนที่รอผมก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากองค์ราชาที่ยังคงวุ่นกับการจัดการงานเอกสารและขุนนางคนสนิทของเขาคือท่านรีช…. คือที่จริงแกชื่อรีเชอรีแอร์แต่ชื่อแกมันยาวยากต่อการสะกดดังนั้นผมเลยย่อซะเหลือแค่ “รีช”
“พระองค์ ข้าว่าปัญหาน้ำท่วมทางใต้คงต้องลงงบเพิ่มตรงนี้และเพิ่มแรงงานที่นี่ไปน่าจะดีกว่า”
“ไอ้อยากมันก็อยากอยู่แต่ท่านก็เห็น ว่าถ้าจะหางบมาเพิ่มล่ะก็ มันต้องไปเอามาจากที่อื่นซึ่งท่านก็รู้ว่าที่ตรงนั้นมันที่ของใคร”
“ไม่ลองพิสูจน์ตนเองหน่อยล่ะ ถ้าเป็นท่านคงทำได้”
“นี่ท่านพูดอย่างกับช่วงข้าหนุ่ม ๆ อย่างงั้นล่ะ”
“ข้าว่ามันก็ไม่ค่อยเปลี่ยนสักเท่าไหร่นะ”
ทั้งสองคนพูดถกกันไปมาเรื่องการแก้ปัญหาบ้านเมืองต่าง ๆ ทว่ามองดู ๆ แล้วสองคนนี้สนิทกันน่าดู ได้ข่าวว่าท่านรีชแกเป็นอาจารย์มาตั้งแต่สมัยราชายังเป็นองค์ชายวัยหนุ่ม จะสนิทกันขนาดนี้ก็ไม่แปลก
ก๊อก ๆ
“ขออนุญาตค่ะ”
เห็นว่าทั้งสองคนดูยุ่ง ๆ อยู่ผมเลยเคาะประตูเบา ๆ ก่อนค่อย ๆ เปิดประตูเข้ามาแล้วโค้งหัวให้อย่างเรียบร้อย
“อ้าว นั่นท่านนักบุญนี่นา เชิญนั่งก่อนเลย พวกข้ากำลังจัดการปัญหาอะไรเล็กน้อยอยู่พอดีน่ะ”
องค์ราชาผายมือออกไปยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ ผมค่อย ๆ เดินไปนั่ง ก่อนจะมองซ้ายมองขวาสำรวจรอบ ๆ ห้องไปเรื่อย
รู้สึกไม่ค่อยได้เข้ามานานเท่าไหร่ แต่พวกเอกสารต่าง ๆ ก็ยังเยอะเหมือนเคย ต้องบอกว่าสมเป็นห้องของราชาที่มีข้อมูลทุกอย่างไว้ใช้อ้างอิงตอนทำงาน
….หือ!!!
ระหว่างที่กำลังมองชั้นหนังสืออย่างเพลิน ๆ สายตาผมก็ไปสะดุดกับกองเอกสารกองหนึ่ง พวกมันดูไม่มีอะไรนอกจากเป็นกองกระดาษที่ดูใหม่กว่าพื้น แน่นอนว่าผมจะไม่สะดุดอะไรกับมันเลยถ้าที่ชั้น มันไม่ได้ถูกปักป้ายไว้ว่า “ภารกิจของที่นักบุญ”
เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ…
ผมได้แต่เช็ดเหงื่อเมื่อมองเจ้าเอกสารกองโตนั่น ในใจก็ได้แต่สงสัยว่าชาตินี้ผมจะทำมันหมดไหมล่ะเนี่ย
พอไปถามท่านรีช แกก็ส่ายหน้าพลางเปิดเอกสารให้ดูเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้ผมเห็นว่าที่จริงแล้วส่วนใหญ่มันเป็นพวกภารกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ใหญ่โตจนสงสัยว่าให้คนอื่นทำแทนไม่ได้เหรอไง
“อ่อ พวกนี้เป็นพวกที่ยังไม่ผ่านคัดกรองน่ะ ของจริงที่ผ่านนั้นก็เหลือไม่มากหรอกนะ”
ท่านรีชบอกมาแบบนี้ก็ทำเอาผมโล่งอก โดยเขาก็เดินมาแสดงให้ผมดูถึงข้อมูลต่าง ๆ คร่าว ๆ ตอนที่เขาทำงานเสร็จ ช่างใจดีจริง ๆ
“ที่ผ่านการคัดกรองมาแล้วนั้น….มีเพียงหนึ่ง”
มีเพียงหนึ่ง….?!
ไม่รู้ว่าทำไม พอได้ยินแบบนี้แล้วผมถึงรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ๆ ขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรน่ากลัวบางอย่างมากระซิบ “เอ็งซวยแน่” เรื่อย ๆ
“เป็นคำขอจากแคว้นฝั่งเหนือ”
หือ? แคว้นทางเหนืออย่างงั้นเหรอ? ได้ยินแบบนี้ผมก็นึกย้อนไปถึงคำพูดของเจ้าขุนนางตัวร้ายเกรดบีคนนั้นขึ้นมา
ว่าแต่ที่เจ้าหมอนั่นบอกมาเป็นการเที่ยวไม่ใช่เหรอ?!!! แล้วไหงมันกลายมาเป็นคำร้องขอได้เล่าเฮ้ย?!
แต่ไม่ได้นะออโรร่า จะทำตัวกระโตกกระตากร้องไห้เสียใจไม่ได้ ต้องทำใจนิ่ง ๆ เข้าไว้ ทำตัวตามปรกติให้เหมือนนักบุญผู้ใจดีและไม่รู้เรื่องการเที่ยวให้มากที่สุด
“งั้นเหรอคะ แคว้นทางเหนือแค่ได้ยินก็รู้สึกอยากนำความเมตตาของพระองค์ท่านไปมอบให้แล้วล่ะค่ะ”
“ฮะ ๆ อย่าจริงจังขนาดนั้นเลยท่านนักบุญ”
ราชาพูดทักขึ้นมาพร้อมหัวเราะอย่างอบอุ่นคล้ายคุณลุงกำลังดูหลานให้กับตัวผม ทำเอาผมได้แต่คิ้วกระตุกเบา ๆ
มันจะไม่จริงจังได้อย่างไร รู้ไหมท่านราชา การที่คนซึ่งทำงานมาหลายต่อหลายปีแต่ไร้ซึ่งวันพักผ่อนอันงดงาม พอรู้ว่าจะได้มันมาแล้วต่อมากลายเป็นว่าช่วงพักที่ได้กลายเป็นงานแบบนั้นเนี่ย มันสะเทือนใจขนาดไหน!!!
“พวกเขาแค่ร้องขอไปในสิ่งที่ท่านเพิ่งพูดนั่นล่ะ แค่ไปสวดอวยพรนิดหน่อยก็เท่านั้น”
“ไม่ใช่แค่มอบพร แต่เป็นสวดให้ในวันนักรบศักดิ์สิทธิ์ต่างหากล่ะองค์ราชา”
ขณะที่ราชากำลังพูดปลอบใจผมจนใจผมกำลังเริ่มชื่นขึ้นมา ท่านรีชก็แทรกเข้ามาเอาซะจิตใจของผมเริ่มกลับไปเหี่ยวอีกครา
“แต่อย่ากังวลไปทั้งนักบุญ พิธีนั้นแค่วันสองวันก็เท่านั้น ส่วนวันที่ทางเหนือขอให้ท่านไปเยี่ยมเยียนนั้นเป็นเวลาถึงสองสัปดาห์ได้”
ดุจราวกับได้ยินเสียงจากสวรรค์ที่แท้จริง ตัวของผมสะดุ้งขึ้นมาพร้อมจ้องไปที่ดวงตาของท่านรีชว่าแกไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม
“เอ๋… เช่นนั้นเหรอคะ”
สองอาทิตย์เลยนะ!!! แค่ไปกล่าวคำตามโพยเสร็จก็ได้ไปเที่ยวแบบไม่ต้องทำงานตั้งสองอาทิตย์เชียวนะ…. โลกที่ผิดเพี้ยนแบบนี้มันจะมีอะไรดีงามแบบนี้จริง ๆ เหรอ!!!
“แน่นอน”
เยสสสสส ได้เวลาพักกับเขาแล้วโว้ย!!!
แต่จะทำตัวกระโตกกระตากอะไรมากไม่ได้ ไม่งั้นเสียมาดที่สั่งสมมานานหมด ดังนั้นต้องทำเป็นเสียดายซะหน่อย
“เช่นนั้นเหรอคะ น่าเสียดายจังเลยนะคะนึกว่าหนูจะได้ช่วยเหล่าผู้คนในแดนเหนือมากกว่านี้ซะหน่อย”
ผมเริ่มตีหน้าทำเป็นเศร้าและเสียดาย ดวงตาสองข้างพยายามหรี่เล็กและมองลงต่ำ มือทั้งสองเองก็ผสานจับกันไปมาคล้ายเก็บอาการกังวลใจอะไรไม่อยู่
….
ทั้งสองคนมองหน้ากันไปมาพร้อมกับกระซิบเสียงเบา ๆ ไม่ให้ผมได้ยิน แต่ดูจากสายตาของความเป็นห่วงของราชาที่ส่งมาให้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าการตีเนียนของผมนั้นมันสำเร็จอย่างแน่นอน
“ปรกติต้องดีใจไม่ใช่เหรอ… ท่านรีเชอร์ ไหงมันกลายเป็นแบบนี้ล่ะ”
แต่ถึงพวกเขาจะพยายามไม่ให้ผมได้ยินอย่างไร มีเหรอจะรอดพ้นหูขั้นเทพของออโรร่าน้อยคนนี้ไปได้ ด้วยการเสริมพลังแห่งการได้ยิน ทำให้ผมสามารถได้ยินที่พวกเขาทั้งสองคนพูดเต็มสองรูหู
“ท่านก็รู้ว่านางไม่ปรกติ”
ได้ยินมาแบบนี้แทบทำเอาผมมองตาขวางใส่ท่านรีช แต่ก็ต้องรีบเก็บอาการก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวความแตกเอาได้
ว่าแต่มาว่ากันว่าไม่ปรกติแบบนี้มันโหดร้ายไปหน่อยไหมท่าน ก็เข้าใจอยู่ว่ารอบตัวคนปรกติอย่างท่านมันเต็มไปด้วยพวกเพี้ยน ๆ ทว่าอย่าเอาออโรร่าน้อยผู้เต็มบาทคนนี้ไปเทียบกับพวกดมกาวพวกนั้นจะได้ไหม!
“แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า เรื่องแบบนี้ข้าก็ไม่ถนัดด้วยสิ”
“แล้วท่านคิดว่าข้าถนัดเหรอ?”
……
ทั้งสองแอบพูดซุบซิบเถียงกันพักหนึ่งก็ทำเอาผมได้แต่แอบคำในใจราวกับดูคณะตลกคาเฟ่ แต่ที่จริงก็ถือว่าน่ายินดีที่ทั้งสองคนนี้เป็นห่วงความรู้สึกผมขนาดนี้ จะแกล้งมากต่อไปคงจะไม่ค่อยดีต่อพวกเขาเท่าไหร่
“ไม่เป็นไรค่ะ ในบางทีการพักผ่อนอาจเป็นหนึ่งในความประสงค์ของพระองค์ท่านก็ได้”
ประสงค์ของผมเองนี่ล่ะ!!! กับเจ้าผีบ้าที่วัน ๆ มีแต่หาเรื่องแกล้งผมมีเหรอจะมาหาวันให้ผมได้พักหายปวดสมอง มีแต่หาเตรียมเรื่องบ้า ๆ มาแกล้งผมมากกว่า
อ๊ะ….
“เพราะประสงค์ของท่านก็คือประสงค์ของข้า ทุกการย่างก้าวนั้นล้วนเต็มไปด้วยบททดสอบอันแสนน่ายินดีของพระองค์ ตัวข้านั้นจึงรู้สึกยินดีทุกย่างก้าวที่ไปไม่ว่าจะเป็นภาระการงานหรือการพักผ่อน”
ให้ตายเถอะ นี่ผมพูดบ้าอะไรออกไปเนี่ย อุตส่าห์ฝึกมาหลายรอบแล้วนะ แต่ก็หลุดบ่นเจ้า….หลุดบ่นพระเจ้าไปซะได้
“….ข้าว่าไหลตามน้ำไปน่าจะดีนะ”
“จุดนี้ข้าก็เห็นด้วยกับพระองค์”
ดูเหมือนคำสาปของผมจะเป็นทางออกของพวกเขา หลังจากที่ผมพูดประโยคนี้ขึ้นมา ราชาก็รีบตีเนียนไหลตามน้ำไปกับคำพูดของผมซะอย่างนั้น
“นั่นสินะ บางทีคำร้องขอจากทางภาคเหนือนี้อาจจะเป็นหนึ่งในภารกิจที่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เตรียมไว้ก็ได้ เช่นนั้นพวกข้าก็ขอเป็นกำลังใจให้ท่านนักบุญพบและทำภารกิจที่ว่านั่นให้ลุล่วงแล้วกัน”
ดูแกสิ ดูราชาแกตีเนียนสิ…. สมกับเป็นนักการเมืองผู้ช่ำชองจริง ๆ ตีเนียนหลอกเด็กได้หน้าตาเฉย
เอาเถอะ อย่างน้อยก็ถือว่าจัดการปัญหาอย่างหนึ่งได้แล้วล่ะนะ
หลังพูดคุยอีกเล็กน้อย ท่านราชากับท่านรีชก็ให้ผมกลับไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปทางภาคเหนือในวันพรุ่งนี้ แน่นอนว่าผมไม่รอช้าที่จะพุ่งตรงดิ่งไปที่ห้องเพื่อเตรียมจัดของไปสำหรับวันหยุดยาวที่กำลังมาถึง
“ออโรร่า!!”
เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นมาเรียกให้ผมหันไปหา ก็พบกับชาร์ลที่กำลังโบกมือวิ่งมาหา โดยเขาในตอนนี้นั้นดวงตาช่างเปล่งประกายกว่าครั้งก่อน ๆ ที่เจอกัน
“สวัสดีค่ะ ชาร์ล สบายดีใช่ไหมคะ”
ผมถามด้วยความเป็นห่วง เพราะตอนเราแยกจากกัน เจ้าหมอนี่ก็สะบักสะบอมอยู่พอสมควร ตอนแยกจากกันสภาพยับเป็นผ้าเลย
“อื้อ ท่านหมอหลวงตรวจดูแล้วบอกว่าบาดแผลที่มีก็ร่ายเวทรักษาเรียบร้อยที่เหลือก็พักนิดหน่อยก็ฟื้นเต็มร้อยแล้วล่ะ”
“เป็นเรื่องที่น่ายินดีจังเลยค่ะ”
ผมยิ้มให้พร้อมตอบไปตามตรงก่อนจะมองดูตัวเขาทั่ว ๆ ก็เป็นอย่างที่เขาบอก บาดแผลก่อนหน้านี้ที่เห็นดูเหมือนจะหายไปหมดแล้วก็ทำให้ผมรู้สึกวางใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณออโรร่าด้วยจริง ๆ”
“ตัวฉันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากขนาดนั้นหรอกค่ะ ที่ทุกอย่างจบลงได้ด้วยดีนั้นมาจากพลังแห่งความตั้งใจขององค์ชายซะส่วนใหญ่เลยนะคะ”
นั่นล่ะ เพราะที่ผมทำทั้งหมดก็แค่พูดล่ะนะ ไอ้คนที่ระเบิดพลังไปไล่ฟันพวกนักฆ่านั้นมันตัวของชาร์ลทั้งนั้นเลย
“ไม่หรอก เพราะออโรร่าทำให้ผมเห็นเส้นทางที่ตัวเองควรเดินแล้ว นั่นน่ะขอบคุณมากเลยนะ”
อ้ากกก แสบตา!!!
ชาร์ลพูดไปพลางยิ้มขอบคุณที่ออกมาจากจิตใจของเขา มันช่างเจิดจ้าราวกับเป็นอัศวินตัวอย่างที่หลุดออกมาจากหนังสือ ประกายออร่าได้แผ่ออกมาเป็นจำนวนมากซะจนผมรู้สึกแปลก ๆ เหมือนปีศาจร้ายเดินเข้าวัด
“งะ…งั้นเหรอคะ แล้วเส้นทางที่ว่านั่นคือเส้นทางอะไรเหรอคะ?”
“เส้นทางที่จะปกป้องสิ่งสำคัญทุกอย่าง ไม่ว่าจะประชาชนหรือคนรอบตัว…. เส้นทางของอัศวินศักดิ์สิทธิ์อย่างไรล่ะ”
ชาร์ลพูดพร้อมกับยกมือของเขาขึ้นมาทาบที่อกแบบที่พวกอัศวินทำกันเวลาสาบาน น้ำเสียงที่เขาพูดออกมาช่างเต็มไปด้วยความจริงจัง
“และก็ ปกป้องออโรร่าด้วยนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
แต่ก็นะ ถึงจะตาสว่างก็ตามที แต่คำพูดของเจ้าหมอนี่มันดูแก่แดดเกินกว่าเด็กไปหน่อยนะเนี่ย… เล่นพูดซะอย่างกับเป็นพระเอกจากเกมจีบหนุ่ม หึ…. ไม่ได้กินผมหรอก
“เพราะงั้นจากนี้ไปผมจะฝึกปรือหนัก ๆ ให้สามารถปกป้องออโรร่าได้อย่างแน่นอน”
“ค่ะ จะรอวันที่ท่านเป็นชายผู้ปกป้องปวงประชาด้วยความห้าวหาญอย่างใจจดใจจ่อค่ะ”
แน่นอนว่าผมไม่มีทางไหลไปตามกระแสของพ่อหนุ่มพระเอกเกมจีบสาว เลยจัดการตอบกลับไปแบบปัด ๆ แต่ยังคงพูดรักษาน้ำใจเนียน ๆ ไปด้วย
“อือ”
แต่ดูเหมือนเด็กก้ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ เพียงแค่ได้รับคำชมเขาก็แสดงความดีใจออกมาอย่างเก็บไม่อยู่พร้อมกับส่งรอยยิ้มเจิดจ้าปิดท้าย ทำเอาความดำมืดในใจของผมกรีดร้องออกมาด้วยความรู้สึกผิด
……. นี่หลอกเด็กดี ๆ แบบนี้ไปมันจะดีจริง ๆ เหรอเนี่ย
แต่ก็นั่นล่ะ สิ่งที่ทำไปแล้วก็ย้อนไม่ได้ ผมจึงได้แต่ยิ้มให้เขาพลางได้แต่ขอโทษไปในใจ
“อ๊ะ ยังมีอีกเรื่องนี่นา”
ชาร์ลร้องขึ้นมาทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย พอมองไปก็เห็นเขากำลังล้วงของอะไรบางอย่างในกระเป๋าของตัวเอง
“ออโรร่าช่วยผมมาทั้งทีนี่นา ไม่ว่าอย่างไรผมก็อยากตอบแทนออโรร่าจริง ๆ นะ เพราะงั้น…..”
หลังจากค้นหาของในกระเป๋าของตัวเองได้พักหนึ่งเขาก็โชว์ของในมือให้ตัวเอง มันเป็นจี้เงินอันหนึ่ง ลักษณะเป็นรูปของนกสีเงินที่กำลังหุบปีก ทว่านั่นยังไม่เด่นชัดเท่าดวงตาของนกตัวนั้นที่ส่องประกายเป็นสีฟ้าจากทับทิมสีแดงฉาน
“ช่วยรับนี่ไว้ด้วยนะ”
ชาร์ลยื่นจี้เล็ก ๆ นั่นมาใส่เข้าที่มือผมทำเอาผมสะดุ้งแล้วมองไปที่เขาพลางรีบส่ายหัว รัว ๆ ไม่หยุด
“ไม่ได้หรอกค่ะ ของที่ดูมีค่าขนาดนี้แถมอย่างที่บอกไป ฉันเองก็ไม่ได้ทำอะไรมากมายด้วย”
ใช่ แค่นี้ก็รู้สึกผิดต่อเจ้าชาร์ลผู้ใสซื่อมากพอแล้ว ขืนรับของเขามาทั้ง ๆ ที่ตัวผมทำอะไรแปลก ๆ ไปขนาดนั้นล่ะก็…. มันจะรู้สึกผิดกว่าเดิมน่ะสิ
“ไม่หรอกนี่น่ะ…. เป็นสิ่งที่ท่านพ่อแล้วก็ท่านอาจารย์รีเชอร์เขาบอกว่าออโรร่าสมควรจะได้หลังจากที่ฟังสิ่งที่ออโรร่าทำมาน่ะ”
“เอ๋? ทั้งสองคนนั้นงั้นเหรอคะ?”
“อื้อ หลังฟื้นผมก็ไปบอกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นพร้อมขอให้ท่านพ่อช่วยคิดของตอบแทนออโรร่าให้หน่อยก็เลยให้สิ่งนี้มาน่ะ”
ก็สมกับเป็นชาร์ลน้อยผู้ใสซื่อล่ะนะ แต่เป็นของที่สองคนนั้นมอบให้อย่างงั้นเหรอ…. ไม่รู้ว่าทำไม แต่ลางสังหรณ์ผมบอกว่ามันต้องไม่ธรรมดา
“บอกว่าออโรร่าผ่านการทดสอบมาส่วนหนึ่งแล้วดังนั้นจึงสามารถรับสิ่งนี้ไปได้น่ะ”
ไม่รอช้าเมื่อรู้ถึงความจริงของสิ่งตอบแทนนี้ผมก็รับมันมาอย่างง่ายดาย ทว่าก็ไม่ได้วางใจไปสักทีเดียว แอบร่ายเวทห่อหุ้มมือของตัวเองเอาไว้
ที่จริงก็ไม่ได้ระแวงอะไรทั้งสองคนนั้นหรอก แต่ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าดวงของผมมันกำลังอยู่ในช่วงซวยแบบแปลก ๆ ดังนั้นผมจึงจะวางใจโลกอันแสนโหดร้ายนี้ไม่ได้ง่าย ๆ
“ถ้างั้นไว้เจอกันใหม่นะ ออโรร่า”
“ค่ะ ไว้พบกันใหม่นะคะ ชาร์ล”
ผมยิ้มและโบกมืออำลาให้กับชาร์ล ก่อนจะรีบกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อตรวจสอบเจ้าของที่ได้มาใหม่อันนี้
“อืม…….. จะไว้ใจได้ไหมนะ”
ถึงจะดูเป็นของมีค่าก็เถอะ แต่ไม่รู้ว่ายิ่งมองเจ้านี่เท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความรู้สึกแปลก ๆ ที่อธิบายไม่ถูกโผล่มาในใจทุกที มันคืออะไรกันนะ
ด้วยความคิดแบบนั้น บวกกับการเจอผีมาก่อนหน้านี้ผมจึงไม่รอช้าทำการเขียนยันต์ร่วมกับสารพัดการร่ายอาคมป้องกันแบบจัดเต็มเหนี่ยวพลังศักดิ์สิทธิ์ชนิดที่ว่าผีเดินผ่านยังต้องไปสวรรค์โดยยังไม่ทันได้ลาลูกเมีย
“น่าจะใช้ได้แล้วมั้ง”
ผมปาดเหงื่อพลางมองไปรอบ ๆ ห้องที่ตอนนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรเรืองแสงสีขาว ถึงแม้มันจะไม่ได้ซับซ้อนแบบในวิหารเพราะผมเพิ่งเรียนมาแค่ชั้นต้น แต่ว่าพลังที่ผมอัดไปแบบจัดเต็มก็คงพอที่จะเทียบเท่าระดับนั้นได้
“ถ้างั้นลองจัดเลยแล้วกัน”
ไม่รอช้าเมื่อจัดการสร้างหลักประกันความปลอดภัยให้ชีวิตเรียบร้อย ผมจึงเดินไปจับเจ้าจี้ที่วางไว้อยู่บนเตียงก่อนสำรวจดูทั่ว ๆ
“ดูเหมือนไม่มีอะไรแหะ”
ไม่ว่าจะจับหรือจะทำอะไร ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเอาผมถอนหายใจมาอย่างโล่งอก….
“สงสัยเป็นจี้ธรรมดา ๆ ล่ะมั้ง”
ถึงจะรู้สึกเสียดายหน่อย ๆ ที่จี้ที่ได้รับมาจากองค์ราชาเป็นของธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อาจจะถือว่าดีก็ได้
“เอาเถอะ อย่างน้อยวันนี้ก็จบลงด้วยดีล่ะนะ”
ว่าเสร็จผมก็ทิ้งตัวลงนอนกับเตียง และยกเจ้าจี้รูปนกสีเงินมาส่องเล่น ๆ ดูเล่น ๆ ทว่าทันทีที่ตาของผมสบเข้ากับตาสีแดงที่ส่องประกายของมัน จู่ ๆ มือของผมก็รู้สึกว่ามีพลังเวทของตัวเองไหลเวียนผ่านเข้าไปในจี้
“เอ๋ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
พลังเวทสีขาวนวลจากมือของผมเริ่มแผ่เข้าไปห่อหุ้มนกสีเงินที่ตอนนี้เริ่มสะท้อนแสงสีขาวนวลแบบเดียวกับพลังเวทของผมออกมาอย่างงดงาม
พร้อมกัน ดวงตาสีแดงสวยของมันก็เริ่มส่องประกายออกมาเด่นชัดดึงดูดจนยากที่ละสายตาออกจากมันไปได้
วิ้งงงงง
ปีกของนกเริ่มกางออกราวกับมันกำลังจะเหินขึ้นสู่ฟากฟ้า แสงสว่างสีขาวจำนวนมากได้ระเบิดออกมาก่อนแปรเปลี่ยนเป็นละอองแสงสีทองจำนวนมากที่ลอยอยู่รอบไปทั่ว ๆ ห้อง
สายลมที่ไม่ควรมีในห้องที่ถูกปิดนี้เริ่มโบกพัดก่อนจะหมุนวนรวมกันอยู่ที่บริเวณกลางห้อง เรียกละอองแสงสีทองจำนวนมากให้เข้ามารวบรวมกันจนก่อเป็นรูปร่างหนึ่ง
รูปร่างเริ่มเด่นชัดมากขึ้น ละอองแสงสุดท้ายได้วิ่งเข้าไปรวมกับกลุ่มแสงก่อนที่มันจะเริ่มจางลงเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน
นกตัวขนาดเท่ากับฝ่ามือ ได้ปรากฏร่างขึ้น ลำตัวของมันถูกปกคลุมไปด้วยขนสีแดงอันงดงาม ปีกได้โผกางออกมาก่อนบินไปรอบห้องและค่อย ๆ ร่อนลงมาอยู่ในระดับสายตาของผม
ดวงตาสีทับทิมที่จ้องมองมาที่ผมช่างงดงามก่อนเกินกว่าที่จะละสายตาไปได้ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานขนาดไหนทว่าสุดท้ายความเงียบของพวกเราก็ถูกทำลายลงเมื่อนกตัวนั้นเริ่มที่จะเปร่งเสียงออกมา
“นานแล้วที่ไม่ได้ออกมาเห็นโลกมนุษย์ เจ้าคือนักบุญผู้อัญเชิญตัวข้ามาใช่หรือไม่”
เสียงที่เปล่งออกมาของเจ้านกตรงหน้ามันแทบทำเอาตัวของผมสะดุ้ง ขนทั้งหมดทั้งมวลแทบลุกตั้งขึ้นมาเมื่อความกลัวบางอย่างเข้ามาปกคลุม
นกพูดได้….หรือมันคือนกผี!!!!
“อ่ะ….เอ่อ ฉันออโรร่า นักบุญผู้ได้รับเลือกจากพระเจ้าค่ะ”
“ข้าวิหคเพลิงแห่งราสเวนน่า ราส สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวนักบุญตั้งแต่รุ่นแรกขอตอบรับคำเรียกของท่านนักบุญแห่งยุคสมัยปัจจุบัน”
หลังมันพูดจบ ประกายแสงสีแดงอ่อน ๆ ได้กระจายตัวออกจากร่างเล็ก ๆ ของมันก่อนที่จะพุ่งเข้ามาห่อหุ้มร่างกายของผมเอาไว้
ความรู้สึกร้อน ๆ เริ่มบังเกิดที่บริเวณตัวจี้ในมือผมก่อนที่มันจะค่อย ๆ สลายกลายเป็นสีสีแดงรวมเข้ากับกลุ่มพลัง จากนั้นแสงทั้งหมดพุ่งเข้าที่บริเวณหลังมือของผมกลายเป็นตรารสัญลักษณ์วิหคเพลิงที่กำลังกางปีกเหินเวหา
ไอ้พระเจ้าบ้าเอ้ย ผมเดาแล้วไม่มีผิด ว่าไอ้ของที่ได้มาครั้งนี้มันต้องมีอะไรแปลก ๆ คราวก่อนก็พลังเห็นผี รอบนี้แกยังส่งนกผีมาให้ผมอีกอย่างงั้นเหรอ…อ๊ะ
“ในครายามยากลำบาก พระองค์ท่านได้ส่งพลังที่ให้เห็นสิ่งที่ฉันปรารถนาจะเห็นมาให้ ในครานี้ท่านยังส่งวิญญาณผู้พิทักษ์ที่ยิ่งใหญ่มาให้ อ้า พระองค์ท่านผู้ยิ่งใหญ่เหนือใคร ตัวข้านั้นขอขอบคุณอย่างจริงใจ”
ขอบคุณกับผีเซ่….
ทันทีที่ผมพูดประโยคที่ราวกับเป็นคำสวดขอบคุณพระเจ้าขึ้นมา เจ้านกนั่นก็จ้องผมตาเขม็งก่อนที่มันจะเริ่มอ้าปากของมันออกมา
“ฟังดูความคิดท่านแล้ว…..ท่านนักบุญ เจ้าช่างดูตอแหลจริง ๆ”
ไอ้นกเวร…. เอ็งโดนจับโยนลงหม้อแน่
“สวัสดีค่ะ คุณวิญญาณศักดิ์สิทธิ์….ท่าทางมื้ออาหารวันนี้จะมีคุณเข้าร่วมแล้วสิคะ”
——————————————————————————–