ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ – บทที่ 45 ออโรร่าน้อยกับแดนเหนือ

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

“อึ๋ยยยย หนาวจังเลย”

สายลมหนาวเหน็บพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างของรถม้า ทำเอาร่างกายแสนบอบบางของเด็กน้อยอายุหกขวบอย่างผมต้องตัวสั่นแหง็ก ๆ

“ให้ตายสิ ใครจะไปคิดกันว่าทางภาคเหนือจะหนาวได้แบบนี้”

“หึ ข้าก็บอกเจ้าแล้วว่าให้เตรียมผ้าหนา ๆ แล้วเป็นอย่างไรเล่า ตัวสั่นเป็นลูกหมาเลย”

เสียงบ่นเล็ก ๆ ดังขึ้นมาที่ข้างหู โดยต้นเสียงก็ไม่ใช่เสียงอะไรนอกจากเจ้านกเรืองแสงที่บินไปมารอบ ๆ ตัวผมซึ่งตอนนี้มันกำลังมานั่งแหกปากตะโกนบ่นอัดใส่ข้างหูของผมอยู่

ให้ตายสิ เงียบไปเลยนะเจ้านกปากปีจอ แกมันวิญญาณนี่หว่าไม่เข้าใจความรู้สึกอันแสนทรมานของตัวผมในตอนนี้หรอก

ถึงแม้จะอยากพูดเช่นนั้น ทว่าด้วยที่ตัวเองดันพูดแต่ภาษาตีเนียนมาโดยตลอด ทำให้ถึงแม้อยากจะด่าแต่คำพูดที่ออกมาดันกลายเป็นออโรร่าน้อยนักบุญที่งดงามแทนอยู่ดี

“อย่าพูดเช่นนั้นเลยค่ะ คุณวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ตัวคุณที่อยู่ภายใต้ร่างอันบริสุทธิ์นั้นยากที่จะเข้าใจถึงผู้เดินดินเฉกเช่นฉันได้ค่ะ”

“เฮ้อ…. คำพูดกับจิตใจเจ้าสวนทางราวฟ้ากับหุบเหว ข้าล่ะอยากเอาเท้าก่ายหน้าผาก”

เสียงบ่นยังคงถูกส่งออกมาอย่างไม่หยุด ซึ่งมันก็แน่นอนเพราะว่าเจ้านกนี่จากเท่าที่ฟังมาดูเหมือนจะเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ประจำอาณาจักรหรือก็คือเจ้านกตัวเดียวกับรูปปั้นที่ผมไปเปลี่ยนเป็นรูปปั้นทองนั่นล่ะ

ด้วยความซวยครั้งใหญ่ซึ่งไม่รู้ว่าของมันหรือของผม ทำให้ผมไปปลุกให้มันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง โดยตอนแรกนี่ดูมันจะตื่นเต้นดีใจที่ได้เจอนักบุญที่สามารถปลุกมันขึ้นมาได้ ทว่าประเด็นคือมันอ่านใจผมได้ และนั่นล่ะประเด็นสำคัญ…..

“ให้ตายสิ ตัวข้าล่ะนึกว่าตื่นมาแล้วจะได้เจอกับนักบุญที่ยิ่งใหญ่แบบครั้งก่อน แต่นี่อะไร ดันมาเจอเด็กปากดี พูดอย่างใจอย่าง…. เฮ้อ พระเจ้า เหตุใดท่านถึงต้องให้ข้ามาพบกับนักบุญเช่นนี้ด้วย”

อันนี้ผมเห็นด้วยสุด ๆ เลยล่ะ พระเจ้าคิดอะไรของมันถึงมาจับคู่ผมกับเจ้านกเวรนี่กันนะ

“อันประสงค์ของพระเจ้านั้น เพียงคนสามัญคงมิอาจล่วงรู้ได้”

“เฮ้อ….”

เจ้านกถอนหายใจออกมารอบที่ร้อยของวัน หากให้พูดแล้วผมก็แอบเห็นใจมันนิดหน่อย แต่ทำไงได้ ก็ทั้งหมดมันฝีมือของพระเจ้านี่นา

“ข้าล่ะสงสัยพระองค์ท่านจริง ๆ ว่าเหตุใดท่านถึงเลือกคนเช่นนี้มาเป็นพูดถือวจนะแทนพระองค์”

อย่าพูดแบบนั้นสิ รู้ไหมว่าผมเนี่ย ผู้กอบกู้วิกฤตศรัทธาแห่งศาสนจักรเลยนะ ไหนยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักบุญที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์อีกด้วย

“หึ เพราะพวกเขาไม่เห็นด้านน่ากลัวของเจ้าต่างหาก”

ก็แบบอยากให้เห็นนะ แต่คำสาปมันติดคออยู่

“เอาเถอะ บางทีนี่อาจเป็นหน้าที่ซึ่งถูกมอบให้ข้าเพื่อฝึกปรือเจ้าให้เป็นนักบุญที่เหมาะสมก็เป็นไปได้”

ฟังแล้วซึ้งใจดุจมีจอมยุทธ์ได้พระอาจารย์มาสอน ทว่ามันติดตรงที่อาจารย์ที่ว่าดันเป็นนกกระจิบตัวเล็ก ๆ ที่เรืองแสงได้เนี่ยสิ

“เขาเรียกว่าฟีนิกซ์ต่างหาก”

จ้า ๆ ยังไงก็ได้จ้า คุณนกกระจอกตัวจิ๋ว

“ค่ะ จะแบบนั้นก็ได้ค่ะ คุณวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อย”

ว่าแล้วด้วยสัญชาตญาณของออโรร่า ทำให้หลังผมพูดประโยคนี้จบผมก็ยิ้มออกมาให้กับเจ้านกน้อยตรงหน้าด้วยรอยยิ้มแสนสดใส

“อืม…. น่ารักเสียของจริง ๆ แต่เอาเถอะ ดูเหมือนเราจะใกล้ถึงแล้วนะ”

เมื่อเจ้านกทักมาแบบนั้นทำให้ผมแอบมองไปที่นอกหน้าต่าง ภาพที่เห็นนั้นคือภาพของดินแดนที่โอบล้อมไปด้วยหุบเขาสีเขียวของป่าไม้ทึบที่ปกคลุมมากมายประดับด้วยหมอกยามเช้าของดินแดนเหนือ จนราวกับหลุดมาอยู่ในโลกของเทพนิยาย

ไม่ใช่แค่นั้น เมื่อเดินผ่านเข้าไปยังในป่า ก็เริ่มได้ยินเสียงของธารน้ำไหลมาเป็นจังหวะ ๆ ช่วยเสริมให้จิตใจได้สงบลงขึ้นไปอีกขั้น

ผมสุดหายใจลึก ๆ เข้าไปให้ชุ่มปอดก็ได้พบกับอากาศที่สดชื่นยิ่งกว่าบริเวณเมืองหลวง จนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของการพักร้อนที่เข้ามาใกล้ทุกที

“อืม…. หวังว่าจะเป็นแบบที่เจ้าคิดก็แล้วกัน”

อย่าพูดเป็นลางสิ ช่วงนี้ยิ่งดวงซวยแบบแปลก ๆ อยู่

หลังใช้เวลาอยู่พักใหญ่ ขบวนของผมก็มาถึงที่หมายโดยภาพที่เห็นตรงหน้าคือเมืองขนาดใหญ่ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยกำแพงหินผาขนาดใหญ่ราวกับป้อมปราการขนาดยักษ์ แม้จะไม่อลังการและงดงามเท่าที่เมืองหลวงทว่าความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย

และเมื่อผ่านเข้าไปในประตูเมือง สิ่งที่อยู่ตรงหน้าแทบทำเอาผมหยุดเงียบไปชั่วขณะให้กับความยิ่งใหญ่ของเมืองหลวงแห่งแดนเหนือ

บ้านเรือนที่เรียงตัวยาวไปถูกแบ่งฝั่งด้วยถนนหินสีดำขนาดใหญ่พอให้รถม้านับสิบวิ่งผ่านได้อย่างสบาย รูปทรงบ้านเรือนแม้จะไม่ได้ดูหรูหราหรือประดับสวยงามเฉกเช่นเมืองหลวง แต่กลับเป็นความเรียบง่ายที่กลมกลืนได้อย่างลงตัวกับธรรมชาติซึ่งห้อมล้อมเมืองเอาไว้

“อา… แดนเหนือ ไม่ได้มานานดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะเนี่ย”

เจ้าราสกระพือปีกไปมารัว ๆ พลางบินไปมารอบ ๆ ตัวผมไม่หยุดหย่อน หากมองตามไปเรื่อย ๆ คงได้ตาลายสลบคาที่ไปก่อน

“เปลี่ยนไปมากขนาดนั้นเลยอย่างงั้นเหรอคะ”

ผมร้องทักไปอย่างสงสัย แต่เอาจริง ๆ หากดูจากอาการของเจ้านี่แล้วดูท่าเมืองแดนเหนือนี้คงแตกต่างจากเมื่อตอนยุคสมัยของมันจริง ๆ

“ใช่แล้วล่ะ สมัยก่อนบริเวณแถวนี้น่ะ ยังเป็นแค่ป้อมปราการไว้ป้องกันพวกอาณารยชนจากทางเหนือเท่านั้นเองนะ ไม่ได้เป็นเมืองใหญ่อะไรขนาดนี้หรอก…. โอ้สุดยอดเลย คนเยอะมาก ๆ”

อืม… ถ้าจำไม่ผิด เมืองหลวงของแคว้นทางเหนือเหมือนจะชื่อว่า กรอริเอล เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของราสเวนน่า ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อในทั้งธรรมชาติที่งดงามเหมาะแก่การท่องเที่ยวแล้วก็อาหารกับไวน์ที่อร่อย

“โอ้ ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะยัยหนู”

เฮ้อ…. แล้วเรื่องที่น่าเหนื่อยใจที่สุดคือ เจ้านกผีนี่ดันสามารถอ่านใจผมได้ซะอย่างงั้น ทำเอามาดที่เก็บไว้มาตลอดหกปีแตกหมด… น้ำตาจะไหล

“อย่าห่วงไปเลย ข้าราส สัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งราสเวนน่าผู้นี้จะทำการฝึกเจ้าให้กลายเป็นนักบุญที่เหมาะสมเอง”

ใครอยากจะไปเป็นกันเล่า!!

“หึ ๆ ข้าเข้าใจว่าเจ้าหวาดเกรงในภาระอันยิ่งใหญ่แห่งนักบุญแต่อย่ากังวล เมื่อเจ้ามีข้า ท่านราสผู้นี้ รับรองเส้นทางของนักบุญของเจ้าจะต้องสว่างไสวอย่างแน่นอน”

ใครมันอยากจะเป็นกันเล่า…. ทั้งหมดมันเกิดจากความเข้าใจผิดของชาวบ้านล้วน ๆ

“อย่าว่าแบบนั้นสิ เป็นมาได้หลายปีขนาดนี้เจ้าต้องมีกึ๋นและโชคชะตาพอที่จะทำหน้าที่อยู่ล่ะน่า”

เอาที่สบายใจเลยแล้วกัน เฮ้อ…. หมดกันความสงบร่มเย็นในชีวิตของผม

หลังทำใจกับความซวยครั้งใหม่นี้ได้ ก็พอดีกับจังหวะที่ขบวนผ่านพ้นประตูเมืองมาครบ ทำให้พบกับประชาชนแห่งกลอริเอลมากมายกำลังโบกมือแสดงความต้อนรับนักบุญ เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นหน้าที่ของนักบุญแห่งอาณาจักรอีกครั้ง

ผมลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไปข้างนอกรถม้าซึ่งทำเป็นแท่นไว้ให้สำหรับผมยืน แน่นอนว่าด้วยความเป็นเด็กของผมทำให้แท่นมันถูกต่อสูงขึ้นมาอย่างเด่นชัด

“ในนามของผู้ถือวจนะแห่งพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ข้าในนามแห่งนักบุญออโรร่า ขอให้สายลมแห่งความโอบอ้อมอารีของพระองค์จงปกปักษ์เหล่าผู้ศรัทธาทั้งหลายด้วยเถิด”

ผมค่อย ๆ โบกมือพลางหันไปยิ้มให้กับเหล่าชาวบ้านทั่ว ๆ ด้วยรอยยิ้มอันแสนสดใสของออโรร่าน้อยแล้วยิ่งทำให้ชาวบ้านส่งเสียงออกมาดังยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“โอ้ ท่านนักบุญ”

“พระเจ้านำพาท่านมาปลดปล่อยพวกเราแล้วว”

“แค่เห็นท่านนักบุญก็ราวกับถูกโอบกอดจากพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่”

“ข้ารู้สึกได้ รู้สึกได้ถึงศรัทธาของตัวเองที่กำลังเพิ่มพูนมากขึ้น”

ไม่ใช่แค่นั้น เมื่อผมมองไปรอบ ๆ ขบวนของตัวเองทำให้รู้ว่าทางศาสนจักรนั้นจัดเต็มมากขนาดไหน โดยรถม้าที่ผมอยู่นั้นถูกเป็นรถม้าสีขาวชั้นดีที่ถูกประดับด้วยผ้าสีขาวขลิบทองงดงามจำนวนมากพร้อมกับดอกไม้หลากสีซึ่งจัดวางอย่างมืออาชีพเสริมให้ออร่าของผมดูสง่างามมากยิ่งกว่าเดิม

แน่นอนว่าขบวนที่ศาสนจักรพามาก็จัดเต็มมาก ธงสัญลักษณ์แห่งศาสนจักรโบกพริ้วไสวยาวตามรายทาง นักบวชชั้นสูงเดินนำมาพร้อมกล่าวคำสวดยาวเหยียด พร้อมกับตามมาด้วยอัศวินของมหาวิหารซึ่งแต่งตัวเต็มยศเดินเรียงขบวนมาซะยิ่งใหญ่อย่างกับจะไปทำสงครามศาสนาที่ไหนก็ไม่ปาน

แน่นอนว่าในเมื่อศาสนจักรจัดเต็ม มีหรือทางราชวงศ์จะไม่จัดเต็มกับเขาบ้าง เพราะราชองครักษ์และเหล่าขุนนางจำนวนมากเองก็มั่นหน้ามาเสนอตัวเดินตามกันปิดขบวนของผม

หากให้สรุปกันง่าย ๆ มันคือขบวนของการแข่งขันทางการเมืองอันดุเดือดของสองขั้วอำนาจที่มีผมเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้ง… แค่คิดก็รู้สึกปวดหัวแล้ว

“อืม ชีวิตเจ้าก็ลำบากมันกันนะ เล่นอยู่กลางวงของกลุ่มชวนปวดหัวแบบนี้ เอาเถอะ ชีวิตนักบุญแบบนี้เวลาผ่านไปเดี๋ยวก็ชินเอง”

เจ้านกพูดมาด้วยคำพูดสไตล์แบบคนแก่สอนหลานพร้อมเอาปีกเล็ก ๆ ของมันมาตบ ๆ หัวคล้ายอยากปลอบ ทำเอาซะผมอยากร้องไห้น้ำตาไหลไปซบอกมันสักที แต่ว่านะ นี่ชีวิตของนักบุญรุ่นก่อน ๆ ที่ผ่านมามันลำบากลำบนแบบนี้เหมือนกันงั้นเหรอเนี่ย…. โคตรเศร้า

“ถึงจะไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ แต่เจ้าก็สุดยอดเหมือนกันนี่นา….. อายุแค่นี้ยังสามารถสร้างแรงศรัทธามหาศาลได้มากขนาดนี้ ถึงจะมีความคิดแปลก ๆ ไปหน่อย อาจเป็นเพราะความกดดันวัยเด็ก แต่ถ้าผ่านการสอนของข้าคงจะต้องกลายเป็นนักบุญที่เยี่ยมยอดอย่างแท้จริงแน่นอน”

เจ้านกหลังจากได้ยินเสียงสรรเสริญจำนวนมากของผู้คนที่มีต่อผมมันก็บินวกกลับมาที่ผมพร้อมมองมาด้วยสายตาที่เป็นประกายก่อนกล่าวชมขึ้นมาแบบคาดหวัง……

ต้องขอโทษด้วยแล้วกันนะที่ปัญหามันได้ไม่ได้เกิดจากความกดดันวัยเด็กแต่เกิดจาก….นะ

ผมได้แต่หลบสายตาของเจ้านกน้อยพลางนึกถึงเหตุผลที่แท้จริงซึ่งผมเป็นคนจากต่างโลกมาเกิดใหม่ ไม่ใช่เด็กน้อยวัยใสที่ผ่านเหตุการณ์อันโหดร้ายแล้วโตแบบผิด ๆ

ขบวนก็ได้เดินต่อไปเรื่อย ๆ ผมก็พลางกล่าวคำสรรเสริญพระเจ้าไปพลาง อวยพรพวกชาวบ้านไปพลาง ส่วนเจ้านกตัวนี้ก็ทำตัวเหมือนพวกเพิ่งเข้าเมือง มันได้วินว่อนรอบ ๆ ไปทั่ว ๆ เมืองพลางพูดชมความเจริญของเมืองอย่างไม่หยุดหย่อน

และในท้ายสุดก็มาถึงปลายสุดของเส้นทาง คือวังประจำเมืองเหล่าขุนนางจำนวนมากได้ยืนรอต้อนรับด้วยชุดดูหรูหรา ถึงแม้จะไม่ได้เท่ากับพวกคนในเมืองหลวงแต่ชุดของพวกเขานั้นมันช่างดูมากล้นด้วยความเกรงขามคล้ายกับชุดพิธีการของพวกทหาร

“พวกเราเหล่าขุนนางแห่งภาคเหนือขอต้อนรับท่านนักบุญแห่งยุคสมัย ท่านออโรร่าและเหล่าคณะผู้ติดตาม ขอขอบคุณที่ท่านเดินทางมาเพื่อเป็นผู้อวยพรในพิธีฉลองวันศักดิ์สิทธิ์ประจำแคว้นของพวกเรา”

ขุนนางที่อยู่หน้าสุดและใส่ชุดหรูหราที่สุดได้กล่าวนำขึ้นมาพร้อมกับโค้งหัวให้กับผม ผมจึงรีบโค้งหัวกลับทันที

“เช่นกันค่ะ หนูมีความดีใจที่ได้ช่วยเหลือเหล่าผู้ศรัทธาในตัวพระผู้เป็นเจ้าเสมอค่ะ”

หึ ๆ แน่นอนว่าจุดมุ่งหมายหลักนั้นคือการพักร้อนยาวสองสัปดาห์ หาใช่การทำงานอย่างตั้งใจจริง อา~ หวังว่าอาหารของทางเหนือจะเด็ดนะ

….

“ตั้งใจทำงานหน่อยยัยหนู”

เจ้าราชหลังได้ยินความคิดที่พุ่งลอยทะลุออกมาของผม มันแทบจะถลึงตาใส่ แถมเอาเท้าเล็ก ๆ ของมันเคาะหัวผมรัว ๆ จนละอองแสงสีทองที่ล้อมรอบตัวมันกระจายฟุ้งออกมาไปทั่วหัวของผม

“ดูเหมือนพระเจ้าจะอวยพรท่านเสมอนะขอรับ เพียงแค่มองท่านก็ราวกับเห็นแสงแห่งความเมตตาของพระองค์ท่าน”

จะบ้าเรอะ!!! แสงของพระเจ้าบ้าอะไรล่ะ มันแสงของเจ้านกผีบ้านี่ต่างหากละโว้ย

“อย่าคิดเล็กคิดน้อยมากไปเลยยัยหนู ปล่อยวางเรื่องเล็ก ๆ ไปเถอะ”

เล็กเหรอ! แกคิดว่าเรื่องความเข้าใจไปผิดแบบนี้มันปล่อยไปได้ง่าย ๆ เรอะ มันต้องจัดการ

“ข้าว่ายุ่งกว่าเดิมแหงม ๆ”

ไม่สนใจคำพูดไร้สาระของเจ้านกบ้านั่น ผมรีบสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะรวบรวมคำพูดเพื่อแก้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“แสงนั้นมิได้เกิดจากแสงของพระเจ้าแต่สิ่งใด ทว่าเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ล้อมรอบตัวหนูต่างหากล่ะคะ”

……

ทุกคนต่างนิ่งเงียบหลังได้ยินเหตุผลซึ่งผมได้พูดออกไป ทำเอาผมรู้สึกว่าคำพูดสำหรับแก้สถานการณ์นั้นน่าจะได้ผล

“สมแล้วกับที่เป็นท่านนักบุญ คิดถูกแล้วที่พวกเราได้เชิญท่านมาในงานพิธีศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้”

เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างยิ้มออกมาพร้อมพยักหน้าให้กันราวกับส่งสัญญาณอะไรบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจสวนทางกับเจ้านกที่ตอนนี้กำลังพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ

“อืม…. งานนี้ข้าว่าเจ้าได้งานเพิ่มแหงม ๆ ….. หรือบางทีในใจอาจจะอยากได้กันนะ”

ดูมัน ดูมันพูดแซะ…… ขอโทษได้ไหมล่ะ… แต่ก็นั่นล่ะ หลังได้ยินเจ้าราชพูด ไม่รู้ทำไมใจมันเต้นแบบแปลก ๆ

ระหว่างที่ผมกำลังบ่น ๆ เจ้านกนั้นเอง ผมก็กวาดตามองดูรอบ ๆ เพื่อดูจุดประสงค์ของพวกเขาที่มองหน้ากันทว่าทุกอย่างก็หยุดชะงักลงเมื่อไปเจอกับร่าง ๆ หนึ่ง

ท่ามกลางขุนนางจำนวนมากแห่งแดนเหนือ มีอยู่ร่างหนึ่งที่โดดเด่นกว่าใครและแปลกตายิ่งกว่าใคร ความแปลกประหลาดนี้ไม่ใช่สิ่งใดอื่น นอกจาก….เด็ก

ใช่แล้ว เด็ก…. และไม่ใช่แค่เด็กธรรมดา แต่เป็นเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิง!!! แน่นอนว่าไม่นับผมที่เป็นนักบุญซึ่งจะโผล่ที่ไหนก็คงไม่แปลก แต่สำหรับยุคกลางแบบนี้ การมีเด็กผู้หญิงมาอยู่กลางดงขุนนางที่กำลังอยู่ในงานพิธีการขนาดใหญ่ หากไม่ใช่คนของศาสนจักรก็ต้องมีพ่อใหญ่พอควร

ไม่ใช่แค่ตัวตนแต่หน้าตาก็ยังเด่น ผมสีทองยาวลงไปถึงกลางหลังประกอบด้วยดวงตาสีน้ำเงินน้ำทะเลอันคมกริบดุจเหยี่ยว เมื่อผสมกับใบหน้าที่เรียวคมแล้วนั้น ต้องบอกว่าในอนาคตจะต้องกลายเป็นหญิงสาวที่สวยงามอย่างแน่นอน

เธออยู่ในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินสวยยาวลงไปจนปิดขาทั้งหมดตามแบบฉบับของเหล่าลูกขุนนางชั้นสูง ส่งให้เด็กคนนี้ดูมีออร่าความน่ารักและความงดงามเปล่งประกายออกมา

!!!

บางทีผมอาจจะจ้องตัวเธอนานไป เหมือนเธอจะรู้สึกตัวแล้วว่าถูกใครมองอยู่จึงหันมาและโค้งให้กับผมตามแบบฉบับขุนนางด้วยการจีบกระโปงทั้งสองขึ้นพร้อมย่อขาลงเล็กน้อย แต่ถึงอาการของเธอจะสงบแต่ผมรู้ได้เลย จากแววตานั่นว่าเธอกำลังตื่นตระหนกอยู่

แย่ล่ะเรา เผลอจ้องเธอมากไปหน่อย รู้ตัวแล้วอย่างงั้นเหรอ…. ต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างงั้น รับรองได้ถูกอีกฝ่ายได้มองแบบแปลก ๆ อย่างแน่นอน

“ข้าว่ายิ่งทำจะยิ่งแปลกเอานะ”

ใจเย็นเข้าไว้ออโรร่าเอ๋ย อย่าทำตัวกระโตกกระตากไป สิ่งที่ต้องทำก็คือปล่อยตัวให้เป็นธรรมชาติ และสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่สุดที่ออโรร่าน้อยจะทำได้ก็คือ……

“ตั้งสติ!!”

ยิ้ม!!!

“ข้าว่าเจ้าต้องมีปัญหาระหว่างการเลี้ยงดูแน่นอน”

ใช่ ไม้ตายเด็ดที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถจะต่อกรได้ของออโรร่าน้อย นั้นคือรอยยิ้มที่งดงามดุจเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ แม้แต่ตัวผมเองมองยังรู้สึกเพลินเลย….

เดี๋ยว ๆ สงบใจไว้ก่อนเรา เอาล่ะ เริ่มปฏิบัติการยิ้มตีเนียนได้

ผมค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาอย่างช้า ๆ ผมทั้งทำสีหน้าให้อ่อนโยนประดุจนางฟ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และผลน่ะเหรอ….

“ก็เข้าใจอยู่นะว่าตัวเจ้านั้นน่ารักแต่ไอ้ความคิดที่จะแก้ปัญหาด้วยวิธีแบบนี้น่ะ….ข้าว่าเรื่องมันจะหนักกว่าเดิม”

เด็กคนนั้นสะดุ้งตัวเล็กน้อยก่อนรีบโค้งตัวแล้วหันหน้าหนีไปซะเฉยเลย ทำเอาผมถึงกับชะงักประดุจมีใครเอาปืนมายิงอัดกลางใจของผม…..

บ้าน่า! รอยยิ้มขั้นเทพของออโรร่าน้อยไม่ได้ผลอย่างงั้นเหรอ ได้อย่างไรกัน!

“ได้ผลก็แปลกแล้ว!!! น่าสงสารเด็กคนนั้นจริง ๆ ที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้”

เงียบน่าเจ้านกบ้าเอ้ย

และแล้ววันเวลาแห่งการพักผ่อนปนงานอันแสนสนุกก็ได้เริ่มต้นขึ้น

————————————————————————————————————–

ได้เวลาเปิดตัวหลักอีกตัวหนึ่งกันแล้ว ออโรร่าจะทำอย่างไร จะทำปัญหาให้มันบ้าบอยิ่งกว่าเดิมหรือเจ้านกจะหยุดไว้ทัน ต้องคติดตามชมตอนต่อไปแล้วล่ะ

 

ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจผู้เขียนจ้า

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

Status: Ongoing
ตายไปต่างโลกไม่พอ ดันโดนเสกให้เกิดเป็นสาวน้อยน่ารักอีก หนักกว่านั้นไอ้พระเจ้าเฮงซวยดันสาปให้ทุกคำพูดที่จะด่ามันกลายเป็นสรรเสริญมัน เลยทำเอาชาวบ้านเข้าใจผิดว่าผมเป็นนักบุญซะงั้น เรื่องราวของสาวน้อยออโรร่าที่ถูกพระเจ้าให้พร(?) ไม่ว่านางจะพูดสิ่งใดก็ออกมาเป็นคำสรรเสริญพระเจ้าที่ออกมาจากจิตใจอันแน่วแน่ซึ่งแม้แต่เหล่าคนบาปทั้งหลายก้ยังต้องซึ้งในความศรัทธาของนาง (เรอะ) เอาล่ะ เรื่องราวน่ารักสดใสปนกาวเป็นถังขอเปิดอ้อมอกต้อนรับทุกท่านให้สูดกาวไปร่วมกันกับเหล่าตัวละครทั้งหลายที่ไม่รู้ว่าเมามาจากไหนกันเถอะ! ที่จริงเป็นเรื่องที่ลงในเด็กดีนานแล้วแต่มารีไรท์เพื่อแก้คำต่าง ๆ ครับ ส่วนตอนล่าสุดก็อัพเดทเรื่อย ๆ ในเด็กดี จะพยายามแก้ตอนเก่าให้ทันตอนใหม่ครับผม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท